บทที่ 6 ได้โปรด
เธอจึงรีบหลับตาลงอีกครั้ง และลืมขึ้นช้า ๆ แล้วหันมองไปรอบ ๆ
ตัวอีกครั้งอยู่หลายรอบ จนแน่ใจว่านี้เป็นเรื่องจริง ก่อนที่หลี่ถิงจะก้มลงมองฝ่ามือของตัวเองเป็นอันดับแรก ก่อนจะพลิกดูหลังมือ ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อเห็นเล็บมือที่สั้นลงและไร้สิ่งแต่งแต้ม
แน่นอนมันต้องมีสีสัน...ไม่ใช่แบบนี้!
ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นลูบใบหน้า ไล่ลงมาตามลำคอ จนสัมผัสกับเส้นผมที่ยาวสลวย ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ของเธอเอง เพราะผมของเธอมันไม่ได้
ยาวขนาดนี้ หลี่ถิงรวบดึงเส้นผมตัวเองแรง ๆ จนรู้สึกเจ็บ
‘ไม่ใช่วิกผม ใจเย็นถิงถิง...เธอแค่กำลังฝันไป’
“นะ…นี่มันอะไรกัน ฉันอยู่ที่ไหน”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะสำรวจร่างกายของตัวเองในส่วนอื่น ๆ ที่ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะทุกสัดส่วนมันไม่ใช่ตัวเธอเลยสักนิดเดียว
หลี่ถิงตัดสินใจก้าวลงจากเตียงเพื่อหาใครสักคนมาให้คำตอบแก่เธอ แค่เพียงหย่อนเท้าลงพื้น ร่างบางก็ลุกพรวดขึ้น เป็นเหตุให้ล้มหน้าทิ่มพื้น
‘อูยยย เจ็บจัง’
หลี่ถิงนั่งแหมะอยู่กับพื้น พร้อมเอามือลูบหน้าผากเบา ๆ
หญิงสาวนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นใหม่ พอมั่นใจว่าลุกไหว คราวนี้เธอจึงค่อย ๆ เกาะขอบเตียงยืนขึ้นแล้วจับไปตามโต๊ะและเครื่องเรือนที่พอจะพยุงตัวไม่ให้เธอล้มลงอีกครั้ง เพื่อที่จะเดินหากระจกสักบานที่จะปลดล็อกความข้องใจของเธอในตอนนี้
บนโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีกระปุกลวดลายงดงามมากมายวางอยู่เรียงรายเต็มไปหมด มีแผ่นทองเหลืองขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่
หลี่ถิงค่อย ๆ นั่งลงและมองดูในแผ่นทองเหลืองที่ถูกขัดจนมันวาว ซึ่งได้สะท้อนภาพใบหน้าของเธอในตอนนี้ สองตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
‘ผู้หญิงคนนั้นนี่! แล้วทำไมถึงไม่ใช่ฉัน มันเกิดอะไรขึ้น!’
ความฝันนั้นมันคืออะไร ภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริง หรือว่า….
ทุกอย่างเริ่มฉายวนในหัวของหลี่ถิง เหมือนม้วนฟิล์มที่ถูกกรอกลับ
มาฉายซ้ำ เพื่อยืนยันความทรงจำสุดท้าย ก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมานั่งอยู่ตรงนี้ ดวงตาคู่งามหลับลงช้า ๆ เพื่อซึมซับความทรงจำที่กำลังไหลบ่าเข้ามาเหมือนสายน้ำเชี่ยว
เรื่องราวที่เธอเคยคิดว่ามันคือความฝัน แท้จริงแล้วมันเกิดกับเจ้าของร่างกายที่เธอครอบครองอยู่ในตอนนี้สินะ
โม่ไป๋หลาน ชื่อของหญิงสาวที่มีหน้าตางดงามราวเทพธิดา ผู้หญิงที่โอบกอดเธอและเสียงหวานไพเราะ ซึ่งเคยเอ่ยเรียกเธออย่างแผ่วเบาอยู่ข้าง ๆ หู คือหญิงสาวคนนั้นที่ถูกหักหลังจากคนใกล้ตัวนั่นเอง ซึ่งมันไม่ต่างจากเธอเลยจริง ๆ
‘เราสองคนเหมือนกันมากเกินไปไหมโม่ไป๋หลาน ทั้งนิสัยใจคอแทบจะไม่ต่างกันเลย แม้แต่ตอนสิ้นใจ เรายังน่าอนาถเสมือนคนคนเดียวกัน ความต่างของเราคือยุคสมัยเท่านั้น’
หลี่ถิงกำลังคิดทบทวนทุกอย่างอยู่นั้นต้องหยุดชะงักลง เมื่อเธอได้ยินเสียงคนกำลังร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จึงได้เอียงหูฟังอีกครั้ง จนแน่ใจว่าใช่เสียงร้องของคนจริง ๆ หญิงสาวจึงได้ตัดสินใจที่จะออกไปหาความจริงด้วยตนเอง ยิ่งการตายของเจ้าของร่างไม่ใช่จากป่วยไข้ซึ่งเธอรู้ดีกว่าใคร จะให้เธอมานั่งรอจนเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกไม่ได้เด็ดขาด
หลี่ถิงลุกได้ขึ้นยืนก้มสำรวจชุดที่ใส่อยู่ มันดูไม่เหมาะจะออกไปข้างนอกเอาเสียเลย เธอเป็นนักแสดงมาก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี้คือชุดนอนของยุคโบราณ ตอนนี้ เธอมั่นใจไปแล้วครึ่งหนึ่งว่านี่ไม่ใช่โลกที่เธอเกิดและเติบโตมา ซึ่งยืนยันได้จากร่างอ้อนแอ้นที่จิตวิญญาณของเธออาศัยหายใจอยู่นี้ยังไงล่ะ…
และในแผ่นทองเหลืองตรงหน้าเมื่อครู่นี้ เป็นสิ่งพิสูจน์ซึ่งเธอไม่อาจ
ปฏิเสธได้เลยว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของตนเอง จะมีเพียงความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นที่เป็นของเธออย่างแท้จริง
นับจากนี้ไป เธอต้องระวังตัวให้มาก เพราะมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ในละครหรือภาพยนตร์ที่เธอเคยเล่น มันคือเรื่องจริง ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้
ถ้าต้องพบเจอเหตุการณ์อะไรระหว่างนี้ สิ่งแรกที่จะต้องทำคือตามน้ำไปก่อน เพื่อรักษาชีวิตใหม่ให้หายใจได้ต่อไปยาว ๆ เสียก่อน ค่อยมาคิดอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป
หลี่ถิงรวบรวมกำลังทั้งหมดเดินไปยังฉากกั้นซึ่งอยู่อีกมุมห้อง และด้านหลังมีเสื้อคลุมแขวนอยู่สองสามตัว เธอจึงหยิบมาสวมใส่แบบลวก ๆ ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป หญิงสาวหยุดเท้าลงด้านหน้าเพื่อฟังให้แน่ใจว่าเสียงร้องโหยหวนนั่นมาจากทิศทางใด
เมื่อมั่นใจถึงที่มา สองเท้าของหญิงสาวขยับออกเดินมุ่งตรงไปในทิศทางนั้นทันที แม้ร่างกายจะไม่พร้อม แต่เพราะอะไรไม่รู้ ใจของเธอมันกลับเรียกร้องให้ต้องไป เหมือนกับว่ามีใครจับจูงเธอให้ก้าวเดินและคอยกระซิบแผ่วเบาตามสายลมมา ว่าถ้าหากเธอกลับไปนอนต่อ ชีวิตใหม่นี้อาจต้องสูญเสียใครสักคนที่มีค่าสำหรับเธอและร่างนี้ไปตลอดกาล
‘ได้โปรดหลี่ถิง ช่วยนางด้วย!! หรู่อี้ นางกำลังถูกปรักปรำ’

















