บทที่ 9 ปากกล้า

ตนเอง อย่าได้เอ่ยปากสอดแทรก เจ้าช่างต่างจากไป๋หลานของข้ายิ่งนัก ที่รู้จักคำว่ามารยาท สมกับเป็นสตรีชั้นสูง อีกอย่าง ไป๋หลาน นางโตแล้ว ไยยังต้องให้เจ้าดูแลด้วย ปกตินางอยู่ในจวนโดยไม่มีเจ้าแวะเวียนมา แม้แต่รอยมดกัดยังไม่เคยเกิดขึ้นกับนางสักครา”

จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อถูกเปรียบเทียบกับญาติผู้พี่อย่างตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อม หรือรักษาหน้าของนางจากมารดาของชายหนุ่ม ทุกคำพูดบ่งบอกว่านางคือคนที่เป็นต้นเหตุของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับโม่ไป๋หลาน

หยางซานหลางทำเพียงตบเบา ๆ ลงบนหลังมือของหญิงสาวที่กำลังจับชายแขนเสื้อของเขาอยู่ในตอนนี้

“อย่าคิดมากกวานเอ๋อร์ ท่านแม่แค่กำลังสับสนและเป็นกังวลที่

ไป๋หลาน อาจไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง”

หยางซานหลางเอี้ยวตัวไปพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน และแก้ต่างให้แก่มารดาไปในทีด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้ผู้ใดมาตำหนิมารดาของเขาได้เช่นกัน

“อ้อ! อีกเรื่องหนึ่ง...คุณหนูจีกวานฮวา เจ้าควรใช้คำที่เรียกข้าให้ถูกต้องด้วย คำว่าแม่เรียกได้เฉพาะบุตรชายและลูกสะใภ้เท่านั้น คนนอก...ควรใช้คำว่า ฮูหยิน จึงจะถูกต้อง หวังว่าเรื่องแค่นี้ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่”

ใบหน้าของจีกวานฮวาซีดเผือดลงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อถูกตอกย้ำถึงสถานะของนางภายในจวนแห่งนี้ ก่อนจะช้อนสายตาที่มีน้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่ในดวงตาขึ้นมองชายหนุ่ม

หยางซานหลางเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน เพราะหากเขาตั้งแง่กับมารดามากเท่าไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งจะลำบากใจมากเท่านั้น

เพราะภรรยาจอมมารยาของเขาที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด จึงทำให้มารดาของเขาต่อว่าญาติผู้น้องของภรรยา ซึ่งนับว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงอยู่มิน้อย และเขาไม่อาจเถียงมารดาได้ ในเมื่อสิ่งที่ผู้เป็นแม่เอ่ยมานั้น เรียกได้ว่าไม่มีสิ่งใดผิดเลยสักนิดเดียว

ส่วนคนที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกพอจะจับใจความได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มากเท่าที่ควร แต่เสียงโบยที่ยังคงดังมาเป็นระยะ หากเธอยังมัวโอ้เอ้อยู่ คงได้มีคนตายขึ้นมาจริง ๆ แน่

เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบางรีบก้าวเข้าสู่ด้านในด้วยฝีเท้าเบาดุจปุยนุ่น มิใช่ว่าเธอเก่งกาจอะไร แต่เพราะร่างกายที่อ่อนแรงต่างหาก ที่ทำให้เดินแล้วไม่มีเสียง

เมื่อผ่านประตูลานฝึกเข้ามาได้เพียงเล็กน้อย หลี่ถิงก็ต้องหยุดชะงักเสียก่อน เมื่อเสียงโบยหยุดลง ก่อนจะได้ยินเสียงคนพูดขึ้น

“เรียนท่านแม่ทัพ นางสลบไปแล้วขอรับ”

ทหารที่รับหน้าที่โบยหรู่อี้ได้ก้าวเข้าไปรายงานแก่ท่านแม่ทัพ

หยางซานหลางด้วยอาการเกร็งอยู่เล็กน้อย ด้วยตอนนี้ เจ้านายของบ้านกำลังมีปากเสียงกันอยู่ หากรอก่อนก็เกรงว่าจะถูกตำหนิเรื่องมิรายงานผล

ให้ทราบ

“ทำให้นางฟื้น! แล้วโบยต่อไปจนกว่านางจะตาย”

คำสั่งของหยางซานหลาง ทำให้หลายคนรู้สึกเสียใจกับความแล้งน้ำใจของแม่ทัพหนุ่ม หลิวเจินเจินขยับกายหมายปกป้องหรู่อี้ เมื่อบุตรชายกำลังจะกลายเป็นสัตว์ร้ายในสายตาของบริวารภายในจวน

“อำมหิตยิ่งนัก! ใจของท่านทำด้วยอะไรกัน นี่หรือแม่ทัพผู้เกรียงไกร ไยไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้ สืบความมิกระจ่าง แต่กลับลงทัณฑ์คนถึงตาย ช่างน่านับถือยิ่งนัก”

ทุกคนหันไปตามเสียงแหบโหยอย่างพร้อมเพียงโดยมิได้นัดหมาย หลี่ถิงมือสั่นน้อย ๆ แต่ยังคุมเสียงให้ไม่สั่นเช่นร่างกาย เพื่อที่จะไม่เผลอแสดงอาการตื่นกลัวให้ใครจับได้ ยังดีที่เธอเคยแสดงหนังแนวย้อนยุค เลยทำให้พอจะตีเนียนพูดตามทุกคนได้บ้าง

“เจ้า! หึ! เป็นอย่างที่ข้าคิดไม่มีผิด เจ้าเสแสร้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจริง ๆ ถ้าจะตายจริงคงมิได้มายืนปากกล้าต่อหน้าข้าอยู่เช่นนี้”

หยางซานหลางพูดน้ำเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมชี้นิ้วไปยังภรรยาที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยสภาพอ่อนแรงเต็มที แต่ยังคงหลังตรง ยกไหล่เชิดหน้าอย่างสง่างาม สมกับฐานะอยู่นั้นเอง

“แล้วแต่ท่านจะคิด ใครทำอะไรเอาไว้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ” คนอย่าง

หลี่ถิงหรือจะยอมแพ้ กล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าเธอ

‘ฉันจะเป็นนางเอกหรือนางร้าย มันก็ขึ้นกับสถานการณ์…’

หลี่ถิงไม่คิดหลบสายตาของอีกฝ่าย เมื่อถูกมองมาด้วยสายตาแข็งกร้าว ซึ่งเต็มไปด้วยโทสะของสามีในชีวิตใหม่

หลิวเจินเจินรีบก้าวเร็ว ๆ เข้าไปประคองลูกสะใภ้ด้วยกลัวว่านางจะ

ล้มลงบาดเจ็บเพิ่ม มือบางลูบคลำตามใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง

“หลานเอ๋อร์...ลูกแม่ เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ ยังรู้สึกเจ็บปวดตรงไหนบอกแม่มาได้ วันนี้หากใครแตะต้องไป๋หลานก็จงข้ามศพข้าไปก่อน”

หลิวเจินเจินประกาศเปิดศึกกับบุตรชายอย่างชัดเจน จีกวานฮวารู้สึกอิจฉาโม่ไป๋หลานยิ่งนัก ที่มารดาของชายหนุ่มปกป้องญาติผู้พี่ของนางอย่างออกนอกหน้า จนกล้าต่อกรกับชายหนุ่ม

“ท่านแม่ นางคือคนผิดนะขอรับ โม่ไป๋หลาน เจ้าปากกล้าเกินไปแล้ว ข้าคือสามีของเจ้า ไยถึงกล้าต่อคำกับข้า ซ้ำต่อหน้าบ่าวไพร่อีกด้วย”

หยางซานหลางรู้สึกเหมือนถูกมารดาและภรรยารุมกล่าวหาว่าเขาคือคนที่ไร้ซึ่งเหตุผลอยู่กลาย ๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป