บทที่ 10 คนเลวกลับใจ (2) จบตอน
สองปีหกเดือนผ่านไป...
“มึงมาถูพื้นตรงนี้ด้วย” เสียงทุ้มเข้มของพี่ทองดังขึ้นกลางสนามกอล์ฟ กูหันไปมอง ในขณะที่จะกำชับหมวกร็อคแอนด์โรลใบเท่ของตัวเองไว้ตอนที่พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวง “ดูดจัดไปล่ะ หัดทำงานมั่ง”
“โห่ พี่ทอง กูแววดูดหรี่แปปเดียว” กูพูดอย่างอ้อนๆ ตีนไปตามประสา ก่อนที่จะลากถังไม้ถูพื้นมาที่หน้าเคาน์เตอร์โรงอาหาร “ไม่จัดหรอก แค่สามสี่มวนในครึ่งชั่วโมงเองครับพี่”
“เพิ่งออกจากห้องขัง ขยันให้หนักหน่อยนะมึง” ร่างกำยำของพี่ทองพูดพร้อมกับชี้ไปที่พื้นที่มีรอยเท้า “เมื่อคืนฝนตก พื้นข้างนอกแฉะหมด ลูกค้าใส่รองเท้าเข้ามาก็ย่ำกันเข้าไป”
“กูเข้าใจ” กูพูดพร้อมกับชุบไม้ถูพื้นในถังสองสามครั้ง แล้วถูละเลงไปตามรอยตีนทั้งหมด “หน้าที่ของกูก็มีแค่นี้”
“เออ แล้ววันนี้ หลานสาวนายกจังหวัดจะมาตีกอล์ฟกับท่านเขา” พี่ทองพูดเหมือนนึกขึ้นได้ กูก็ฟังๆ ไป “เขาย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยแถวนี้ เลยได้อยู่กับท่านแทนพ่อแท้ๆ เขา”
“ลูกสาวนายกจังหวัด?” กูหันไปหรี่ตามองพอเห็นว่ามันมีพิรุธ “ไรวะพี่ รู้เรื่องขนาดนี้ไม่ธรรมดา”
“ก็กูรู้จักกับท่านอยู่” พี่ทองในร่างกำยำบิดไปมาแบบน่าหมั่นไส้ชิบหาย “หลานสาวเขาสวยแบบเกินบรรยาย”
“ชอบน้องเขา?” กูเลิกคิ้ว
“ก็แค่ปลื้มๆ แหละวะ หลานสาวนายกจังหวัด กูคงไม่กล้าเอื้อมหรอกไอ้ขวด” พี่ทองเรียกชื่อกูขึ้นมาเสียงดังเหมือนเขินๆ กูฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของตัวเอง แล้วถองศอกใส่มัน
“แล้วกูจะคอยดู”
กูถูพื้นรอบๆ ตรงนั้น จนย้ายไปถูพื้นตรงลานตีกอล์ฟ พอถูพื้นเสร็จ ก็ต้องมานั่งเก็บลูกกอล์ฟให้ลูกค้าที่เข้ามาเล่นในนี้
ท่ามกลางแดดร้อนจัด กูเก็บลูกกอล์ฟไปประมาณเกือบสี่สิบลูก คงอยากรู้ใช่ปะว่าทำไมหลังออกจากห้องขังกูถึงมาทำงานที่นี่ แล้วทำไมกูถึงเปลี่ยนไปเยอะ
ตอนเข้าไปในห้องขัง โดนขังแยกจากทุกคน กูได้เรียนรู้สัจธรรมอะไรหลายๆ อย่างพอเข้ามาอยู่ในที่แคบ ว่าแม่งก็ไม่ต่างไรจากกรอบที่ตีรอบตัวตนกูไว้ ให้กูได้สงบความบ้าคลั่งคึกคะนองของตัวเองลง
พ่อแม่มาเยี่ยมบ้าง แต่กูละอายเกินกว่าจะมองหน้า เลยได้แต่ถามคำตอบคำ ถามว่ารู้สึกผิดต่อครอบครัวไหม กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เท่าที่รู้ หลังจากอยู่ที่ห้องขังประมาณปีกว่า ปู่ฉลามดุก็มาเยี่ยม แล้วได้พูดอะไรบางอย่างกับกู
นั่นทำให้พอกูออกจากห้องขัง กูก็กลับมาอยู่บ้าน หางานยิบย่อยทำ สะสมเงินไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็หางานยากอยู่เพราะมีประวัติต้องคดียาเสพติด แถมกับที่สักเต็มแขนสมัยที่คะนองตอนเด็ก
วันๆ กูเทียวออกแต่ไปทำงาน กลับมาก็นอน จนสะสมเงินได้จำนวนนึง กูก็ออกจากบ้าน ย้ายมาที่สัตหีบ มาทำงานลานตีกอล์ฟกับพี่ทองที่รู้จักกันผ่านเว็บพนัน ที่เคยหลงไปเล่นทีนึงตอนอยากได้เงินก้อนใหญ่ๆ แต่กลับหมดตัวจนต้องให้เขาช่วย
อย่างน้อยสังคมพวกนี้ พี่ทองก็ยังเป็นอีกคนนึงที่ไว้ใจได้ หางานให้ทำ แล้วกูก็ไม่ได้ทำที่นี่แค่ที่เดียว เพราะพอกูเรียนไม่จบ งานก็ยิ่งหายากขึ้นกว่าคนอื่นมากว่ะ
โลกแม่งกว้างใหญ่ชิบหาย จากที่ตอนวัยรุ่นคิดว่าเป็นคนที่รู้โลกสีเทามากกว่าใคร พอเข้ามาอยู่ในสังคมที่ใหญ่ขึ้นจริงๆ กูกลับแทบไม่รู้เหี้ยไรเลย
ถามว่ากูดีขึ้นไหม ก็ดีขึ้นหน่อย แบบพอเป็นผู้เป็นคนจากตอนนั้น พอมีเหตุมีผล ไม่ทำไรตามอารมณ์แบบเมื่อก่อน โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง กลายเป็นเข็ดไปเลยตั้งแต่เรื่องครั้งนั้น ไม่ได้มีแฟนตั้งแต่เข้าห้องขังยันออกมาจนตอนนี้ เพราะกลัวใจตัวเองจะไปเข้าหาเขาแบบไม่ดี
คนคุยก็ไม่มี ไม่มีเหี้ยไรเลย เพราะทำงานจนไม่มีเวลาไปหา
โหลดแอพหาคู่มาเล่นบ้างว่ะ แต่ก็ไม่มีเวลาอยู่ดี
อย่างกูแม่งต้องหาคนที่เข้าใจได้จริงๆ อ่ะ ก็อย่างว่า คนมันมีอดีตไม่ดี
อีกอย่างทุกวันนี้ แค่ผู้หญิงปกติเห็นหน้ากู ก็ถอยกันหมด ไม่มีใครกล้ายุ่ง เพราะหน้ากูมันออกทรงผู้ชายใจทราม
กูเก็บลูกกอล์ฟจนถึงเวลาพักงาน นั่งเช็ดเหงื่อที่แตกตามหน้าอยู่ข้างสนามกอล์ฟ ร้อนชิบหายวันนี้ แต่กูมันผู้ชาย ก็แค่ร้อน แต่ไม่ถึงตาย
งานหนักๆ มาก็ก็บ่ย่านอ่ะ
กูทำท่าจะลุก แต่เห็นว่าพี่ทองเดินพาใครมาเป็นโขยง ไม่เยอะ แค่สี่ห้าคน สองคนแรกเป็นคนมีอายุกับผู้หญิงในชุดเสื้อโปโลกระโปรงจีบเลยเข่ามานิดนึง ผมยาวสยายสีดำมัดขึ้นหางม้าผูกโบว์แบบในการ์ตูน มองไกลๆ เห็นไม่ชัดเพราะกูสายตาสั้น แต่เดาว่าคงเป็นหลานสาวนายกจังหวัดอะไรนั่น
แต่พอเดินมาใกล้ๆ เท่านั้นอ่ะ
... เชี่ย
“เอ้อ ท่านครับ นี่ลูกน้องผมเอง น้องที่สนิทกันมาก” พี่ทองที่เดินมาถึงตัวกูที่ยืนถือผ้าขี้ริ้วค้างเพราะตะลึงกับภาพตรงหน้าเดินมาตบบ่า เหมือนจะฝากฝังให้กูเป็นเด็กเส้นเขา พี่ทองชอบทำงี้กับกูตลอด จะให้มีแต่งานเข้ามาอย่างเดียวรึไงวะ
“หน้าตาดุดันใช้ได้” ท่านพูดตอนที่ไล่มองกูตั้งแต่หัวจรดตีน ฉีกยิ้มสามัญโต้ พอกูรู้ตัวว่าจ้องหน้าหลานสาวเขามากไปหน่อยเลยรีบก้มหน้า “น่าจะขยันนะ”
“ครับ คนนี้ขยันมาก” กูเห็นผู้หญิงคนนั้นมองมา รีบเอามือดึงหมวกคลุมมิดหน้าไว้ไม่ให้เธอเห็นหน้ากูชัดๆ แล้วก้มหน้าแทบชิดเข่าไหว้ท่านนายกจังหวัด
“สวัสดีครับท่าน”
“สวัสดีๆ ทำงานดีๆ นะไอ้หนุ่ม วันนี้แดดมันร้อน” ท่านตบบ่ากูหนักๆ ท่าทางใจดี ก่อนที่จะหันไปทางหลานสาวที่ยืนกุมมือท่าทางเรียบร้อย “มนต์ สวัสดีพี่เขาสิ”
“... สวัสดีค่ะ” เด็กสาวยกมือไหว้กู กูยกมือไหว้กลับแล้วเอาแต่ก้มหน้า จนเธอพูดขึ้นมา “... ใช่พี่ขวดรึเปล่าคะ”
“’...!!” กูเบิกตากว้างอย่างตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเธอทันที ท่ามกลางท่าทีสงสัยของพี่ทองกับลุงของเธอ
ทำไมเธอถึงยังจำไอ้ชั่วอย่างกูได้อยู่อีก?
กูเอาแต่ยืนนิ่ง จนน้องมนต์เงียบไป แล้วหันไปจูงมือท่านนายกให้เดินตามไปที่ลานตีกอล์ฟที่จองไว้ให้
“ขอโทษนะคะ... หนูคงทักผิดคน” เธอก้มตัวเดินผ่านร่างสูงใหญ่มากกว่าเธอของกูไป ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามองแม้แต่หางตา
กูเหลือบมองตามร่างเล็กในชุดกระโปรง แล้วแค่นหัวเราะดังเหอะ
“อะไรวะ ทำไมคุณมนต์รู้จักมึง?” พี่ทองเรียกเธอว่าคุณมนต์ แล้วหันมากระซิบเสียงหนักกับกู กูได้แต่เตะฝุ่น เพราะน้องมนต์ก็คือดอกฟ้าที่ยากจะเด็ด แล้วจ้องหน้ามัน
“สมัยวัยรุ่นกูอาจดังจัด จนหลานสาวนายกเขาสนใจมั้งพี่” กูยักไหล่ “ก็แค่นั้น”
“แต่มึงก็เอาเรื่องอยู่” มันเห็นด้วย กูเลยตบบ่าเขา
“เดี๋ยวกูไปเก็บลูกกอล์ฟให้เขา เสร็จงาน กูจะได้ไปทำงานอื่นต่อ”
เอาตรงๆ ปะ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเลยว่ะ
กูมันก็ไอ้ขวดคนเดิม แค่กูรู้ผิดชอบชั่วดีมากขึ้นไง
แต่ก็แอบมองบ่อยๆ ระหว่างเดินฝ่าแดดไปเก็บลูกกอล์ฟ เป็นลูกจ้างโง่ๆ ที่เอาแต่แอบมองเด็กผู้หญิงที่ตัวเองเคยทำเหี้ยใส่ตอนเขาอายุสิบแปด มองท่าทางง่กๆ เงิ่นๆ ของน้องมนต์ที่ตีกอล์ฟไม่เป็น กูก็ได้แต่ละอาย ก็แค่เด็กคนนึงที่ควรมีชีวิตสดใส
กูเมื่อก่อนแม่งระยำขนาดไหนวะ เธอถึงจำได้จนถึงตอนนี้
กูเก็บลูกจนค่ำ พวกเขาอยู่นานเพราะนั่งกินข้าวไปคุยไปกับพี่ทองอยู่ข้างบนหลังจากเล่นกอล์ฟเสร็จ พี่ทองดูเนื้อเต้นที่ได้อยู่ใกล้น้องมนต์ กูมองตามระหว่างที่ถูพื้นอยู่ใกล้ๆ เห็นว่าน้องมนต์ไม่สนใจกูเลย เธอก้มหน้างุด แล้วเอาแต่เดินตามลุงต้อยๆ เหมือนเด็ก
กูพ่นลมหายใจหนัก
ใช่ เมื่อก่อนเคยชอบ แต่ไม่รู้จะเข้าหายังไง แถมมีปมอยู่ด้วย
แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองยังมีค่าเป็นคนพอจะไปคุยกับน้องได้ไหมเหมือนกันว่ะ
กูก็แค่ ผู้ชายที่เคยคะนอง เคยทำระยำกับผู้หญิงหลายคน แต่พอโตมากลับรู้สึกผิดกับสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไม่ได้
ใจกูตอนนี้อ่ะเหรอ
กูอยากจีบน้องแบบดีๆ สักที แต่ละอายใจเกินไปว่ะ
กูก็คงชอบมากอ่ะเมื่อก่อน เพราะจนถึงวันนี้ ก็ยังติดในใจอยู่
แบบว่าอยากทำดีกับเค้าไง
กูแอบมองน้องจนท่านนายกจะพากลับ ตอนนั้นก็ได้เวลาเลิกงานนานแล้วด้วยว่ะ แต่กูมัวแต่มองเธอจนมืดค่ำ
มองนาฬิกาข้อมือเก่าๆ ก็ได้แต่เซ็งเป็ด จะสองทุ่ม ตามเวลางานกะดึก เป็นยามหน้าคอนโด
กรรมเก่าเนอะสัส ออกห้องขังมาก็มาทำงานเป็นยาม แต่อาชีพสุจริต ทำไปเหอะ ได้เงินเหมือนกัน
กูกำชับกระเป๋าหนังติดแผ่นหลังกว้าง เดินล้วงเป๋าเกงแล้วคีบบุหรี่ดูดอยู่ตรงลานจอดรถ เดินเตร่เพราะยามกะเก่ายังไม่หมดเวร กูต้องเข้ากะตอนห้าทุ่มตรง ลากยาวมายันเก้าโมงเช้า ถึงได้อีกนอนสองชั่วโมง หลังจากนั้นก็ตื่นมาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารอีสาน วนแบบนั้นทุกวัน
กูพ่นควันบุหรี่อยู่ตรงนั้น ตอนที่หยุดเดินแล้วรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
กูนิ่งไป หันกลับไปมอง แล้วก็เห็นว่าเป็น
“สะ... สวัสดีค่ะ” เสียงหวานล้ำของร่างเล็กในชุดกระโปรงจีบเลยเข่ามานิดนึง กูเบิกตากว้าง บุหรี่ที่คาบอยู่ที่ปากหล่นลงพื้น
กูรีบดึงหมวกลงมาปิดหน้าทันที
“ครับ” ตอบกลับไปสั้นๆ แบบสุภาพ ทำเหมือนเราไม่รู้จักกันมาก่อน “น้องมนต์มีอะไรเหรอครับ”
“...” น้องมนต์มีสีหน้าตกใจที่ดูเหมือนกูจะเปลี่ยนไปจนแปลก เธอเลิ่กลั่กสักพัก ก่อนที่จะก้มหน้างุด
“คือ... หนูตามข่าวพี่ขวดอยู่จากคุณลุงตะเข้มาสักพักค่ะ” เธอเริ่มเกริ่น กูที่ยืนก้มหน้าเบิกตาโตที่เห็นว่าน้องมนต์คนที่เคยเอาแต่ทำหน้าเหมือนกูเป็นผีเริ่มเปิดประเด็นกับกูก่อน ที่น่าตกใจเหี้ยๆ คือ เธอตามข่าวกู “เห็นว่าออกจากบ้านไปโดยไม่บอกไม่กล่าวทางครอบครัว คือ... หนูแค่คุ้นๆ พี่ขวด”
“...”
“ขะ ขอโทษนะคะ” เธอทำท่าหวาดๆ ตอนที่กูเงยหน้าขึ้นไปจ้องตา ก่อนที่จะถอยหลังหนี กูที่เห็นว่าเธอกำลังจะไปเลยลืมตัวทะลึ่งไปคว้ามือบางๆ เธอไว้
น้องมนต์เบิกตาโต กูนิ่งค้างไป ก่อนที่จะปล่อยมือเธอออกเพราะมือหนาของกูมันชื้นไปด้วยเหงื่อไคล
แม่งสกปรกเกินกว่าจะจับมือน้อง
“ผมไม่เข้าใจ” กูพูดกับน้อง ขมวดคิ้วจนพันกันเป็นปม “น้องมนต์ตามคนใจชั่วอย่างผมมาทำไม มันอันตราย”
น้องแม่งนิ่งไป เธอทำหน้าตื่นๆ ตอนที่ตอบแบบทำตัวไม่ถูก เพราะกูไม่ใช่คนเดิมที่เธอรู้จัก
“คือ... คุณลุงตะเข้โทรมาถามคุณลุงหนูเมื่อวันก่อน” น้องก้มหน้าลงมองมือตัวเองเหมือนไม่กล้าสบตากูที่ยืนประจันหน้ากับน้อง “ว่าพอจะตามหารายชื่อนายศักรินทร์ เชื้อจันทร์ที่อยู่ที่ชลบุรีได้ไหม”
“...”
“หนู... บอกคุณลุงไปแล้วค่ะ ว่าเจอพี่ขวดแล้ว” เธอพูดเสียงสั่น “... คุณลุงบอกว่าจะส่งพี่กลับไป... หะ หาครอบครัวค่ะ”
“ไม่ได้!” กูเผลอตัวตะคอกเสียงดัง น้องมนต์สะดุ้งเฮือก กูถึงได้สบถออกมาเพราะพลาดพลั้ง “ขอโทษ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะเจอหน้าใครทั้งนั้น”
“...”
“รบกวนน้องมนต์บอกท่านนายกว่าไม่เจอผม จำหน้าคนผิด ไรประมาณนั้นก็ได้” กูพูดพร้อมกับยกมือไหว้เธอจนร่างเล็กตกใจ “ถ้าน้องมนต์จะเมตตาผม”
“ดะ... ได้ค่ะ” เธอรับคำอย่างว่าง่ายเพราะคงจะกลัวกูมากจากการกระทำในอดีต แม้ว่าสิ่งที่น้องทำในตอนนี้แม่งจะโคตรกล้าหาญ ที่ยังคุยดีๆ กับคนใจหยาบอย่างกูได้
กูกลั้นใจถามกลับไป เพราะทนความสงสัยไม่ได้
“ทำไมถึงยังคุยกับผม?” สรรพนามที่ใช้ เป็นหลักฐานว่ากูรู้สึกละอายใจกับสิ่งระยำที่ทำกับน้องเสมอ “ผมไม่ได้ตามข่าวน้องมนต์เลย ผมเอาแต่ทำงาน ถ้ารู้ว่าน้องอยู่ที่นี่ ผมจะไม่เสนอหน้า”
“...”
“ผมรู้ว่าน้องเกลียดผม” กูยกมือขึ้นไหว้จากใจ ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นหน้าอดีตรักแรกในวัยนักเลง กูก็เหมือนจะหลุดปากออกมาหมด “ผมขอบคุณที่น้องยังคุยกับผม ยังมองผมเป็นคน”
“...”
“แต่น้องอย่าทำแบบนี้กับผมเลย”
“...”
“อย่างน้อย ผมก็ไม่อยากชอบน้องไปมากไปกว่านี้ เพราะผมกลัวว่าผมจะทำระยำตำบอนกับน้องอีก”
“อย่างน้อย ผมก็ไม่อยากชอบน้องไปมากไปกว่านี้ เพราะผมกลัวว่าผมจะทำระยำตำบอนกับน้องอีก”
กูขี่มอไซค์ออกมาจากตรงนั้น ระหว่างที่ขี่ไปก็คิดว่า
น้องมนต์แม่ง
กูนึกย้อนไปถึงตอนที่พลั้งปากบอกไปว่าชอบน้องมาก่อน ทันทีที่น้องมนต์ได้ยิน เธอนิ่งไป ร่างเล็กเม้มปาก กูเองก็ชะงักไป จะแก้ตัวแต่อาจไม่ทัน เธอก็พูดออกมาก่อน
“ขะ... ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยเสียงสั่น “หนู... กลัวพี่มาตลอดเลยค่ะ ตั้งแต่เรื่องครั้งนั้น คิดว่าถ้าไม่เจอพี่อีกคงจะดี”
“...”
กูเงียบ ใจกูแผ่วลง ก็อย่างว่า เธอจะมาชอบกูกลับเนี่ยนะ? คิดเรื่องเพ้อฝันเป็นเด็กกะโปกไปได้ไอ้ขวด
“ตะ... แต่หนูก็ดีใจนิดหน่อยนะคะ ถ้าพี่ทำไปเพราะพี่ไม่ได้เกลียดหนู” เธอกุมมือตัวเองตรงกลางลำตัว กูจ้องหน้าเธออย่างตกใจ น้องมนต์ยังคงหลบตาอยู่ เธอไม่ได้แสดงท่าทีเขิน แต่เป็นอารมณ์แบบ
ผู้หญิงใจพระ
“แม่งเอ้ย” กูสบถออกมาหลังจากที่ขี่ไปได้ไม่เท่าไหร่ ผละมือข้างนึงมาลูบหนังหน้าตัวเองแรงๆ สะบัดหัวว่าไม่ได้แดกเหล้าจัดไป หรือยังแฮงก์อยู่
จับอกตัวเอง ใจแม่งเต้นหน่อยๆ
ใจแม่งสั่นอ่ะ อีเหี้ย
“มาทำงี้ ก็ยิ่งชอบอ่ะดิ”
ย้ายมาที่สัตหีบ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปสำหรับกู
กูกระดกเหล้าลงคอ น้ำเหลวขมๆ ไหลลงคอทำเอารู้สึกร้อนๆ คอหน่อยนึงตามประสาแสงโสม ขวดแบนก็ปาไปร้อยกว่าบาทไทย ปกติตอนแดกสมัยเรียนหารกับพวกไอ้เจเอา แล้วก็มีเงินที่ไถเด็กมาหนุนบ้างบางวัน
ก็อย่างว่า สมัยก่อนแม่งไม่ได้หาตังค์เองเหมือนตอนนี้ อาศัยผลาญเงินเดือนพ่อไปวันๆ
พวกน้องๆ กูที่เข้า สน. วันนั้น หลายส่วนออกมาจากสถานกักกันเพราะอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะแดกเหล้าเสพยา โดนบำบัดจนอ้วกแตกทุกวัน ส่วนที่เข้าเรือนจำก็ถูกปล่อยออกมาหมด กินเวลาไปไม่ถึงปี พวกมันพอออกมาได้ บ้างก็หนักกว่าเดิม บ้างก็หลุด บ้างก็กลับตัว แล้วแต่คนอยู่ดี
คงมีแต่กูที่กระทงหนักสุด เพราะฉุดลูกสาวเขามาด้วย ส่วนไอ้เจตอนนี้ไม่ได้ข่าว หลังออกจากห้องขังกูก็ยุ่งกับการหางานดับประวัติต้องโทษ
ยอมรับว่าเคว้งไปเหมือนกันตอนอยู่ในห้องขัง ปกติที่กูมาที่นี่ปู่จะใช้เส้นทำให้ค่าปรับลดครึ่งนึงหรือให้ท้ายกูจนไม่มีความผิดตลอด (เพราะตระกูลปู่เป็นตำรวจ พ่อปู่ก็เป็นตำรวจยศสูงๆ) เวลาทำระยำตำรวจก็ได้แต่ส่งหมายมาที่บ้าน แต่ก็ทำเหี้ยไรกูไม่ได้
กูเป็นคนที่หยาบคาย สุดตีน ไม่แคร์ว่าผู้หญิงจะเสียใจจากการกระทำของกู เมียเก่าที่เลิกๆ กันไป ก็เพราะทนสันดานกูไม่ได้ บางคนนอกใจไปคบกับเด็กวิทยาลัยอื่น กูจำได้ว่าไม่ได้รัก แค่หวงก้าง จนเอาไม้หน้าสามไปฟาดหน้ามันเลือดอาบเข้าโรงบาล
ก็ตามที่บอก ว่าทำไมกูถึงพูดว่าน้องมนต์เป็น รักแรก
ตอนนั้นก็แค่ตรงใจ แต่ตอนนี้ เธอมองกูเป็นคน ไม่ใช่ปีศาจ ทั้งที่กูทำเหี้ยสารพัดกับน้อง
มันคงจะดีถ้าได้อยู่ใกล้กว่านี้อีก
“ยิ้มอะไรฮึไอ้ขวด” ร่างสูงบึกบึนของเสี่ยเป้เรียกชื่อกูตอนที่กูกระดกขวดแบนแล้วฉีกยิ้มกริ่มคนเดียว กูผละไปมอง เห็นเสี่ยกำลังนั่งเคาะมวนบุหรี่กับโต๊ะ สงสัยนั่งจ้องมามากแต่กูไม่ได้สน
“เปล่าเสี่ย” ตอบห้วนๆ แล้ววางขวดแสงโสมลงบนโต๊ะ เสี่ยกระดิกตีน
“เมื่อกี้ได้ฟังกูรึเปล่า” เสี่ยถามย้ำ เคาะบุหรี่อีกจนงอนิดๆ “กูถามว่า จะมาทำงานกับกูไหม”
“งานผมเยอะจนไม่มีเวลาอ่ะ” พูดแล้วเอนตัวนั่งกอดอก เพราะมัวแต่สะเหล่อมองตามน้องมนต์จนค่ำ เลยมาทำงานสายจนไม่ได้ไปต่อต้องมานั่งจับเจ่าอยู่กลางถนน โชคดีพี่ๆ กลับบอกว่าเสี่ยเป้เรียกมาเอาเงินที่เล้าจน์ผับใต้ดินที่กูทำงาน พอมาถึงเอาแต่นั่งแดกเหล้าไม่พูดไม่จา
งานที่เสี่ยเป้ให้ทำ ก็เป็นพวกจัดหาหญิงให้ ฟิลเล้าจน์ ออฟเด็กมาเที่ยว มาร้องคาราโอเกะ หรือไม่ก็ค้างคืน เด็กเอ็น อะไรประมาณนั้น
กูทำงานกลางคืนอยู่ตามทรงหน้า แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับใคร เพราะพอผู้หญิงเข้าหา กูก็ไปต่อไม่ถูก เพราะติดอยู่กับอดีต
ส่วนงานที่เสี่ยจะให้ไปทำด้วย ได้ยินลางๆ ว่าจะให้เป็นการ์ดหน้าผับส่วนตัวที่เสี่ยจะเปิดเองกับเมียคนที่สาม เรื่องนี้เป็นความลับ แน่นอนว่าเมียคนแรกไม่รู้ แต่ก็ตามเรื่องกิ๊กเสี่ยอยู่
“กูก็สามสิบแล้วนะ จะหาคนไว้ใจแบบมึงก็ยาก” เสี่ยเป้เอื้อมมือมาตบบ่ากูที่นั่งไม่ไกลมาก ระหว่างรอเด็กเอนเตอร์เทนคนอื่นเสร็จ “รู้ว่าหลังออกจากคุกมึงก็อยากเลี่ยงสังคมกลางคืน แต่คนมันมองมึงไม่ดีไปแล้ว มึงก็เอาแค่เงินก็พอ มีเมียก็จะเป็นอย่างกู”
“ผมไม่อยากมีปัญหากับซ้อ” กูพูดถึงเมียคนแรกของแก เบี่ยงประเด็นไม่คุยเรื่องผู้หญิงเพราะมีปม “เมียคนที่สามของเสี่ย ก็คือเด็กเอ็นที่ผมเสนอให้ไม่ใช่ไง”
“ความรักไม่มีเหตุผล มึงต้องจำใส่สมองไว้ให้ดี”
“แต่ถ้าซ้อรู้คงเอาไม่อยู่ว่ะเสี่ย เผลอๆ เลือดหัวออกทั้งคู่” กูแค่นหัวเราะตอนพูดติดตลก แต่ซ้อเป็นคนที่สนิทกับกูพอๆ กับเสี่ย ซ้อไว้ใจกู เลยไม่อยากให้ซ้อต้องมานั่งตามเช็ดตามล้างกับสิ่งที่กูทำพลาด
การมีเมียหลายคนมันไม่ได้ดี อย่างน้อยก็อยากเตือนเสี่ยข้อนี้ เพราะถ้ามันดี เสี่ยคงไม่ต้องมาปวดหัวกับมัน
ตั้งแต่ย้ายมาสัตหีบ เสี่ยเป้กับซ้อทำให้กูมีชีวิตไม่แร้นแค้น มีเงินมีงาน แต่ก็จะเป็นงานพวกสังคมกลางคืนที่กูไม่อยากกลับมาจับมือกับมัน เพราะสมัยเรียนก็เที่ยวบ่อย ซื้อกิน ไรพวกนี้ แต่มันจะเกรดล่างหน่อยตอนนั้น
“ก็อย่าบอกมันสิ”
เสี่ยนัวอยู่กับเด็กที่กูจัดหาให้ ส่วนกูก็ยืนอยู่ข้างนอกห้อง เพราะไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัว
ตอนนี้ตีหนึ่งพอดี กว่าเสี่ยจะเสร็จกิจก็เช้าถึงแล่นรถกลับ
“พี่ขวด รถเสี่ยเป้จอดกินที่ ดูเหมือนเสี่ยจะไม่ให้คนขับรถตามมาด้วยนะ ผมคุยกับเสี่ยได้ไหม เพราะกุญแจรถอยู่ที่เสี่ยแน่ๆ” เด็กใหม่ที่เข้ามาทำงานที่เล้าจน์ผับไม่ถึงเดือนเดินมาคุยส่วนตัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูคงเล่นลิ้น หาทางรังแก แต่ตอนนี้มันคนละเรื่อง
“เสี่ยเป้อยู่กับน้องมีน มีอะไรบอกกูแทน” กูพูดเรียบๆ ถึงเสี่ยกับเด็กเอ็นคนนั้น แต่มันดูกลัวกูมาก ไม่รู้ทำไมว่ะ
“งั้นพี่ช่วยขยับรถเสี่ยให้หน่อยนะครับ เมอร์เซเดส เบนซ์ เอส-คลาส คันสีดำที่ลานจอดรถชั้น 4”
“ได้” กูรับคำแล้วเพยิดหน้าให้มันออกไปจากห้องส่วนตัวของเสี่ย มองจนมันไปไกล ก่อนจะเคาะประตูก่อนแล้วแทรกตัวเข้าไป
ภาพที่เห็นคือเสี่ยกำลังนอนกอดกับน้องมีนที่เปลือยทั้งตัว เธอดูอายตอนที่กูเข้ามาข้างใน ถึงจะเป็นเด็กเอ็นแต่ก็เป็นผู้หญิง กูเลยพยายามไม่มองไปทางเธอ
“เอาอะไร” เสี่ยถามเสียงแหบ
“กุญแจรถเบนซ์เสี่ย ผมไม่ได้จะมากวนเวลาส่วนตัว” พูดแบบเจียมๆ เสี่ยเลยชี้ไปที่โต๊ะข้างมุมห้อง มีกุญแจรถกับโทรศัพท์วางใกล้กัน
กูเดินไปหยิบโดยที่เอามือบังหน้าไว้ แล้วเดินออกมาจากห้อง พ่นลมหายใจหนักตอนที่โยนกุญแจรถลอยกลางอากาศแล้วคว้าไว้
คงเพราะเจอสังคมดำสนิทแบบนี้มามากมั้ง เลยอยากไขว่คว้าคนที่ชอบจากสังคมที่ดีกว่า
กูนึกถึงหน้าน้องมนต์ที่พูดที่สนามกอล์ฟว่าดีใจที่กูทำไปเพราะชอบมากกว่าเกลียด แล้วได้แต่สะบัดหน้า
เธอมันซื่อเกินไป ตอนนั้นกูอยากจะเอาเธอแค่ไหน เธอไม่รู้หรอก
ผู้ชายมันน่ากลัวทั้งนั้นว่ะ
กูเดินลงมาที่ลานจอดรถชั้น 4 กดสตาร์ทเบนซ์ แสงไฟหน้ารถสว่างวาบจากทางขวา กูเดินไปแล้วบิดกุญแจ เห็นว่ารถเสี่ยมันกินเลนส์ข้างๆ เลยไม่มีใครกล้าจอดทับตรงนั้น กูเลยเคลื่อนรถให้
ครั้งแรกที่จับเมอร์เซเดส
กูเนื้อเต้น ฉีกยิ้มตอนที่หยุดรถ ก่อนที่จะดับเครื่อง แล้วทำท่าจะลง
แต่ยังไม่ทันลง
ผมก็เห็นเธอไกลๆ แล้วได้แต่ตะลึงว่าเธอมาที่นี่ทำไม
น้องมนต์
[จบพาร์ท : ตะขวด]
