บทที่ 5 พ่อเธอโคตรดุ (1)

[พาร์ท : ตะขวด]

ผมนั่งดูทีวีในม่านรูดจนง่อยกินไปได้ไม่ถึงห้าชั่วโมง น้องมนต์ก็มีสายเรียกเข้า ตอนแรกผมเหลือบตามองว่าเป็นใครเพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหวงขึ้นมาซะดื้อๆ ทั้งๆ ที่น้องมนต์ไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อเธอผมก็ยิ้มกริ่ม

น้องมนต์ที่หน้าซีดเซียวเดินหนีไปคุยกับพ่อที่หน้าประตู น้องคุยเสียงค่อยมาก แต่ได้ยินลางๆ ว่าพ่อมาตามกลับบ้านอะไรทำนองนั้น

พอวางสาย เธอก็แทบจะร้องไห้ออกมา ตอนที่ละล่ำละลั่กบอกผมว่า

“ถะ... ถ้าไม่กลับบ้านก่อนหกโมงเย็นพ่อจะตีหนูนะคะ”

ผมแหงนหน้ามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้อง เข็มนาฬิกาตีขึ้นที่ 5.30 นาที ก่อนที่จะไหวไหล่ พ่อท่าทางจะดุ แต่คงสู้กูไม่ได้หรอกครับ

“เค๊” ผมมันเป็นผู้ชายที่ทั้งเฟี้ยวและว่าง่ายสุดๆ “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

หน้าน้องมนต์เหมือนจะขาดใจตายตรงนั้น

“มะ ไม่ได้นะคะ ถ้าพ่อรู้พ่อต้องตีหนูแน่ๆ”

“กลัวไรอ่ะ เดี๋ยวให้พ่อเธอตีพี่แทนก็ได้” พูดไปงั้น ลองตีผมดิผมจะสวนให้ แก่ๆ ก็ไม่เว้นหรอก “บ้วนปากแปป”

“... พี่คะ” คนตัวเล็กน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาตอนที่ผมเดินผ่านตัวเธอจะเข้าไปบ้วนปากถ่มน้ำลายทิ้งในห้องน้ำโรงแรม “ขอร้องนะคะ อย่าไปส่งหนูเลยนะ”

ผมเลิกคิ้ว อะไรที่ทำให้น้องมันกลัวพ่อขนาดนั้นวะ?

“พ่อหนูดุหรือไง?” ผมย้อนถามเสียงสูง น้องมนต์พยักหน้าหงึกหงักทันที

“ชะ... ใช่ค่ะ พ่อหนูเป็นคนโผงผาง แถมยังเข้มงวดมากๆ ถ้าหนูกลับบ้านช้า พ่อจะคว้าไม้หวายมาตีหนูทันทีเลย”

เชร้ด ลุงแม่งอย่างเฟี้ยว

“งี้ก็ยิ่งอยากเจอ” ผมหักนิ้วตัวเองเสียงดังกรอบแกรบ

อยากลองของว่าที่พ่อของแฟนอะครับ

“มะ... ไม่เอาได้ไหมคะพี่ขวด”

“ตามมาเหอะน่า” ผมเร่งอีกฝ่ายอย่างเซ็งๆ ตอนที่กระชากแขนน้องมนต์ที่ทำบัดสะบิ้งให้เดินตามมาด้วยกัน เนื่องจากเธอไม่อยากให้ผมไปเจอพ่อเธอจนใจแทบขาด แต่ผมมันเป็นพวกหัวดื้อไม่ฟังใครนอกจากตัวเองอยู่แล้ว

ผมล้วงมือถือที่หน้าจอแตกยับเพราะปาใส่หัวอริเมื่ออาทิตย์ก่อน กดเบอร์โทรหาไอ้เจอย่างรวดเร็ว

ไอ้เจมันคงจะตีกับพวกไอ้เหี้ยเต้อยู่ แต่พอดีว่าไม่แคร์สักเท่าไหร่

ติ๊ด

[โทรมาทำเหี้ยไรเนี่ย!!] ผมเหลือบมองไปทางน้องมนต์ที่ยืนน้ำตารื้นอยู่ข้างๆ ตอนที่ไอ้เจกดรับ เสียงปลายสายนั้นเซ็งแซ่ไปด้วยหมัดที่ชนเข้าเนื้อเป็นระยะๆ

“วุ้ นี่กูโทรมาขัดตอนตีกันเหรอ” ผมดัดจริตทำเสียงใส แล้วฉีกยิ้มกว้าง

[คงไม่มั้งไอ้เหี้ย] มันสบถด่าผมทันที [มีไรรีบพูด]

“ให้น้องๆ สักสองคนในนั้นขับมอไซค์มาให้ที” ผมสั่งหน้าด้านๆ

[มึงบ้าปะ พวกกูตีกับพวกไอ้เต้อยู่กลางสยาม ไม่มีใครมือตีนว่างสักคน!!]

ติ๊ด

พูดจบเสร็จ แม่งก็ตัดสายใส่หน้ากูเลย

เอาเรื่อง

ผมกดล็อกหน้าจอ ไหวไหล่อย่างไม่แคร์ อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนรักถึงได้ไม่คิดอะไรมาก พร้อมมองหารถมอเตอร์ไซค์ที่ใครสักคนประมาทเผลอทิ้งกุญแจคาไว้ เพราะจะได้ขโมยสะดวก

ใช่ ผมจะขโมยมอเตอร์ไซค์คนอื่น

ผมขี้เกียจขึ้นรถไฟฟ้าอีกรอบ เดี๋ยวเป็นที่สนใจอีก ผมรู้ตัวดีว่าผมมันเท่ไม่หยอกแถมยังเฟี้ยวฟ้าวมะพร้าวแก้ว แต่บางทีมันก็อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง

“พะ... พี่ขวด” น้องมนต์คนสวยเรียกชื่อผมสั้นๆ ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกชื่นใจขึ้นมาทันที “... จะไปจริงๆ เหรอคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูกลับเองก็ได้”

ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไร แต่ลากแขนเล็กๆ ของน้องมาทางมอเตอร์ไซค์สีแดงแรงฤทธิ์ ยี่ห้อบอกรุ่นคนซื้อ แต่มันมีกุญแจเสียบคาไว้อยู่ เจ้าของรถน่าจะลืมทิ้งไว้แล้วรีบไปทำธุระมั้ง

ควายจัดๆ

“... พี่จะทำอะไรคะ?” เอาตรงๆ น้องมนต์นี่ย้ำคิดย้ำทำชะมัด ถามประโยคเดิมทุกรอบจนผมชักรำคาญ แต่เผอิญว่าก็ยังชอบอยู่ดีอะ

“ยืมรถ” ผมตอบห้วนๆ ตอนที่บิดกุญแจสตาร์ทรถแล้วขึ้นคร่อม ทำเหมือนเป็นรถตัวเอง ก่อนจะหันมากวักมือเรียกคนตัวเล็กที่ยืนกุมมืออยู่ข้างรถ “ยืนรอใครตัดริบบิ้นอะ รีบขึ้นมาดิ”

“นะ นี่ไม่ใช่รถของพี่ไม่ใช่เหรอคะ” เธอแย้งเสียงสั่น ผมก็เลยเลิกคิ้วสูง

“มันจะเป็นของใครก็ช่างแม่ง มันลืมกุญแจไว้แสดงว่ายืมได้” ตรรกะพังๆ ของผมถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อีกครั้ง มักเป็นข้ออ้างเวลาที่จะขโมยรถใคร และเชื่อดิว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกหรอก ผมรู้แต่ผมก็ยังจะทำอยู่ดี “ขึ้นมา รอนานล่ะ”

“แต่...”

“มีปากเสียงอีกคำลงไปอุ้มนะ เอาดิ” ผมได้ทีขู่ไปทีนึง อีกฝ่ายที่ยืนละล้าละหลังอยู่รีบขึ้นมานั่งบนรถทันที

“ไปส่งหนูแค่ที่หน้าหมู่บ้านก็พอนะคะ” เธออ้อนวอน แต่ผมทำหูทวนลม

“เคร”

เครที่แปลว่าไม่ทำตามที่สั่งอะ

[จบพาร์ท : ตะขวด]

หนูบอกเขาว่าให้มาส่งหนูแค่ที่หน้าหมู่บ้านยังไงล่ะ

“หลังไหน บอกหน่อย” แต่พี่ขวดไม่ยอมฟังอะไรจากหนูเลย พอขับมาถึงหน้าหมู่บ้าน แทนที่จะจอดรถให้หนูลงดีๆ กลับเร่งเครื่องตรงเข้าไปในหมู่บ้านจัดสรรแบบหน้าตาเฉย

“สะ... ส่งแค่หน้าหมู่บ้านก็พอแล้วนะคะ”

“มีปากมีเสียงจังนะคะ” เป็นคำพูดคะขาที่ไม่แววใจดีเลยสักนิด พี่เขาเหลียวมามองพร้อมกับถลึงตาโต เหมือนเขาจะรู้ดีว่าทำแบบนี้แล้วมันจะทำให้หนูกลัว “หลังไหน บอก”

“... ซอยที่ 2 หลังที่ 4 ค่ะ” หนูพูดพร้อมกับหลับตาปี๋ เพราะไม่กล้ามองใบหน้าของเขาที่ถลึงตาใส่หนู หนูกลัวจริงๆ นะ หนูไม่ถูกกับอะไรแบบนี้เลย “จอดที่บ้านหลังที่ 2 นะคะ ไม่งั้นพ่อหนูเขาจะว่าเอา... พ่อหนูไม่ชอบให้หนูกลับบ้านกับผู้ชายคนไหนนอกจากเก็ต”

หนูเอาเก็ตขึ้นมาพูดเป็นเกราะกำบัง ทั้งๆ ที่ความจริง ขนาดเก็ตเองยังโดนพ่อเขม่นใส่เลยในบางครั้ง พ่อเขาไม่อยากให้หนูมีแฟนจริงๆ ค่ะ เพราะหนูเป็นลูกสาวคนเดียวด้วย

“อ้อ ถึงได้กลับกับไอ้เด็กนั่นใช่ไหม?” ไม่พูดเปล่า พี่ขวดจอดรถหน้าบ้านของหนูทันที พร้อมกับหันมามองท่าทางเอาเรื่อง

“... คะ?” หนูตกใจเลยตอบไปได้แค่นั้น

“ไอ้เด็กที่ชื่อเก็ตอ่ะ คือไอ้เด็กในรถไฟฟ้านั่นใช่ปะ” เขาเลิกคิ้วถาม หนูเผลอพยักหน้าไป คนตัวสูงก็เลยแค่นหัวเราะ “พี่พูดไว้เลยนะมนต์”

“คะ?” หนูขานรับไปอย่างสั่นกลัว เขาเลยกระตุกยิ้มแล้วพูดออกมาว่า

“พี่แฟนเธอ” หนูทำหน้าเหวอออกมาทันที “พี่พาเธอเข้าม่านรูดแล้ว ถือว่าพี่เป็นแฟนเธอแล้ว จบปะ”

“...”

“ถ้ายังยุ่งกับไอ้เด็กเวรนั่น ไม่งั้นจบไม่สวยแน่ เข้าใจใช่ไหม?”

“... เอ่อ”

“ถามว่าเข้าใจไหม?” เขาย้ำอีกทีตอนที่เขยิบเอาไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยสักมาชนหน้าอกหนู หนูสะดุ้งโหยงเลย แทบจะร้องไห้ออกมาด้วย

“ขะ เข้าใจค่ะ” สุดท้ายก็ลงเอยต้องตอบกลับไปแบบนี้ทั้งที่ในใจไม่เต็มใจเลยสักนิด

แต่ยังไม่ทันที่พี่ขวดจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้

พลั่ก!

ไม้หวายของพ่อก็พุ่งเข้ากระแทกศีรษะของเขาอย่างแรงจนพี่ขวดที่ไม่ทันตั้งตัวทำรถคว่ำเซเกือบล้มตึงไป หนูที่แทบจะล้มลงไปด้วยเกิดอาการตกใจเลยกรี๊ดออกมา พอๆ กับที่ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่พ่อดังก้องอยู่หน้าบ้าน

“มึงเป็นใคร ทำไมมากับลูกสาวกู!!”

“ไอ้เชี่ย!” พี่ขวดสบถคำหยาบคายออกมาเสียงดังลั่นตอนที่แฮนด์รถกระแทกพื้น เขาขยับรถกลับมาตั้งตรงตามเดิม ในขณะที่หนูที่เผลอดึงชายเสื้อช็อปสีเทาของเขาเอาไว้ต้องรีบชักมือออกอย่างตกใจ เลิ่กลั่กมองไปทางพ่อที่กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาที หันไปมองร่างสูงข้างหน้าที่กุมศีรษะตัวเองที “โยนมาทำเหี้ยไรวะไอ้แก่!!”

หนูอ้าปากค้าง พอๆ กับที่พ่อที่เข้ามาประชิดตัวได้กระชากคอเสื้อของเขามาชิดใบหน้าทันที

“... มึงเรียกใครว่าไอ้แก่ฮะ?”

[พาร์ท : ตะขวด]

ผมเหลือบมองผู้ชายวัยกลางคนเบ้าหน้าดุดันที่กระชากคอเสื้อผมไว้จนตัวแทบลอย รอยตีนกาบนหน้าทำเอารู้เลยว่าแก่ ผมเลิกคิ้วข้างนึงขึ้นอย่างอ้อนตีนนิดๆ

อ่อ นี่อะนะพ่อของน้องมนต์คนสวย?

“ยักคิ้วใส่กูทำไมไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” พ่อน้องมนต์กระชากเสียงจนน้ำลายกระเด็นใส่หน้าผม ผมเลยเลื่อนไปเลิกคิ้วอีกข้าง “ยัง มึงยังไม่เลิกอีก!!”

“พะ... พ่อใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” คนตัวเล็กรีบลงมาจากเบาะมอเตอร์ไซค์พอเห็นว่าท่าไม่ดี น้องมนต์คนสวยคว้าแขนของพ่อตัวเองข้างที่กำคอเสื้อผมไว้ ไอ้แก่นั่นเหลือบมามองตาขวาง อีกฝ่ายเลยรีบชักมือออกแล้วยืนสงบเสงี่ยมทันที

“เลิกก้มหน้ามองดินแล้วบอกพ่อ ไอ้นี่มันเป็นใคร!!” พ่อน้องฉุดคอเสื้อกูไม่เลิกราในขณะที่ถามน้องมนต์ที่สะดุ้งโหยงตัวสั่นระริก เธอหันมามองหน้าผมที หันมามองหน้าพ่อตัวเองอีกหนึ่งที ผมเลยฉีกยิ้มจนตาหยี

เอาดิ บอกไปเลยดิ

บอกไปเลยว่าเป็นแฟนกันแล้วอะ

“พะ พี่เขาเป็น...”

“ผมเป็นแฟนน้องมนต์ครับ” แต่ผมก็พอรู้อยู่ว่าอย่างน้องคงไม่กล้าบอกแน่นอน ก็เลยบอกเองซะเลย “มาส่งแฟนผิดด้วยเหรอครับ เพิ่งรู้”

ทั้งพ่อและน้องมนต์เบิกตากว้างแทบจะพร้อมๆ กัน

“ว่ายังไงนะ?” ไอ้แก่มองหน้าผมที่ยักคิ้วให้น้องมนต์ที่หน้าซีดไป พ่อเธอเริ่มหันกลับมาคาดคั้นที่คนตัวเล็กแทน “มนต์ ลูกไปมีแฟนตั้งแต่ตอนไหน ลูกเพิ่งอายุสิบแปด!!”

“นะ หนูขอโทษค่ะ” เธอตัวสั่นพร้อมกับขอโทษขอโพยแบบโดนมัดมือชก ดูท่าทางจะแก้ต่างไม่เก่งแหง จนน้องหันมามองหน้าผมอีก

อยากให้ช่วยเหรอ? ก็ได้

“พอดีพาน้องไปเที่ยวมาครับ เลยกลับช้าไปหน่อย” พ่อน้องมนต์หันขวับมามองผมอีกครั้ง ที่กล้ายืนพล่ามออกมาโดยที่ไม่มีใครถาม ตาอีกฝ่ายดูขวางขึ้นเรื่อยๆ เลือดรักลูกสาวมันร้อนมันแรงอะดิ แต่พอดีว่าผมจะไม่หยุดหรอกนะ ผมชอบท้าทายคนแก่เป็นชีวิตจิตใจ “น้องมนต์บอกผมว่าเพิ่งเคยเที่ยวครั้งแรกเพราะพ่อดุมากไม่ค่อยให้ออกจากบ้านหลังหกโมงเย็น น้องมีความสุขม๊ากกกกๆ เลยครับ”

“กูไม่ได้สั่งให้มึงพูด ไม่ต้องเสือกพูดออกมา!!” ดูอีกฝั่งจะทนไม่ไหว พูดยังไม่ทันจบตะคอกใส่หน้าผมอีกล่ะ

“ผมก็แค่อธิบายเองครับพ่อ” ผมได้ทีเลยกวนตีนต่อ

“ใครพ่อมึง!!” คราวนี้เงื้อมือจะตบหน้าผมเลยว่ะ เฮ้ย ไอ้แก่นี่มันเอาเรื่องจะแย่ ชีวิตน้องมนต์นี่แม่งมีเรื่องน่าสนุกหลายอย่างเลยนะ

โอเค ตัดสินใจล่ะ

“ตบเลยครับ” ผมค้อมตัวลงไปใกล้เพราะตัวผมสูงกว่าไอ้แก่นี่มาก รู้เลยว่าน้องมนต์ได้เชื้อความเตี้ยมาจากใคร ผมยื่นแก้มไปจนเกือบชิดหน้าอีกฝ่ายที่ยืนถลึงตาโต พร้อมกับจิ้มนิ้วไปตรงแก้มสากของตัวเอง “ตบตรงนี้นะครับพ่อ เน้นๆ เลยนะครับ”

“...”

“แต่หลังจากตบไปแล้ว ผมก็จะได้เรียกค่าเสียหายเป็นสินสอดน้องมนต์แทนไปเลยดีไหมครับ?”

“ไอ้เหี้ย เบาๆ ดิวะไอ้เหี้ยขวด”

เสียงโวยวายของไอ้เจดังขึ้นหลังจากที่ผมหลุดออกมาจากเวทีมวยกับพ่อของแฟน ผมขับมอเตอร์ไซค์ป้ายแดงคันโฉดมุ่งตรงมายังบ้านไอ้เจเป็นที่แรกเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมด ว่าผมถูกใจเด็ก ม.6 แล้วจะเอาเป็นเมียให้ได้ถึงแม่ว่าพ่อเธอจะไม่ชอบขี้หน้าผมก็ตาม แต่ทันทีที่กลับมาก็เห็นมันกับน้องๆ อีกสิบกว่าชีวิตนั่งจิ้มแผลกันอยู่

ผมก็เลยใจดีทำแผลให้มันไง

“ร้องเหมือนหมาเลยนะไอ้ควาย มึงไม่หอนให้กูฟังไปเลยอะ” ผมหยิกแกมหยอกเพื่อนรักอย่างอารมณ์ดี มันที่นั่งขัดสมาธิยกส้นตีนถีบอกผมทันที “ไอ้เหี้ย!”

“เพราะเด็กเวรอย่างมึงไม่อยู่ไง มึงก็รู้ว่าตัวมึงเรียนมวยมา ต่อยตีเก่งกว่าพวกไม่ได้เรียนด้านไหนมาอย่างพวกกู แล้วยังจะ... ซี๊ด” แม่งซี๊ดปากเพราะผมเอานิ้วตีนจิกสำลีมาจิ้มแผลที่ขาแม่งแรงๆ “ไอ้ขวด!”

“ก็เจอหญิงอ่ะ” ผมเลิกคิ้วอย่างอ้อนๆ ตีนตอนที่เอาส้นตีนไปลูบหน้ามันเบาๆ “กูก็ต้องเลือกปะไอ้ควาย”

“ไหนมึงบอกเดือดนักเดือดหนาที่แม่งมาเผาช็อปวิทยาลัยเราโชว์ลงเฟสวะ มึงนี่มันระยำชาติหมาจริงๆ” มันผลักตีนผมออกอย่างหัวเสีย ไม่ได้โกรธจริงจังนักเพราะเราคือเพื่อนรักกัน แดกขี้ให้กันได้คงทำไปแล้ว “แล้วที่ขโมยมอไซค์คนมาขับอ่ะ เพลาๆ สันดานได้ล่ะ หมายจับส่งมาบ้านมึงตั้งกี่ครั้ง ขี้คร้านต้องให้พ่อมึงเป็นธุระจัดการให้ตลอด”

“ช่างหัวไอ้แก่” ผมเบี่ยงประเด็นเพราะรำคาญที่จะพูดถึงพ่อตัวเอง ส่วนเรื่องที่มันจัดการให้ผมไม่ได้ต้องการเลยสักนิด “เออ วันนี้กูไปเจอพ่อน้องคนสวยมาด้วย”

“แล้วไง?” ไอ้เจเลิกคิ้ว ผมเลยชี้ที่หางคิ้วตัวเองที่แตก

“มึงไม่สังเกตเหรอวะ กูโดนพ่อน้องเขาต่อยที่หางคิ้วอ่ะ” พูดแล้วยื่นหน้าไปใกล้ๆ ให้มันดู “เป็นไง รอยชัดปะ”

“ก็สมควร มึงคงไปกวนตีนพ่อน้องเขา” พูดแล้วจี้หางคิ้วผมแรงๆ ตบท้ายจนผมต้องกรี๊ดแตกลงไปนอนกลิ้งกับพื้นเพราะโคตรเจ็บ ส่วนแม่งตบเข่าฉาด

ไอ้เพื่อนเหี้ย ถ้าไม่ใช่มันกูแทงพุงแตกแน่

“ก็นี่ไง” ผมผุดลุกขึ้น ลูบหางคิ้วตัวเองป้อยๆ ขณะที่ตบโต๊ะลั่นห้อง “กูตั้งข้อเสนอไว้กับพ่อน้องมัน ว่าถ้าตบกู กูจะเรียกค่าสินสอด พ่อแม่งเลยต่อยกูที่หางคิ้วแล้วเอาน้องเข้าบ้าน”

“...”

“แต่เชื่อดิ” ผมแลบลิ้นเลียนิ้วแล้วยีแผลที่หางคิ้วอย่างมีแผนการณ์อันแยบยลในใจ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดี “หมาหยอกไก่กับกูแบบนี้”

“...”

“ไม่จบแค่สินสอดแน่ๆ”

[จบพาร์ท : ตะขวด]

บทก่อนหน้า
บทถัดไป