บทที่ 6 พ่อเธอโคตรดุ (2) จบตอน

หนูนั่งหลบสายตาพ่อระหว่างที่กินข้าวด้วยกัน

จะทำยังไงดีล่ะ พี่ขวดเล่นพูดกับพ่อไปแบบนั้นแล้วด้วย

พ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกินข้าวโดยไม่พูดไม่จาอะไรกับหนูเลยสักคำเดียว ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหนูเลยด้วยซ้ำ หนูเม้มปากแน่น ในขณะที่จะยื่นช้อนมาตักผัดผักใส่กุ้งใส่จานข้าวให้พ่ออย่างเกร็งๆ

พ่อนิ่งไป แต่ก็ยอมตักผัดผักที่หนูตักให้เข้าปาก

หนูคลี่ยิ้ม ถึงพ่อจะดุ ตีหนูบ่อยๆ แต่พ่อก็รักหนูเสมอ

“ไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะ” พ่อโพล่งขึ้นมา หนูสะดุ้งเมื่อได้ยินว่าพ่อพูดถึงพี่ขวด แทบสำลักข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากเลย “มันเป็นแฟนแกจริงเหรอมนต์?”

หนูกระแอมไอเพราะข้าวไหลลงคอไปด้วยอารามตกใจ ก่อนที่จะก้มหน้างุด

“... ก็” หนูอึกอัก ต้องตอบไปว่ายังไงดีนะ เพราะพี่ขวดคงไม่ยอมเลิกราวีหนูแน่ๆ “ก็น่าจะใช่ค่ะ”

“คบกันตั้งแต่ตอนไหน”

“วะ... วันนี้ค่ะ”

“คุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว ถึงตกลงไปคบกับมัน” คราวนี้หนูอึกอักไปพักใหญ่เลย จะตอบกลับยังไงดี

“กะ... ก็หลายเดือน... ค่ะ” สุดท้ายหนูก็เลือกที่จะโกหกพ่อออกไป เพราะกลัวพี่ขวดมากจนขึ้นสมอง หนูคงรู้ล่ะมั้งคะว่าพี่ขวดจะตามมายุ่งวุ่นวายอีกเรื่อยๆ เพราะเขารู้ที่อยู่ของหนูแล้วด้วย

พ่อรวบช้อนทันที เงยหน้าขึ้นมองหนูด้วยท่าทางอารมณ์ไม่ดีนัก

“อย่างน้อยก็น่าจะเลือกผู้ชายที่ดูดีกว่านี้หน่อยนะ” หนูสะอึก รู้สึกกินข้าวไม่ค่อยลงขึ้นมา “สักทั้งตัว ตัวใหญ่เหมือนควายแบบนั้น ลูกไม่กลัวสักวันมันจะทำร้ายลูกบ้างเหรอ”

หนูเม้มริมฝีปากแน่น จริงๆ ใครจะรู้ว่าหนูโดนบังคับให้ทำความรู้จัก ให้กลายเป็นแฟนเขาไปโดยที่คัดค้านอะไรไม่ได้เลย แถมครั้งแรกที่เจอเขายังขู่เก็ตจนต้องลงจากรถ BTS แถมยังบังคับพาหนูเข้าโรงแรมอีกด้วย

จะบอกพ่อได้ยังไงล่ะ ไม่งั้นหนูก็ต้องโดนตีไปด้วยน่ะสิ ที่ไม่รักนวลสงวนตัว

หนูเองก็รวบช้อนเหมือนกัน เพราะกินไม่ค่อยลงเลย เหลือบตาขึ้นมองพ่ออย่ากล้าๆ กลัวๆ ในขณะที่จะพูดออกมา “อิ่มแล้วค่ะ”

“ขึ้นไปอาบน้ำ อ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัย แล้วก็ไปนอนไป” พ่อพูดตามปกติที่พูดกับหนูทุกวัน เพราะบ้านของเราพ่อเคยเป็นข้าราชการครูมาก่อน และมีพี่ชายเป็นถึงนายกจังหวัด แต่มาเกษียณเพราะพอแม่เสีย พ่อก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงานต่ออีก

หนูเสียแม่ไปตั้งแต่อายุสิบขวบ แม่หายออกไปจากบ้าน มารู้อีกทีก็ยืนอยู่หน้ารูปขาวดำของแม่หน้าโลงศพ หนูร้องไห้ แต่ก็ไม่หนักเท่าคุณพ่อ พ่อร้องไห้กลางดึกอยู่เป็นเดือนๆ เลยค่ะ จนทุกวันนี้เริ่มทำงานขายหนังสือที่ร้านหนังสือเจ้าประจำที่พ่อกับแม่เคยไปเดทด้วยกัน

หนูโตมาโดยที่ได้รับความรักจากพ่อ ถึงแม้ว่าท่านจะดุ จะตีบ้างเวลาหนูกลับบ้านดึกเพราะแค่อยากไปเที่ยวกับเพื่อน จะคาดคั้นไม่ให้หนูมีแฟน แต่สุดท้ายที่พ่อทำไป ก็คือพ่อเขารักหนูนั่นเอง

หนูรู้ดีเลยล่ะ เลยพยายามทำตัวเป็นเด็กดีมาตลอด สอบได้ที่หนึ่ง ได้เกรดสี่ทุกวิชา แม้ว่าเรื่องกีฬาจะแทบไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม

แต่ก็เพราะเกรงใจพ่อที่หาเลี้ยงหนูตัวคนเดียวนั่นล่ะ หนูถึงได้กลัวพ่อขนาดนี้

หนูเข้าไปอาบน้ำ ก่อนที่จะแต่งตัวด้วยชุดนอนกางเกงขายาวสีชมพูอ่อน

นอกหน้าต่างฝนเริ่มลงเม็ดจนเริ่มเป็นเม็ดใหญ่ หนูเหลือบมองตอนที่นั่งทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ พร้อมกับหาข้อสอบเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยในโน๊ตบุ้คไปด้วย

นั่งอ่านอยู่สักพัก ฝนเริ่มตกแรงขึ้นจนสาดหน้ากระจกเสียงดัง หนูที่กลัวเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่เด็กจึงคว้าหูฟังมาเปิดเพลงเปียโนคลาสสิคคลอฟังเบาๆ ระหว่างที่นั่งติวการบ้าน เพื่อให้ตัวเองสงบจิตใจลง

จนในจังหวะหนึ่ง

หนูรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเคาะกระจกปึงปังดังลอดเข้ามาในหูฟัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคงดังในระดับหนึ่งแน่ๆ หนูเงยหน้าขึ้นไปมองกระจกใสที่มีผ้าม่านสีครีมปิดไว้ ก่อนที่จะเดินไปเปิดมันออกเพื่อดูลาดเลาด้านนอก

“...!!” แต่หนูก็ต้องตกใจผงะถอยหลังหนีแทบไม่ทันเมื่อมีคนกำลังเอาหน้าแนบกระจกแล้วฉีกยิ้มยิงฟันใส่จนเห็นเขี้ยวขาวทั้งสองข้างอยู่อีกฝั่งของบานหน้าต่าง

พะ... พี่ขวด!

“เปิด ให้ หน่อย” เขาพูดไม่มีเสียงตอนที่ใช้นิ้วกลางเคาะบานกระจก หนูสั่นหน้าทันที ร่างสูงเลยเลิกคิ้ว หนูเลยสั่นหน้าอีก

พี่ขวดเบะปาก ก่อนที่เขาจะล้วงค้อนออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่เปียกโชก (แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาพกมันมาได้ยังไง) แล้วเงื้อมือจะฟาดค้อนทุบหน้าต่างหนูโดยที่ไม่ปรึกษาก่อน

หนูรีบดันหน้าต่างออกมาทันที เพราะถ้าเขาทุบหน้าต่างหนูแบบนั้น พ่อต้องได้ยินแน่ๆ

“กว่าจะเปิดนะหนู” คำแรกที่เขาทักทายคือคำนี้ตอนที่ทิ้งค้อนลงบนหลังคา (บ้านหนูเป็นบ้านเล็กๆ ชั้นสองห้องหนูจึงไม่มีระเบียงค่ะ) แล้วยื่นหน้าเข้ามา “โคตรหนาวอ่ะ ฝนเสือกตกซ้ำอีก”

“พะ พี่ขึ้นมาได้ยังไงคะ” หนูละล่ำละลั่กพูดเสียงสั่นตอนที่คนตัวสูงโปร่งปีนหน้าต่างแล้วกระโดดโหยงลงพื้นห้องด้วยเสียงที่เบามากเหมือนเคยทำแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง

“ปีนขึ้นมา” เขาตอบหน้าตาเฉย หนูอ้าปากค้างทันที “บ้านหนูปีนง่ายดี รั้วก็โคตรเตี้ย ขโมยไม่เข้าบ้างเหรอวะถามจริง”

คนที่น่ากลัวกว่าขโมยก็คือพี่นั่นแหละค่ะ

“พี่ต้องรีบกลับนะคะ พ่อหนูก็อยู่นะ” หนูแทบจะร้องไห้พอพูดคำนั้น ถ้าพ่อรู้ล่ะก็หนูคงโดนตีจนขาลายแน่เลย

“ก็คิดถึงอะ” เขาทำเสียงออดอ้อน ซึ่งดูไม่น่ารักเลยสักนิดพอมาอยู่กับผู้ชายตัวโตแถมยังสักเต็มทั้งสองแขนแบบพี่ขวด เขาคว้าไหล่หนูด้วยมือหนาที่เปียกฝนแล้วกำชับให้เข้ามาชนหน้าอกของเขา

“...!”

“ห่างแค่ชั่วโมงเดียวก็คิดถึงจะตายห่าละ”

“ยะ... อย่าค่ะ หนูเจ็บ” หนูร้องออกมาเบาๆ เมื่อพี่ขวดบีบไหล่หนูแน่นขึ้นอีกจนหัวไหล่ทั้งสองข้างรู้สึกปวดแสบ

“พี่เปียกอ่ะ” เขาแสร้งทำเสียงอ่อย สะบัดศีรษะที่เปียกน้ำแล้วเสยผมที่เป็นทรงสกินเฮดย้อมสีทองสว่างของเขาขึ้นโดยที่ไม่มีผมติดมาสักเส้นเดียว ก่อนที่จะเลิกเสื้อนอนหนูขึ้นด้วยมือหนาข้างเดียว “เช็ดหน้าหน่อย”

“อะ...!” หนูร้องออกมาเมื่อพี่ขวดค้อมตัวลงแล้วรั้งชายเสื้อหนูถลกมาจนเลยขึ้นมาถึงเอวเล็กๆ แล้วเอาชายเสื้อหนูมาเช็ดหน้าตัวเอง

หนูยืนตัวเกร็ง แข็งค้างเมื่อเขาเช็ดเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นช้อนสายตาหยาดเยิ้มนั้นขึ้นมาเป็นจังหวะ หน้าหนูร้อนวูบเมื่อเขาชักชายเสื้อหนูเข้ามาด้วยแรงผู้ชายจนหนูเซเข้าไปใกล้เขาโดยที่รั้งแรงไว้ไม่ทัน

... แก้มของหนูชนเข้าที่ปลายจมูกโด่งของเขาพอดีเลย

“หื้มมมมมม สักฟอดดิ๊” เขาสูดลมหายใจจนเกิดเสียงโดยทำเพียงแค่แตะปลายจมูกลงกับแก้มหนูผ่านๆ หนูกรี๊ดในใจแล้วพยายามดันไหล่แกร่งของเขาให้ออกห่าง แต่พี่ขวดกลับคว้าหมับที่เอวของหนูแล้วบีบแน่นจนหนูแทบกรี๊ดออกเสียงจริงๆ “แก้มหอม เพิ่งอาบน้ำอะดิ”

“พะ... พี่ขวด” หนูกลั้นใจเรียกชื่อเขาเสียงสั่น แบบนี้มันคุกคามกันชัดๆ หนูไม่มีความรู้สึกอื่นใดเลยนอกจากความกลัว “ปล่อยหนูก่อนได้ไหมคะ”

“หวงตัวกับแฟนทำไมจ้ะ” เขาพูดจ้ะจ๋าแล้วใช้ริมฝีปากคาบกระดุมเม็ดเล็กๆ ของหนู แล้วปะ... ปลดมันออกด้วยลิ้น “กินเหล้ามาอะ ค่อนข้างเมา ขอหอมดับเมาหน่อยได้ปะ”

“ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวพ่อมาเห็น” หนูห้ามเขา ลุกลนจนปากสั่นไปหมด พออยู่ใกล้กันแบบนี้กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปหมด หัวใจหนูเต้นแรงมากๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจฟังเลย

พี่ขวดใช้ลิ้นปลดกระดุมหนูอีกเม็ดจนมันเผยไหปลาร้าของหนู หนูหน้าแดงก่ำ แต่อยู่ในท่าทางที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย พอขยับตัวพี่ขวดก็จะบีบเอวหนูจนรู้สึกเจ็บ

คนตัวใหญ่กว่าเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเราอยู่ห่างกันแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น พี่ขวดมองหนูด้วยแววตาหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก เขาใช้มือข้างที่ว่างดันหน้าท้องหนูจนหนูหงายหลังกระแทกลงกับเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ

“หนูขาวอมชมพูมาก” เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าคลั่งไคล้แบบบอกไม่ถูก “ที่เคยคุยมามีแต่ดำๆ ไม่ขาวจัดแบบนี้เลยว่ะ”

“พะ พี่ขวด” หนูเรียกชื่อเขาเสียงสั่นเพื่อเตือนสติเผื่อว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาจากอาการเมามายจนน่ากลัว แต่มันไม่เป็นผลเลยสักนิด

พี่ขวดนั่งคุกเข่าตรงระหว่างขาของหนูด้วยท่าทางที่อันตรายมากๆ ดวงตาของเขาฉ่ำปรือ และใบหน้าของเขาก็ประจันหน้าอยู่ตรง ‘นั้น’ พอดี หน้าหนูร้อนจนชาเมื่อเขาเอานิ้วโป้งมาปาดลิ้นสากแล้วเริ่มปลดกระดุมหนูที่เหลือออกด้วยมือแทน

“พี่ขวด อย่า...” เขาจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดที่หนูเอาแต่ห้าม เหลือบมองหนูตาขวางทันที จนหนูที่กลัวเขามากจนเลิ่กลั่กต้องเงียบเสียงลง

“จะตะโกนเรียกพ่อหนูก็ได้นะ” เขาพูดขึ้นมาตอนที่ตั้งหน้าตั้งตาปลดกระดุมหนูเม็ดเกือบสุดท้ายออก “พ่อหนูขึ้นมาดูเดี๋ยวก็รู้เอง ว่าหนูกำลังทำอะไรกับพี่อยู่”

“...!”

“ก็ไม่รู้เนอะ ว่าพ่อหนูจะรับได้ไหม อิอิ”

[พาร์ท : ตะขวด]

คนตัวเล็กเม้มปากแน่นทันทีที่ผมขู่ไปขำๆ โดยที่คิดว่าอย่างน้องคงไม่กล้าหือและคงไม่พ้นต้องยอม เธอตัวสั่นพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมา

“ร้องไห้น่ารักจัง” ผมเอื้อมมือเอานิ้วโป้งข้างที่ปาดลิ้นมาเช็ดน้ำตาให้น้อง อารมณ์ความรู้สึกมันแฮปปี้ไปหมด แถมยังลอยๆ อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่กินมาพร้อมๆ กับเบียร์ก็ได้ “เก็บน้ำตาไว้ไหลตอนพรหมจรรย์หนูฉีกเพราะพี่ดีกว่าค่ะ”

น้องมนต์ร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะคำพูดสุดเหี้ยเกินบรรยายโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าพูดออกไปได้ยังไงทั้งที่ตัวผมเองก็ยังไม่เคยแท้ๆ เธอสะอื้นแบบไม่มีเสียง

จั้กจี้หัวใจชิบหาย น่ารักน่ากินเยี่ยงสัตว์ป่าอะไรขนาดนี้

ชอบจังเลยตอนเธอร้องไห้

“... พี่ทำหนูกลัวค่ะ” เธอพูดเสียงสั่นเครือ ร่างเล็กยกมือบางๆ ขึ้นมาพยายามปิดหน้าอกของตัวเอง “หนูไม่ชอบแบบนี้เลย... ฮึก”

“โอ๋” ผมดึงเธอมาโอบปลอบแล้วตบหลังหนักๆ ทั้งที่รู้ว่าเธอกลัวผมมากจนจะกลั้นใจตาย แต่ยิ่งกลัว อาการลอยกลับทำให้ผมมีอารมณ์มากขึ้น “ไม่ต้องกลัว แค่โดนเอาเอง”

“...”

“ไม่เจ็บหรอกค่ะ”

คนตัวเล็กเอวบางไม่กล้าสบตาผมเลยแม้เเต่นิด น้องคงด่าผมในใจ น้องคงไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อผมไม่แคร์ซะอย่าง ผมจะทำเหี้ยอะไรก็ได้

เดี๋ยวน้องก็จะรักผมเอง เหมือนสิ่งที่พ่อเคยทำกับแม่ไง สุดท้ายก็รักกันอยู่ดี

“... อื้อ!” ดวงหน้าเล็กถูกบังคับให้หันมาสบตากัน ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของน้องมนต์ ในขณะที่เธอเอาแต่ทะลั่กเขื่อนน้ำตา

น้องมนต์ครางในลำคอ น่าหยิกน่าหยอกจนต้องพยายามเอาสันจมูกมาคลอเคลียที่แก้มเธอจนเด็กสาวตรงหน้ากลัวจนต้องหลับตาปี๋ตัวสั่นเทา แทบไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือเมื่อผมบังคับให้น้องเปิดปากแล้วพยายามจะจูบ

แต่ผมจูบไม่เป็น ปากใกล้แตะอยู่แล้วแต่ดันเขินขึ้นมาซะงั้น ปีนมาถึงห้องทั้งทีแต่ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง มันจะเสียเชิงชาย

“ทำหน้าน่ารักจังเลย” เลยแก้ตัวด้วยการใช้ประโยคหยาบโลนในการเร้าอารมณ์ หัวใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ นี่คือการใกล้ชิดกับผู้หญิงครั้งแรกในชีวิต ด้วยแพชชั่นความเลวที่ขับเคลื่อนจนมาถึงจุดนี้ แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดันถาโถมซ้ำ จนในที่สุดผมก็ปล่อยมือออกจากคางของเธอ “แต่ไม่ทำหรอกนะ”

คนตัวเล็กนั่งตัวแข็งทื่อ ในขณะที่ผมจะเอาหลังมือเช็ดปากตัวเอง คนเฟี้ยวๆ อย่างผมบางทีก็มีจุดที่ป๊อดมากเหมือนกัน แม้จะโด๊ปมาแล้วก็ตาม

น้องมนต์ก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่สั่นอยู่บนตัก ผมเลยถอยหลังล้มตัวสุดแรงไปนั่งกางขาบนเตียงนุ่มนิ่ม ได้กลิ่นหอมแบบกลิ่นแชมพูและแป้งเด็ก

“เมื่อกี้เป็นไง ใกล้ดีไหม” ผมเดาะลิ้นเปาะ มองหน้าน้องมนต์ที่นั่งเกร็งไม่ยอมพูดยอมจา “เสีย.วดีปะ”

“มะ... ไม่ค่ะ” เธอตอบคำตอบน่าฟัง ก่อนที่จะขยับตัวอย่างอึดอัด “นะ หนูรู้สึกแปลกๆ”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วตอนที่สั่นขายึกยักอยู่บนเตียง

“หนู...” เธอหน้าแดงซ่าน นั่งบิดไปมา “นะ หนู”

“ทำไม” ผมใคร่อยากรู้จนต้องลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ๆ น้องมนต์รีบส่ายหน้าหวือ

“ไม่ค่ะ อย่าเข้ามานะคะ” เธอยกมือห้าม แต่ท้ายประโยคกลับพูดเสียงเบาลง “... เดี๋ยวพี่ก็ทำอะไรหนูอีก”

ผมเอียงคอ ฉีกยิ้มจนตาหยี

“อย่างเช่น?”

“กะ ก็...” เธอไม่กล้าสบตาผมเลยว่ะ หรือว่ากลัวซะจน... “ก็มัน...”

“ก็มัน?”

“ก็มัน...” ผมหรี่ตาลงมองมือเธอที่กำชายเสื้อปิดบางอย่าง นิ่งไปนิดหน่อย ก่อนที่จะดีดนิ้ว “หืม?”

“... อะ!” คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อกูค้อมตัวยกขาข้างนึงเธอขึ้นอย่างอุกอาจ น้องมนต์แทบกรี๊ด แต่ผมก็ได้เห็นเต็มสองตาว่า

ตรงนั้นมัน...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป