บทที่ 7 โคตรเชี่ยเลย (1)

ตรงนั้นมัน...

“เฮ้ย” ผมรีบผละออกทันที น้องมนต์ยกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้นแบบอับอายสุดกู่ ผมที่ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์แบบนี้ถึงกับชี้นกชี้ฟ้า “นี่อะไรอะ”

“อะ... ฮึก”

“หนูฉี่ราดอ่อ?”

น้องมนต์ร้องไห้ออกมาอย่างหนักทันที เธอคงขายหน้าจนหยุดไม่อยู่ ขาเรียวเล็กและขาวจัดสั่นระริก น้องเอามือปิดหน้าอยู่แบบนั้น ในขณะที่ผมจะผละออก วางขาน้องลงทันที

น้องฉี่ราดว่ะ เหมือนกลัวมากจนเผลอเล็ดออกมา

มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับผม แต่ออกจะเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกแย่ อาจจะดูเหมือนผู้ชายเหี้ยๆ คนนึงที่คิดแต่เรื่องกามๆ แต่ก็คงเป็นงั้นจริงๆ สงสัยผมรุกหนักเกินไป เด็กมันเลยกลัวจนเป็นแบบนี้

รู้สึกละอายใจ แต่เพราะนิสัยเลวๆ ที่ติดเป็นนิสัย ผมทำทีเป็นยิ้มแห้งๆ ออกมา

“อะ... ออกไปนะ” น้องไล่ผมด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่ากำลังหวาดกลัวสุดขีด “... ไม่เอาแล้ว”

“เอาเป็นว่า” ผมเกาคางตัวเอง ท่ามกลางเสียงห่าฝนมันพาลทำให้นึกอะไรไม่ออก จะแก้ต่างอะไรให้ตัวเองงั้นเหรอ? ในเมื่อผมทำลงไปซะขนาดนี้แล้ว

“...”

“จะเก็บเป็นความลับระหว่างเราสองคนก็ได้”

“...”

“ไปก่อนนะคะ” ผมพูดกับน้องมนต์ที่นั่งน้ำตาร่วงเผาะหน้าแดงก่ำอยู่ที่เก้าอี้ ไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้น ไม่ได้เลียด้วย แค่บอกไปว่าจะไม่บอกใครว่าน้องมนต์ฉี่ราดเพราะกลัวผมมากขนาดไหน

อย่างเธอคงไม่โอเคหรอกใช่ปะ ถ้าผมจะพูดเรื่องแบบนั้น

ผมมันก็ปอดแหกไม่ต่างกัน

ตึก...

เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นมาตามบันได คนตัวเล็กหันขวับไปมองแล้วรีบหันหน้ามาทำหน้าน่าสงสารปนอ้อนวอนขอร้องให้ผมรีบออกไปสักที

เออ มาถึงขนาดนี้แล้วไปก็ได้ ถ้าโดนไอ้แก่นั่นต่อยอีกทีคงหมดอารมณ์

อยากจะไปหาอะไรระบายอารมณ์ปอดแหกสุดเซ็งนี่ด้วยเหมือนกัน

ทั้งๆ ที่เป็นหัวโจกเด็กช่างกลแท้ๆ แต่ดันอ่อนด๋อยเรื่องผู้หญิงอยู่เสมอ แม่งไม่กล้าสักที สงสัยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันค้ำคอ

“บาย” พอคิดได้แบบนั้นก็จิ๊จ๊ะกับตัวเอง โบกมือลาคนตัวเล็กพร้อมกับกระโดดลงไป เพราะนี่มันแค่ชั้นสองเอง

ผมบึ่งรถมอไซค์คู่ใจ ยกล้อกลางถนนเพื่อกลับบ้านรวมถึงระบายอารมณ์งี่เง่าพวกนี้ด้วย หลังจากที่ลงมือทำไปแล้ว แต่กลับทำใจทำต่อไม่ลง เพราะอีกฝ่ายดูกลัวมากจนกระทั่งฉี่ราดจนซึมกางเกงซับในสีขาว

ขาลงจากบ้านน้องมนต์เกือบโดนพ่อน้องจับได้ แต่เหมือนไอ้แก่นั่นจะไม่ได้เข้ามาในห้อง หลังจากกระโดดลงไปพ่อเธอก็เปิดประตูเข้ามาแล้วก็พูดคุยกับน้องนิดหน่อย ผมยืนหลังต้นไม้แอบดูลาดเลาจนพ่อน้องออกไปแล้วปิดไฟ เลยปีนข้ามรั้วเตี้ยๆ ไปคร่อมรถบิดกลับบ้าน

พูดแล้วก็เซ็ง เพราะผมเองก็ต้องกลับมาเจอไอ้แก่ที่บ้านเหมือนกัน

หมายถึงพ่อแท้ๆ ของผมน่ะ

ผมบึ่งรถมาจนถึงบ้าน แสงไฟจากมอเตอร์ไซค์ปะทะเข้ากับตัวสูงๆ ของไอ้ตะโขงที่กำลังจะขับพาแฟนมันไปส่งที่บ้าน มันเงยหน้าขึ้นมองผม ผมมองกลับ เลิกคิ้วบากๆ ให้มันอย่างกวนส้นตีน

“ไปไหนมา” มันถามเรียบๆ ผมเลยไหวไหล่ ถึงจะเป็นพี่ชายกูก็ไม่ต้องแส่ได้ไหม ผมกำลังเซ็งตัวเองอยากหาที่ระบายอารมณ์อยู่ด้วย

“เสือก”

“พ่อรอด่ามึงอยู่ในบ้าน” มันไม่ว่าอะไรที่ผมกวนตีนเลยสักคำ ใจเย็นแบบนั้นต่อหน้าเมียยิ่งน่าหงุดหงิด ผมเดาะลิ้น ขัดใจที่มันยังคงเป็นคนที่นิ่งและยอมพี่ยอมน้องเสมอต้นเสมอปลาย “กลับดึกขนาดนี้ คงโดดเรียนใช่ไหม”

“อย่าเสือกได้ไหมโขง มึงไปส่งเมียวัยละอ่อนของมึงเหอะ” ผมมองแฟนเด็กของมันที่นั่งซ้อนหลังรถมอเตอร์ไซค์ไม่กล้ามองหน้าผมด้วยซ้ำ สาดอารมณ์เซ็งด้วยการใช้ถ้อยคำคุกคามผู้หญิงโดยไม่มีเหตุผล “ก่อนที่กูจะปิ้บๆ เมียมึง”

“ไปตายซะ” มันสบถด่าออกมา เป็นครั้งแรกที่มันขึ้นกับน้องเรื่องผู้หญิง แล้วสตาร์ทเครื่องขับรถออกไปทันที

ผมแค่นหัวเราะ น่าแปลกที่มันเป็นพี่แต่ผมไม่เคยเคารพเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไอ้โขงมันเป็นคนนิ่งๆ รักใครรักจริง คบเป็นคนๆ ไป เป็นผู้ชายคนเดียวในตระกูลที่สักน้อยมากจนแทบไม่ค่อยมี เป็นผู้ชายในครรลองคลองธรรม ในขณะที่ผมกับพ่อล่อซะทั้งแขน

แต่ผมก็ไม่คิดจะเรียนรู้จะใช้นิสัยนั้นของพี่ พูดง่ายๆ คือผมมีปม

บ้านของผมพ่อแม่มีลูกทั้งหมดสามคน คนแรกคืออีเอย ตามด้วยไอ้โขง แล้วมาต่อที่ผมคนสุดท้อง แต่ถ้าถามว่าทำไมมารู้เรื่องของผมก่อน พอดีว่าเรื่องของผมมันน่าสนใจกว่าพวกนั้น จบไหม

อีเอยคือพี่ที่น่าขัดใจ มันเรียบร้อย เรียนเก่ง ติดพ่ออย่างกับอะไรดี พ่อรักมันยิ่งกว่าใครๆ ต่างกับผมที่ไม่ถูกกับใครสักคนในบ้าน เหตุผลไม่ต้องถาม เพราะผมมันคนอินดี้ไง ผมไม่นิยมสนิทกับครอบครัวตัวเอง แบบว่าแคร์คนอื่นมากกว่าคนรอบข้างอ่ะ

ยิ่งมันรักพ่อ ผมยิ่งไม่ถูกโรคกับมัน

ผมชอบล้อมันว่าอีเอยนมโต ก็นมมันใหญ่จริงๆ

อ่อ แต่พอดีว่าผมชอบแบบอกเล็กๆ อะนะ แต่เรื่องนั้นช่างมันไปก่อน

แกรก

ผมเปิดประตูเข้าไปกระแทกผนังดังปึง ภาพแรกที่เห็นคืออีเอยกำลังนวดขาให้ไอ้แก่ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของผม ผมเบ้หน้าเซ็งตอนที่สะพายกระเป๋าเรียนแบนลีบติดหลังเพราะไม่มีตำราเรียนอะไรหรอกนอกจากซองบุหรี่แล้วจะเดินขึ้นห้อง

“แม่อะอีเอย” ผมหันไปถามมัน อีเอยเงยหน้าขึ้นมามองตาเขียวทันที

“กลับดึกนะ เถลไถลตลอด แล้วเลิกเรียกพี่ว่าอีได้แล้ว พี่ไม่ชอบ” มันด่าผม ผมเลยเลิกคิ้ว ก่อนที่จะเดินไปเตะมันทีนึง

“เสือกไรอ่ะ” มันทำตาโต เขยิบหนีไปลูบหลังป้อยๆ “สาระแนมากเดี๋ยวก็เจอดีหรอก”

“ไอ้ขวด มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะ”

“กลับดึกนะ เถลไถลตลอด แล้วเลิกเรียกพี่ว่าอีได้แล้ว พี่ไม่ชอบ” มันด่าผม ผมเลยเลิกคิ้ว ก่อนที่จะเดินไปเตะมันทีนึง

“เสือกไรอ่ะ” มันทำตาโต เขยิบหนีไปลูบหลังป้อยๆ “สาระแนมากเดี๋ยวก็เจอดีหรอก”

“ไอ้ขวด มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะ” ไอ้แก่ที่นั่งให้ลูกนวดขาเป็นทาสในเรือนเบี้ยชี้หน้าด่าผมทันทีที่เห็นหน้า “กลับมาช้าไม่ช่วยแม่ทำงานทำการ มึงยังมาทำตัวแย่ๆ ใส่พี่อีก”

ผมยักไหล่ “แล้วไง”

“มึงขึ้นห้องไปเลย” พ่อไล่ผมขึ้นข้างบน แต่เชื่อไหม ผมไม่สน ผมเหวี่ยงกระเป๋าเป้นักเรียนลงพื้น

“เปล่า แค่จะกลับมาทิ้งกระเป๋า”

“...”

“จะไปมหาวงศ์ต่อ”

“มึงจะไปทำไม” อีกฝ่ายถามเหมือนไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ผมเลยฉีกยิ้มกว้าง

“ยุ่งทำไมอ่ะพ่อ”

ผมบิดออกมาจากบ้านท่ามกลางเสียงก่นด่าของไอ้แก่ แม่กับอีเอยออกมาห้ามไว้ไม่ให้ขับตามผมไปมหาวงศ์ด้วย ผมเลยได้แต่ฉีกยิ้มจนตาหยี

จะมาควบคุมชีวิตผมเหรอ รอไปอีกเจ็ดชาติก่อน

[จบพาร์ท : ตะขวด]

[พาร์ท : พ่อตะเข้]

“พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ” เอยถามไถ่อย่างเป็นห่วงตอนที่ผมล้มตัวลงนั่งกับเก้าอี้ในห้องครัวอย่างเพลียใจกับไอ้ลูกชายคนเล็ก ผมหันไปมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ที่มีกับนุ่มตั้งแต่สมัยยังหนุ่มสาว แล้วเธอก็พาลูกหนีผมไป

“พ่อโอเค” ผมเอ่ยกับลูก ลูบหัวอีกฝ่ายหนักๆ “แค่เหนื่อยใจกับไอ้ขวดมันนิดหน่อย”

“ใช้ไม่ได้เลยนะคะขวดน่ะ” เอยนั้นไม่ค่อยถูกโรคกับตะขวดตั้งแต่เล็ก มันไม่ถูกกันเพราะตั้งแต่จำความได้ ไอ้ขวดมันติดพิเรนทร์ นิสัยเสียชอบใช้กำลังกับพี่ ทั้งๆ ที่ผมพร่ำสอนอยู่ตลอดว่าควรให้เกียรติผู้หญิงเพื่อลบอดีตแย่ๆ ที่ผมเคยทำไว้กับนุ่มสมัยยังหนุ่ม แต่เหมือนเวรกรรมจะตามทัน ลูกชายคนเล็กดันนอกคอกไม่เอาใครในบ้านเลย “มันไม่ออมแรงกับหนูเลย แถมยังพูดจากับพ่อไม่ดีอีก”

“นั่นสิลูก” ผมครางรับอย่างเห็นด้วยแล้วคลึงขมับตัวเอง “ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงได้เป็นคนแบบนี้”

“พี่เข้พักผ่อนก่อนดีไหมคะ” เมียผมที่เดินออกมาจากครัว ดูเหมือนจะได้ยินทุกอย่างหมดแล้วจึงเอามืออังหน้าผากผมอย่างเป็นห่วง เหมือนพยายามเบี่ยงประเด็นไม่ให้ผมพูดกับเอยเกี่ยวกับปัญหาของไอ้ขวดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ‘วันนั้น’ “นุ่มไปเตรียมน้ำอุ่นให้นะ อาบน้ำพักผ่อนก่อน ส่วนเรื่องตะขวด นุ่มคิดว่าลูกดูแลตัวเองได้”

“นุ่มเชื่อใจไอ้ขวดมากไปรึเปล่า” ผมหันไปมองเมียตัวเองอย่างจริงจัง “นุ่มตามใจลูกทุกคน เอยกับโขงอาจจะเข้าที่เข้าทาง แต่ไอ้ขวดมันฉีกไปเลยจริงๆ นะครับ”

“อย่างน้อยเราก็ควรไถ่โทษให้ลูกตั้งแต่วันนั้นนะคะ” ผมนิ่งไป เธอพูดแล้วมีสีหน้าจริงจัง “เอาเป็นว่า... นุ่มว่าลูกดูแลตัวเองได้ สักวันลูกจะต้องได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ถูกไม่ควร”

“...”

“เนื้อแท้ของขวดเป็นเด็กดี เชื่อนุ่มนะคะ”

แน่นอนว่าผมเชื่อเมียตัวเอง พอๆ กับที่ไม่เชื่อเช่นกัน

ผมมีที่พึ่งเดียวคือพ่อ ก็เลยโทรหาพ่อในตอนนั้น พ่อผมที่ตอนนี้แก่ตัวลงมาก แต่ตัวใหญ่แข็งแรงไม่เหมือนคนแก่ ยังทำงานหนักไม่ยอมเกษียณ เป็นผู้เฒ่าวัยเก๋าที่ยังทันสมัยกับทุกสิ่ง พอโทรไปก็รับสายทันทีเหมือนรู้ใจกัน

[ว่าไงไอ้ลูกรัก] เสียงทุ้มแหบดุดันตามประสาคนแก่วัยเกษียณดังขึ้น ผมแค่นหัวเราะ ลูบหัวคิ้วตัวเองโดยไม่ยอมพูดอะไร แต่เหมือนพ่อจะรู้ทัน [เรื่องไอ้ขวดล่ะสิ มึงโทรมาหากูเรื่องไอ้หลานตัวดีคนนี้ทุกที]

“ใช่ครับ” ผมตอบรับไปตรงๆ “ทำยังไงให้มันเลิกทำตัวนอกคอกแบบนี้สักทีครับพ่อ เข้ปวดหัวกับมันมามากจริงๆ ยิ่งโตก็ยิ่งกร่าง ยิ่งเกเรขึ้นทุกวัน”

[ก็เคยบอกไปแล้วนี่] เสียงกดไฟแช็คติดๆ ดับๆ ดังขึ้น เหมือนพ่อจะสูบบุหรี่อีกแล้ว [ว่าสมัยเรียนกูก็เป็นแบบมัน ต้องให้ผู้หญิงมาช่วย]

“เลิกสูบบุหรี่ได้ล่ะ ไปตรวจปอดอยู่เห็นว่าไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ?” ผมเลยเตือนพ่อไปหน่อยเรื่องบุหรี่ เพราะพ่อไม่เคยเลิกมันได้สักที รวบหมดทั้งบุหรี่ทั้งเหล้า เมื่อวันก่อนพาไปเอ็กซเรย์ปอด หมอบอกให้ลดๆ อยู่ เพราะพ่อเองก็แก่มากแล้ว

[เสือกเรื่องของกู ไปทำให้เมียติดมึงก่อนไป]

“นุ่มติดเข้อยู่แล้ว”

[นึกอายเมียตัวเองบ้างไหม โตเป็นควาย แก่จนมีลูกโตซะขนาดนั้น ยังโทรมาฟ้องกูเรื่องหลานอยู่ตลอด]

“เผื่อพ่อมีวิธีดีๆ” เริ่มฉุน ถ้าพูดอีกทีจะไม่ไว้หน้าพ่อแล้วนะ กวนประสาทชิบหาย คุยทีไรเหมือนคุยกับตัวเอง “หรือไม่ใช่?”

[มึงไม่ลองตามดูล่ะ เผื่อลูกมึงอาจจะติดผู้หญิงอยู่]

“มันก็ติดไปทั่วนั่นแหละ พ่อแม่ทางฝ่ายนู้นมาฟ้องเกือบทุกอาทิตย์ว่ามันไปฉุดเขา ลำบากผมต้องจัดการให้ตลอด ทำจนเป็นสันดานไปแล้ว เข้าค่ายกักกันเยาวชนก็แล้ว ขังในตารางสองอาทิตย์ก็แล้ว มันไม่เคยจำ” ผมพูดแล้วนวดหัวคิ้วเพราะไมเกรนขึ้น ไอ้ขวดมันเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันคงจะเป็นเวรเป็นกรรม เพราะสมัยเรียนผมก็ใช่ย่อยเหมือนกัน “ไม่รู้จะทำยังไงแล้วพ่อ”

[กูจะส่งพวกลูกน้องไปสืบก็แล้วกัน] พ่อเลยโพล่งขึ้นมา ได้ยินเสียงพ่นควันตามมาติดๆ มันวิธีถนัดพ่อเลยเรื่องนี้ เพราะบิดาของพ่อ หมายถึงปู่ของผมน่ะ มีเส้นสายทางตำรวจอยู่มาก

“...”

[เผื่อมันอาจจะติดผู้หญิงสักคนอยู่จริงๆ ก็ได้ กูสันนิษฐานอะไรไว้ไม่เคยพลาดหรอก] ผมเลิกคิ้ว แต่ก็ขัดใจตอนที่พูดออกมา

“บอกให้เลิกบุหรี่ไง อย่ามาดื้อได้ไหม เดี๋ยวจะฟ้องแม่นิ้ง”

[เรื่องของกูไหมไอ้ลูกเวร] พ่อเลิ่กลั่กสวนทันที ตั้งแต่วัยรุ่นยันแก่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ยังกลัวแม่เหมือนเดิมทั้งๆ ที่แม่เรียบร้อยจะตาย แม่ผมถึงแก่แต่ก็ยังสวย เด็กหนุ่มตามเทียวไล้เทียวขื่อทุกวันจนพ่อผมไม่เป็นอันทำอะไร [อย่าไปบอกนิ้งเชียวนะ ได้โดนบ่นตายห่า ขี้เกียจฟัง]

“โอเค” ผมรับคำอย่างว่าง่าย เพราะตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้คืนดีกับนุ่ม พ่อก็ช่วยผมไว้เยอะ เอาเป็นว่าจะไม่รบกวนความรักระหว่างพ่อกับแม่แล้วกัน “แค่นี้ก่อนนะพ่อ นุ่มคงรอนาน ต้องอาบน้ำพร้อมกันทุกวัน”

[เชิญ] ให้เดา พ่อคงเบ้ปากให้กับเรื่องของผม [ได้เรื่องกูจะโทรมาบอกอีกที]

“ได้ครับพ่อ” ผมกดวางสาย ลูบหนวดตัวเองด้วยอารามครุ่นคิด

ผู้หญิงที่ไอ้ขวดมันจะลงหลักปักฐานด้วยงั้นเหรอ? คนอย่างมันรักใครเป็นที่ไหน นอกจากจะดักฉุดเขาเพราะความคึกคะนองของตัวเอง

เอาเป็นว่า คนที่รู้จักมันดีอย่างผมจะยังไม่เชื่อเรื่องนี้ และจะต้องหาวิธีจัดการไอ้ลูกเกเรคนนี้ให้หลาบจำ

[จบพาร์ท : พ่อตะเข้]

บทก่อนหน้า
บทถัดไป