บทที่ 2 ยูกิ : 1
:: เรื่องร้ายๆ กับ การพบกันครั้งแรก ::
แฮ่ก แฮ่ก~
ตึก ตึก ตึก
“คุณหนูครับ ไหวมั้ยครับ”
เสียงใคร? เหมือนฉันได้ยินเสียงคนพูดอยู่ข้างๆ
หูฉันได้ยิน สมองฉันรับรู้ แต่ทำไมจิตใจฉันมันถึงได้เลื่อนลอยแบบนี้กัน
“เดี๋ยวเรือจะพาเราไปที่ท่าเรือที่ประเทศไทย พอถึงที่นั่นแล้วผมรับรองว่าคุณหนูต้องปลอดภัย”
ปลอดภัยเหรอ?
เขาหมายถึงอะไร ปลอดภัยจากอะไร
สองตาที่เลื่อนลอยของตัวเอง หันไปจ้องมองผู้ชายที่เรียกฉันว่าคุณหนูที่กำลังนั่งที่พื้นเรือที่กำลังโคลงเคลงเพราะมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนทะเลสินะ
“ฉัน... เป็นใคร?” ฉันเอ่ยถามคนที่นั่งข้างกาย
คนได้ฟังถึงกับเบิกตากว้าง คิ้วขมวดเข้าหากันแลดูยุ่งเหยิง
“คุณหนูจำผมไม่ได้เหรอครับ ผมฉิงเฉา ลูกน้องคนสนิทของคุณพ่อคุณหนูไงครับ”
ฉิงเฉา? เหมือนจะคุ้น แต่ก็ไม่เห็นจะจำได้เลย
เมื่อพยายามครุ่นคิดอยู่นานสองนาน แต่กลับไม่พบชื่อนี้ในหัวเลยแม้แต่น้อย เลยได้แต่ส่ายหัวไปมาเพื่อตอบเขาไป
“ซวยแล้ว!”
ฉิงเฉา ทำหน้าแตกตื่น เหงื่อแตกพลั่กพร้อมกับสบถออกมาเสียงเบาหวิว
“คุณหนูชื่ออะไรจำได้ไหมครับ”
ชื่อฉันเหรอ?
อ้าว! ฉันไม่ได้ชื่อคุณหนูอะไรนั่นหรอกเหรอ
แล้วฉันชื่ออะไรล่ะ ทำไมแม้แต่ชื่อตัวเองฉันก็ต้องคิดมากขนาดนี้นะ
“โอ๊ย! ไม่รู้ ปวดหัว”
ฉันใช้สองมือกุมขมับทั้งสองข้าง ก้มหน้าหงุด วางหน้าผากมนไว้บนเข่าทั้งสองข้าง พร้อมกับส่ายหัวไปมาบนเข่าบางนั้น
“ใจเย็นๆ ครับคุณหนู ไม่ต้องคิดแล้ว เดี๋ยวผมบอกเอง”
ฉิงเฉารีบดึงมือทั้งสองข้างของฉันออกจากหัวน้อยๆ เลื่อนมือหนาใหญ่มาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉัน เพื่อที่จะหยุดอาการดิ้นของตัวเองให้หยุดลง
“ฉะ ฉัน ชื่อฉันล่ะ”
ปากเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง เพราะการกลั้นก้อนสะอื้นจากอาการปวดหัวก่อนหน้านี้ สองตาปรือที่พล่ามัวมองหน้าคนที่เรียกตัวเองว่าคุณหนูเขม็ง
“คุณหนูชื่อ หลัน ไฉ่หง อายุย่าง 21 พ่อคุณหนูเป็นคนฮ่องกง ส่วนคุณแม่เป็นคนไทย และพวกท่านเป็นคนดี คุณหนูจำไว้เท่านี้ก็พอแล้วครับ”
‘หลัน ไฉ่หง’
ชื่อเพราะดีนะ ถึงว่าทำไมฉันถึงอ่านทั้งภาษาไทยและจีนออก ที่ไหนได้ เป็นลูกผสมนี่เอง แต่ทำไมฉันถึงนึกหน้าตาพ่อแม่ หรือแม้แต่เรื่องราวของพวกท่านไม่ได้เลยล่ะ
“แล้วเตี่ยกับแม่หงส์ล่ะ” นึกเรื่องนี้ได้เลยรีบเอ่ยถามฉิงเฉา
“เรือเทียบท่าแล้วครับ ไว้เดี๋ยวเราหาที่พักที่ไทยก่อน แล้วผมจะเล่าเรื่องคุณท่านทั้งสองให้คุณหนูฟังทีหลัง”
ฉิงเฉาค่อยๆ พยุงตัวฉันขึ้นแล้วพาเดินลงจากเรือขนาดใหญ่ ขอเดาว่าน่าจะเป็นเรือขนส่งสินค้ามากกว่าเรือท่องเที่ยว เพราะมันมีแต่ลังตู้คอนเทนเนอร์ และกล่องไม้ขนาดใหญ่เต็มท้องเรือไปหมด
‘ทำไมภาพพวกนี้มันดูชินตาจัง’
@ประเทศไทย
“เช่าห้องเดียวเหรอ สงสัยเป็นคู่ผัวเมียมาท่องเที่ยวกันสินะ”
ฉันยินมองฉิงเฉาที่ยืนคุยกับเจ้าของห้องเช่าหลังเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือที่พวกเราเพิ่งลงมาเมื่อก่อนหน้า
“ไม่ต้องยุ่ง! เท่าไหร่”
ฟังจากน้ำเสียงฉิงเฉาเหมือนเขากำลังหงุดหงิดผู้ชายร่างท้วมที่น่าจะเป็นเจ้าของที่นี่
“ได้ห้องแล้วครับคุณหนู เดี๋ยวผมพาคุณหนูไปพักก่อน แล้วจะออกไปหาอะไรมาตุนไว้ให้ เราคงต้องพักที่นี่สักพัก”
ฉันพยักหน้าให้กับฉิงเฉา แล้วเดินตามเขามายังห้องที่อยู่ชั้นสองของบ้านเช่าหลังนี้ ที่เรียกว่าบ้านก็เพราะมันมีแค่ 2 ชั้นและ ชั้นละ 2 ห้อง
ฉิงเฉาทิ้งฉันไว้ที่ห้องพักประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาพร้อมกับถุงสีขาวของร้านสะดวกซื้อ
‘ผมมีเงินไทยติดตัวไม่เท่าไหร่ ไว้พรุ่งนี้จะลองเอาเงินไปแลกที่ธนาคารหวังว่าผมจะหาญาตินายหญิงพบก่อนพวกมันจะมาถึง’
ฉันขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดประโยคหลังของฉิงเฉา ‘พวกมัน’ ที่เขาพูดหมายถึงใคร ดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวกับคนที่เขาเพิ่งเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้มาก
ดูจากสีหน้าที่ถอดสี แล้วไหนจะร่างกายที่สั่นเทา
‘ทำไมเขาดูเกร็งและเครียดมากขนาดนั้นด้วย’
“นายหมายถึงพวกไหนเหรอ” เพราะความอยากรู้ฉันเลยเอ่ยถามเขาออกไป หวังว่าเขาคงจะบอกให้ฉันหายสงสัยบ้าง
แต่ไม่เลย...ฉิงเฉากลับเลี่ยงการตอบคำถามฉัน
เดินไปมุมห้อง ที่เขาเพิ่งซื้อกระติกน้ำร้อนมาด้วย เสียบปลั๊กมันกับเต้าเสียบที่ติดอยู่ข้างผนังไม้ของห้องสี่เหลี่ยมนี้ เติมน้ำเข้าไป แล้วก็นั่งเหม่อลอยอยู่ข้างๆ กระติกน้ำร้อนนั้น
ความสงสัยใคร่รู้ของฉันยิ่งเพิ่มทวีพูน ทำไมเขาไม่ยอมบอกฉันถึงพวกนั้น ที่เขาหลุดปากพูดออกมา มันเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เขาพาฉันหนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ประเทศไทยแบบนี้ด้วยสินะ
ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว ที่ฉิงเฉาทิ้งฉันไว้ที่ห้องนี้คนเดียว โดยที่ก่อนออกไปเขาบอกเพียงแค่ว่าจะออกไปสืบข่าวคราวเกี่ยวกับญาติฝ่ายแม่ให้ฉัน
พร้อมกับทิ้งถุงผ้าสีแดงที่ปักด้วยตัวอักษรจีนว่า ‘หลัน ไฉ่หง’ ไว้ด้วย
ผ่านมาสองวันแล้ว ที่ฉันเอาแต่นั่งมองบานประตูห้องเช่าแห่งนี้ หวังให้มีเงาของลูกน้องคนสนิทอย่างฉิงเฉาโผล่มาบ้าง
ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาบอกจะออกไปตามหาญาติฉันให้ เขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ความร้อนลุ่มในอกมันเริ่มสุมมากขึ้น ไม่อยากจะคิดไปในแง่ร้ายว่าเขาจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า แต่มันก็ห้ามใจไม่ได้สักนิด
“นายจะหลงทางหรือเปล่านะ”
สิ่งแรกที่คิดได้คือ ‘การหลงทาง’ เพราะการต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้คนอย่างพวกเรามีสิทธิ์ที่จะหลงทางมากที่สุดไม่ใช่หรือไง
แต่ดูจากลักษณะของฉิงเฉาแล้วเขาไม่น่าจะหลงทางได้
เขาพูดไทยได้ชัดเหมือนๆ กับฉัน และดูเหมือนเขาจะดูคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าฉันเสียอีก
