บทที่ 5 มื้อค่ำ

20:25 นาฬิกา

แก๊งบิ๊กไบค์สี่คันขี่เข้ามาจอดเทียบหน้าอู่ซ่อมรถ เสียงเครื่องยนต์หนัก ๆ ดังกระหึ่มซอยบ้าน ฉันก้าวลงจากรถไคโรพลางยื่นหมวกกันน๊อคส่งคืน มองไปทางเพื่อนชายอีกสามคนที่คร่อมรถอยู่คนละคันแล้วโบกมือให้พวกมัน

“ขอบใจที่มาส่ง พวกมึงก็ขี่รถกลับกันดี ๆ ล่ะ อย่าซิ่งนัก”

“เออ ๆ รู้แล้ว งั้นพวกกูไปก่อนนะ มึงกลับเลยป่ะเนี่ยไอ้ไค?”

“อีกแป๊บ พวกมึงไปก่อนเลย ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ไคโรโบกมือไล่ คนอื่น ๆ เลยแยกย้ายกันขี่รถออกไป ฉันหันกลับมามองร่างสูงตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว

“อ้าว แล้วมึงไม่กลับบ้าน?”

“ยังอ่ะ กูหิว” ไคโรจอดรถแล้วลงมายืนหน้าตาเฉย ก่อนเดินเข้าอู่โดยไม่รอฉันเลย ฉันอ้าปากค้างรีบวิ่งตามหลังมันไป อย่างที่เคยบอกว่าบ้านฉันทำอู่ซ่อมรถ ตัวบ้านพักจริง ๆ อยู่หลังอู่ซ่อมรถ หากจะเข้าบ้านต้องเดินผ่านอู่ก่อน

“เดี๋ยวไอ้ไค นี่มึงจะหน้ามึนฝากท้องบ้านกูอีกแล้วล่ะสิ”

“เออสิ กูอยู่ห้องคนเดียว กลับไปก็ไม่มีไรกิน ฝากท้องบ้านมึงดีกว่า อิ่มด้วย อร่อยด้วย” ดูเหตุผลมันสิ บนโลกนี้จะมีใครหน้าด้านได้เท่าไอ้บ้านี่อีกไหม

“ได้ข่าวว่าพ่อเสือมีลูกสี่คนนะไม่ใช่ห้าคน จะให้บ้านกูเลี้ยงมึงเพิ่มอีกคนหรือไงเนี่ย โคตรเปลือง” ฉันว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก เราเดินผ่านอู่มาจนถึงโซนหน้าบ้านแล้ว และกำลังจะเข้าบ้านถ้าไม่ติดเสียงทักของใครคนหนึ่ง

“กลับช้าจังวะไอ้สวย ได้ข่าวว่าเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสาม?” ถ้าแสนรู้เรื่องตารางชีวิตฉันขนาดนี้ก็มีแค่คนเดียวแหละ

“สวยไปทำโปรเจคที่บ้านไอ้ไปป์มา...” ฉันถอนหายใจหันไปตอบก่อนชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่สิงห์ไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านคนเดียว แต่ยังมีพี่ตุลย์กับ.... พี่ฌอนด้วย

ดวงตาคม ๆ จับจ้องฉันสลับกับไคโรนิ่ง ๆ เดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ รู้แต่ว่าตอนนี้สีหน้าฉันมันต้องแสดงอาการแปลก ๆ ออกมาแหง ไม่งั้นพี่สิงห์คงไม่หรี่ตามองกันแบบนั้นหรอก

“อะไร ถึงกับเอ๋อไปเลยเหรอ หรือว่าจำไอ้ฌอนไม่ได้?”

“หะ... จะ จำอะไร?!” โอ๊ย! ฉันอยากจะตบปากตัวเองแรง ๆ ทำไมมันโพล่งออกมาไวกว่าความคิดนะ ทำตัวโคตรมีพิรุธเลยไอ้สวยเอ๊ย!

“ถามแค่นี้จะตะโกนทำไมวะ ท่าทางแปลก ๆ ตั้งแต่เช้าแล้วนะ”

“แปลกอะไร ไม่มี๊!” ฉันตอบกลับทันควัน ไคโรหรี่ตามองกันทันที นี่ฉันเผลอทำเสียงสองอีกแล้วเหรอ?! ฉันหลบตามันแล้วหันมองพี่ฌอนอย่างเต็มตา แสร้งทำเหมือนว่าเพิ่งนึกได้ “อ้อ! เพื่อนพี่คนเมื่อเช้าอ่ะนะ สวยจำได้ล่ะ ทำไมอ่ะ มีอะไรเหรอ?”

“เออ ไม่มีไร แค่ถามเฉย ๆ แล้วนี่มึงอยู่กินข้าวบ้านกูอีกแล้วเหรอไอ้ไค ทำอย่างกับผูกปิ่นโตไว้ที่นี่เลยนะมึงนิ” พี่สิงห์เปลี่ยนหัวข้อไปสนใจไคโรแทน ฉันลอบถอนหายใจ ทว่ามันกลับอยู่ในสายตาของพี่ฌอน ฉันเห็นมุมปากหนายกยิ้มใส่กันด้วย มันน่าขำตรงไหนมิทราบ! ฉันหัวใจจะวายตายอยู่แล้วนะเฟ้ย!

“พี่ธันย์ไลน์มาตามละ ไป ๆ เข้าบ้าน”

พี่ตุลย์ลุกขึ้นแล้วเดินนำเข้าบ้านไป ตามด้วยพี่สิงห์และไคโร ฉันกำลังจะเดินตามทุกคนเข้าไปบ้างกลับต้องชะงักเพราะถูกมือหนาคว้าแขนเอาไว้ ฉันรีบมองเข้าไปในบ้านด้วยความระแวงว่าใครจะหันมาเห็น ก่อนดึงมือพี่ฌอนให้หลบออกจากประตูมาอยู่หลังเสาแทน

“รุ่นพี่มีอะไร จะจับแขนฉันทำไมเนี่ย เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอก”

“กินยาอีกเม็ดหรือยัง?”

“หะ?” ฉันอ้าปากค้าง คิ้วสวยขมวดมุ่น

“ยาคุมฉุกเฉินอีกเม็ดไง กินหรือยัง?” พี่ฌอนจิ๊ปากใส่ ท่าทางเหมือนกำลังรำคาญความเข้าใจอะไรยากของฉันเหลือเกิน

“อ้อ... ยานั่น” ฉันล้วงหยิบแผงยาที่ได้รับมาเมื่อเช้าออกจากกระเป๋า มันยังมีเหลืออีกหนึ่งเม็ดสินะ ลืมไปซะสนิทเลย...

“นี่เธอยังไม่ได้กินเหรอวะ มัวทำอะไรอยู่ จะสามทุ่มแล้วนะเฮ้ย” พี่ฌอนโวยวายทันทีที่เห็นมัน ฉันจุ๊ปากใส่รีบดึงเขาให้ออกห่างจากประตูบ้าน เขาจะเสียงดังทำไม อยากให้คนในบ้านได้ยินนักหรือไงเนี่ย!

“ก็ฉันลืมนี่! แค่กินก็จบใช่ไหม?” ฉันแกะยาออกจากแผงแล้วโยนเข้าปากอย่างตัดปัญหา กลืนมันลงคอทั้งที่ไม่มีน้ำนี่แหละ ฉันสตรองพอ!

พี่ฌอนทำหน้าอึ้ง ๆ คงคิดไม่ถึงว่าฉันจะกินยาแบบไม่มีน้ำ เอาจริง ๆ ยามันเม็ดเล็กนิดเดียว ไม่ถึงกับติดคอหรอก ฉันเลิกสนใจเขาแล้วเดินเข้าบ้าน พอถึงโต๊ะอาหารก็หยิบแก้วน้ำตัวเองขึ้นดื่มอึก ๆ ท่ามกลางสายตาทุกคนบนโต๊ะที่มองฉันเป็นตาเดียว

“คอแห้งเหรอลูก” พ่อเสือประมุขของบ้านผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะใกล้ฉันหันมาถาม เป็นจังหวะเดียวกับพี่ฌอนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาพอดี เขาเดินอ้อมไปนั่งข้างพี่ตุลย์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับไคโร

“นิดหน่อยน่ะพ่อ โอ้โห... วันนี้กับข้าวเยอะจัง พี่ทำคนเดียวจริงเหรอเนี่ยพี่ธันย์” ฉันเบี่ยงความสนใจมาที่อาหารตรงหน้าแทน ทุกคนจึงเลิกมองฉันแล้วเริ่มลงมือทานเมื่อเห็นว่ามากันครบแล้ว

“ไม่ทั้งหมด พี่ทำแค่สามอย่าง ส่วนที่เหลือฌอนมันซื้อมา”

ฉันชะงักช้อนที่กำลังตัก เหลือบมองคนที่ถูกกล่าวถึงเล็กน้อย เขาหันมายิ้มตามสไตล์ของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

“แหม ไม่เห็นต้องลำบากเลย” ฉันละสายตากลับมา พยายามทำตัวให้ปกติเหมือนเขาบ้าง ตอนแรกฉันคิดว่าพี่ฌอนแวะมาที่นี่เพราะจะมาย้ำเรื่องให้ฉันกินยาเฉย ๆ ซะอีก ไม่คิดว่าเขาจะซื้ออาหารมาเพื่อนั่งทานด้วยกัน ปกติร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาทำอะไรแบบนี้อ่ะ

“ให้มันซื้อมาอ่ะดีแล้ว มื้อ ๆ หนึ่งพี่ธันย์ทำสักกี่อย่างกัน เพียงพอต่อโภชนาการของหนุ่มสาววัยกำลังเจริญพันธุ์อย่างพวกเราซะที่ไหน”

“ก็จริง เบื่อกับข้าวเดิม ๆ จะแย่”

“โอ้โห... ไอ้สองแฝด มื้อหน้าหากินกันเองเลยนะ” พี่ธันย์เขม่นตาใส่พวกพี่แฝดอย่างนึกเคือง สงครามหย่อม ๆ เกือบจะเกิดขึ้นถ้าไม่ติดเสียงห้ามของพ่อเสือไว้ก่อน

“พอ ๆ อย่าทะเลาะกันตอนกินข้าวสิ เออ แล้วทำไมวันนี้สวยกลับค่ำล่ะ ไปไหนกันมา?” ประเด็นถูกเบนเข็มมาที่ฉันกับไคโรทันที ฉันที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่รีบกลืนลงคอ

“สวยไปทำโปรเจคบ้านไอ้ไปป์มาน่ะพ่อ แบตหมดเลยไม่ได้โทรบอก”

“แล้วไป อย่าให้จับได้ว่าพากันไปแว๊นที่ไหนนะ”

“แค่ก ๆ” ฉันหันขวับไปมองไคโรที่มันสำลักขึ้นมาทันที อ้าวไอ้นี่... จะทำตัวมีพิรุธทำไมเนี่ย เดี๋ยวพ่อก็เข้าใจผิดหรอก ฮู้!

“แว๊นเวิ๊นอะไรล่ะพ่อ สวยไม่ใช่สก๊อยนะ”

“ใช่พ่อ ไอ้สวยมันเป็นสก๊อยไม่ได้หรอก มันนุ่งกางเกงขาสั้นเป็นซะที่ไหน ถ้าให้มันเป็นเด็กแว๊นซะเองยังน่าเชื่อกว่า”

“โอ๊ยพี่สิงห์! เคยกินข้าวดี ๆ แล้วติดคอป่ะ? เดี๋ยวซัดเลย!”

แล้วทุกคนบนโต๊ะก็พากันหัวเราะกับมุกของพี่สิงห์บนความอับอายของฉัน แม้แต่พี่ฌอนก็ยังขำฉันอ่ะ น่าอาย... น่าอายจริง ๆ เลย!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป