บทที่ 1 รุ่นพี่
มหาวิทยาลัย M
คณะวิศวกรรมศาสตร์
ตึก ๆ ๆ
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งดังก้องบริเวณหลังอาคารเรียน ร่างสูงในชุดนักศึกษาชายเสื้อหลุดลุ่ยกระดุมเม็ดบนถูกปลดลงจนเห็นแผงอกแกร่งแทรกกายเข้ามาในซอกตึกลับตา ดวงตาคมเข้มสีนิลจับจ้องไปยันทิศทางที่เขาเพิ่งจากมา ใบหูเอียงฟังเสียงพูดคุยของเหล่านักศึกษาหญิงประมาณสี่คนที่กำลังเดินมาทางนี้
“รุ่นพี่โลกิหายไปไหนแล้วอ่ะแก”
“นั่นน่ะสิ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่ตรงนี้เลยนะ”
“ลองไปหาหลังตึกดูไหม”
“หรือว่ารุ่นพี่วิ่งหนีพวกเรานะ”
“จะบ้าเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก รุ่นพี่โลกิน่ะแสนดีจะตาย ทั้งหล่อ ทั้งใจดีกับทุกคน รุ่นพี่ไม่มีทางวิ่งหนีพวกเราหรอก”
“ใช่ ๆ รุ่นพี่โลกิไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นหรอก”
เสียงพูดคุยเริ่มดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ‘โลกิ’ รุ่นพี่ที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาลอบถอนหายใจแรง ๆ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบตึง ริมฝีปากหนาติดคล้ำเหยียดตรงอย่างนึกหงุดหงิด
“น่ารำคาญเป็นบ้า”
“ถ้างั้นก็ออกไปสิคะ มันขวางทางฉันนะ”
“ฮะ เฮ้ย!” ชายหนุ่มที่ยืนบ่นพึมพำอยู่คนเดียวถึงกับร้องตกใจแล้วหันขวับกลับมามองด้านหลังซึ่งเป็นที่มาของต้นเสียงหวาน ๆ ติดเหวี่ยงเล็กน้อยของใครอีกคนซึ่งเขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนอยู่ในซอกตึกแคบ ๆ นี้ด้วย
ใบหน้าสวยจัดราวกับตุ๊กตาฉายชัดอยู่ในสายตาของเขา ดวงตาสีอัลมอนต์กลมโตไร้ซึ่งอารมณ์ช้อนมอง ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มเหยียดตรงนิด ๆ เหมือนกำลังหงุดหงิดบางอย่าง ผมหน้าม้าตรงยาวสีส้มพาสเทลขับใบหน้าขาวเนียนให้ดูเหมือนตุ๊กตาเข้าไปใหญ่
สวยว่ะ…
“จ้องแบบนี้มันเสียมารยาทนะคะรุ่นพี่ ช่วยถอยออกไปด้วยค่ะ รุ่นพี่ขวางทางฉันอยู่”
โลกิดึงความสนใจของตัวเองกลับมา เขามองข้ามไหล่คนตัวเล็กไปด้านหลังพบว่าทางนั้นเป็นทางตัน หลุบตามองในอ้อมแขนของเธอก็เจอเข้ากับลูกแมวสีขาวท่าทางผอมแห้งหิวโซ
“เมื่อกี้เหมือนฉันได้ยินเสียงรุ่นพี่เลยอ่ะแก”
“…!” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจกับเสียงพูดคุยที่ดังเข้ามาใกล้มาก สงสัยตอนที่เขาอุทานเมื่อครู่มันดังมากไปหน่อย เขาหันไปมองกลุ่มนักศึกษาหญิงที่เดินมาทางนี้ก่อนหันกลับมามองคนตัวเล็กที่กำลังอุ้มลูกแมวอยู่ตรงหน้า สีหน้าหงุดหงิดใจของเธอฉายชัดออกมา
บริเวณที่ทั้งคู่ยืนอยู่มันเป็นซอกตึกที่มีช่องทางเดินแคบมาก ระยะเพียงหนึ่งคนผ่านเท่านั้น หากโลกิไม่ขยับเข้าไปด้านในก็ต้องถอยออกไปจากซอกตึกเลยถึงจะเป็นการเปิดทางให้เธอได้ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่เลือกข้อหลังแน่ ๆ
“รุ่นพะ… อื้อ ๆ!” เสียงหวานที่กำลังส่งเสียงเตือนให้เขาหลบทางอีกครั้งถูกมือหนาถือวิสาสะปิดปากด้วยความรวดเร็ว ร่างสูงพลิกตัวคร่อมทับร่างบางและตรึงแผ่นหลังเล็กแนบชิดกำแพง ดวงตากลมโตเบิกกว้างพยายามเบี่ยงหน้าหนีจากฝ่ามือกรุ่นร้อน
“ชู่ว์… ขอสองนาที” ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงกระซิบชิดข้างหูคนตัวเล็ก เธอปล่อยลูกแมวในมือลงพื้นแล้วใช้สองมือแกะมือหนาออกจากปาก
เรื่องอะไรจะยอมง่าย ๆ ล่ะ!
“อื้อ! อื้อ!” ปลายเล็บแหลมจิกลงบนฝ่ามือหนาอย่างไม่ออมแรง โลกิเบ้หน้าเล็กน้อย ดวงตาคมเข้มก้มดุคนตัวเล็กที่ทั้งจิกทั้งข่วนเขาอย่างกับแมวพยศ แถมสายตายังอาฆาตฟาดฟันแทบจะฆ่าเขาเลย
“เล็บคมจริง ๆ เลยนะ มันเจ็บนะเนี่ย” แม้เขาจะบ่นอย่างนั้นแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากริมฝีปากของเธอ เสียงพูดคุยของนักศึกษาหญิงกลุ่มนั้นค่อย ๆ ห่างไกลออกไป ริมฝีปากหนาขยับยิ้มบาง แววตานึกสนุกฉายชัดยามจับจ้องคนตัวเล็กตรงหน้า
เขาจำเธอได้แล้ว… หน้าสวย ๆ สายตาเหวี่ยง ๆ แบบนี้เขาจำได้ไม่ลืม ถึงสีผมจะเปลี่ยนไปก็เถอะ แต่เขามั่นใจว่าเธอคือคนคนเดียวกันแน่นอน
“แฮ่ก… บ้าเอ๊ย…” เสียงหวานสบถทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ กว่าเขาจะยอมผละมือออกไป ทำเธอหายใจไม่ออกเกือบตายแน่ะ ผู้ชายนิสัยเสียคนนี้คิดจะฆ่าเธอหรือไงกันนะ!
“นี่บังเอิญหรือจงใจกันนะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แม่สาวมอปลาย”
อะไรนะ… สาวมอปลายงั้นเหรอ?
หญิงสาวที่ถูกเรียกแบบนั้นเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง คราวนี้เธอเพ่งมองหน้าเขาอย่างชัด ๆ ก่อนจะนิ่งไป ใบหน้าสวยเรียบตึงเย็นชาขึ้นมาทันที
โลกกลมจนน่าโมโหจริง ๆ นั่นแหละ!
“ถอยออกไปด้วยค่ะ” มือบางยกขึ้นผลักไหล่ร่างสูงให้หลบทาง เธอไม่จำเป็นต้องเสวนาอะไรกับเขาทั้งนั้น ไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย ทำไมต้องเสียเวลาพูดคุยอะไรด้วยล่ะ แต่เหมือนผู้ชายตรงหน้าเธอจะไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเขาทาบฝ่ามือลงบนกำแพงเพื่อใช้แขนกักกันทางออก ดวงตาหวานตวัดขึ้นมองฉายแววไม่พอใจ “ต้องการอะไรอีกคะรุ่นพี่?”
“หืม… รุ่นพี่?” โลกิครางฮึมในลำคอพลางหลุบตาสำรวจชุดบนร่างกายคนตัวเล็ก เขาเพิ่งสังเกตว่าเธอสวมเสื้อช็อปสีเลือดหมูเข้มของคณะวิศวะฯอยู่ และมันเป็นคณะเดียวกับเขาด้วย “เด็กปีหนึ่งงั้นเหรอ…”
“ถอยออกไปได้หรือยังคะ ท่าทางแบบนี้มันคุกคามทางเพศกันอยู่นะคะ” แทนที่ร่างสูงจะขยับกายถอยห่าง เขากลับผิวปากหวืออย่างชอบใจในท่าทีไม่ยินดียินร้ายของผู้หญิงตรงหน้า โดยปกติแล้วผู้หญิงทุกคนที่ได้ใกล้ชิดหรือสบตากับเขามักจะหวั่นไหวเคลิบเคลิ้มเสมอ แต่แววตาของเธอคนนี้กลับนิ่งสนิท ไร้ความประหม่าหรือความสั่นไหวสักนิด
น่าสนใจ…
“เธอชื่ออะไร”
“จำเป็นต้องตอบไหมคะ?”
“แน่นอนสิ รุ่นพี่ถามก็ต้องตอบสิครับ” รอยยิ้มมุมปากหนาบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่คำถาม แต่มันคือคำสั่งในฐานะรุ่นพี่ต่างหาก
“เฌอแตม” คนตัวเล็กจำใจตอบด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ เธอเสียเวลากับผู้ชายคนนี้มามากพอแล้ว เขาควรจะปล่อยเธอไปสักที
“เฌอแตม… ฉันรักเธอ”
ตึกตัก
ดวงตาหวานตวัดมองคนตัวสูงที่จู่ ๆ ก็เรียกชื่อเธอพร้อมแปลความหมายของชื่อด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนน่าฟัง ชั่วขณะหนึ่งหัวใจดวงน้อยเผลอเต้นผิดจังหวะ แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น
ริมฝีปากหนาขยับยิ้มพึงพอใจที่ได้เห็นแววตานิ่งสนิทคู่สวยนั่นสั่นไหวชั่วครู่ แม้จะเพียงวูบเดียวก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเขาสามารถทำให้ผู้หญิงตรงหน้าหวั่นไหวได้แล้วกัน แค่นี้ก็ไม่เสียชื่อเสือซ่อนคมอย่างเขาแล้ว
และในช่วงจังหวะที่ทั้งสองสบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผู้หญิงกลุ่มเดิมเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เฌอแตมเป็นฝ่ายละสายตาไปมอง เธอยกยิ้มมุมปากอย่างมีแผนการที่จะหลุดพ้นไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดตรงนี้ แต่เหมือนโลกิจะรู้ทัน เขาคว้าใบหน้าสวยให้หันกลับมาแล้วก้มลงทาบทับริมฝีปากหนากับริมฝีปากบางเย็นเฉียบด้วยความรวดเร็ว
“อื้อ…”
ร่างเล็กแข็งค้างไปชั่วขณะ สัมผัสอ่อนละมุนบนริมฝีปากบดคลึงหนัก ๆ แม้เขาจะไม่ได้รุกล้ำเข้ามาแต่เพียงเท่านั้นก็สามารถตรึงเธอไว้อย่างอยู่หมัด สติของเธอขาดหายไป หัวสมองขาวโพลนไปหมด แม้ว่าร่างสูงจะผละริมฝีปากออกไปแล้วก็ตาม ดวงตาหวานจ้องมองใบหน้าหล่อแสนร้ายกาจที่กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ พร้อมกับประโยคสั้น ๆ ที่เขาทิ้งเอาไว้ก่อนเดินออกจากซอกตึกไป
“จองแล้วนะ”















































































