บทที่ 4 พี่ชายซิสค่อน

เขา… ว่ายังไงนะ?

‘…’ ฉันกะพริบตาสองสามทีไล่อาการเวียนหัวออกไปก่อนจะผละตัวออกจากร่างสูงตรงหน้า เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่นนอกจากพ่อและพี่ชายแบบนี้ เพราะฉันเรียนโรงเรียนสตรีมาตั้งแต่เล็กจนโต แม้แต่เพื่อนผู้ชายฉันยังไม่เคยมีด้วยซ้ำ

‘สวยแฮะ…’ น้ำเสียงทุ้มต่ำติดแหบนิด ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ฉันทรงตัวยืนเรียบร้อยแล้วจึงหันมองเจ้าของเสียงและอ้อมกอดนั้นอย่างเต็มตา เขาคือผู้ชายร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา อ่า… เขาหล่อมากเลยล่ะ ดวงตาสีนิลคมเข้มมีเสน่ห์จ้องมาราวกับจะดูดกลืนกัน ริมฝีปากหนาติดคล้ำแลดูเซ็กซี่ขยับยิ้มชวนน่ามอง เรือนผมสีดาร์กช็อกโกแลตถูกเซตอย่างดียาวระต้นคอ รวม ๆ แล้วผู้ชายคนนี้ดูดีราวกับเทพบุตรเลยล่ะ

‘เอ่อ… ขอบคุณที่ช่วยนะคะ ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ’ ฉันเอ่ยบอกเสียงเบาเพราะฝ่ามือกรุ่นร้อนของเขายังคงวางอยู่บนเอวคอดของฉัน แม้เราจะยืนห่างกันเพียงบันไดสองขั้นก็เถอะ ไม่รู้ทำไมเขาไม่ยอมผละมือออกไปสักที นี่ถ้าเป็นเวลาปกติฉันคงจะด่าเขาว่าฉวยโอกาสไปแล้ว

‘แน่ใจเหรอ สีหน้าเธอยังดูซีด ๆ อยู่เลยนะ ให้ฉันอุ้มไปหาหมอไหม?’ เขาเน้นคำว่าอุ้มจนฉันรู้สึกแปลก ๆ สุดท้ายจึงเป็นฝ่ายดึงมือหนาออกจากเอวตัวเองแทน เขาทำหน้าเสียดายอย่างไม่คิดจะปิดบังเลย

‘ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอตัวนะคะ’ ฉันเลี่ยงเดินลงบันไดหนีเขามา แต่ก็ถูกเสียงเดิมเรียกเอาไว้จนต้องหันหน้าขึ้นไปมอง

‘เธอชื่ออะไร อยู่โรงเรียนสตรีเซนต์แมรี่ใช่ไหม?’ ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่ใคร ๆ เห็นคงคิดว่านั่นเป็นรอยยิ้มเทพบุตร แต่สำหรับฉันกลับรู้สึกว่านั่นมันเป็นเพียงแค่ ‘หน้ากาก’

‘ที่ช่วยเมื่อกี้ ขอบคุณมากค่ะ แต่สำหรับคำถาม ขอไม่ตอบนะคะ’ ฉันจ้องตากับเขาโดยไม่หลบ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการสานต่ออะไรกับเขาทั้งสิ้น ร่างสูงทำท่าจะหมุนตัวเดินลงมาหาฉันแต่ถูกเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขัดไว้เสียก่อน

‘ฮัลโหล ถึงแล้ว ๆ กำลังไปน่า’ เมื่อเห็นว่าเขาหันไปคุยโทรศัพท์ ฉันจึงหันหน้ากลับแล้วเดินลงบันไดต่อ จนกระทั่งเหยียบขั้นสุดท้ายก็มีเสียงตะโกนตามลงมา ‘ไว้เจอกันคราวหน้านะ สาวมอปลาย’

ให้ตายเถอะ… เขาจะรู้ไหมนะว่าที่นี่มันคือโรงพยาบาลน่ะ!

‘กลับมาแล้วค่ะ’

ฉันส่งเสียงบอกคนในบ้านเมื่อถอดรองเท้านักเรียนเก็บเข้าชั้นเรียบร้อย วันนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้สวมมัน เพราะว่าฉันเรียนจบมอปลายแล้ว และกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่าฉันมีคณะที่เลือกเรียนไว้แล้ว

‘องค์หญิงของพี่กลับมาแล้วเหรอ ไหนมาให้พี่ชายกอดหน่อยสิ คิดถึงน้องสาวจะตายอยู่แล้ววว’ ไม่ได้พูดเปล่าแต่วงแขนแกร่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนสวมกอดฉันหมับจากทางด้านหลังโดยฉันไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงกว่าซบใบหน้าลงบนไหล่ฉัน ลมหายใจร้อน ๆ เป่ารดลำคอจนฉันขนลุกไปหมด ‘นุ่มนิ่ม ๆ องค์หญิงน้อยของพี่น่ากอดที่สุดดด’

‘อึ๋ย! ถอยออกไปเลยนะพี่ฌอน! มันขนลุกโว้ยยย!’ ฉันสะบัดตัวออกจากวงแขนของพี่ชายจอมซิสค่อนของตัวเองพลางยกมือลูบคอปอย ๆ มืออีกข้างชี้นิ้วใส่หน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ‘เฌอโตแล้วนะ! พี่เลิกมากอดแบบนี้สักทีได้ไหมเนี้ย มันขนลุก มันน่าขยะแขยงเข้าใจป่ะ’

‘โหย กอดนิดกอดหน่อยเอง ทำไมต้องด่าด้วยอ่ะเฌอ ก็เฌอน่ารักน่ากอด องค์หญิงน้อยของพี่’ พี่ฌอนทำหน้าเง้างอใส่ ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ ก็คงจะดูน่ารัก แต่ไม่ใช่กับตอนตัวโตเท่าเสาไฟฟ้าแล้วแบบนี้

‘เมื่อไหร่พี่จะเลิกซิสค่อนสักทีเนี่ย รู้ไหมว่าเพราะพี่เป็นแบบนี้เฌอถึงได้ขยะแขยงผู้ชายอ่ะ!’ ฉันว่าพลางลูบแขนประกอบคำพูด ฉันพูดจริงนะ การที่ฉันเลือกเรียนโรงเรียนหญิงล้วนตั้งแต่เด็กเป็นเพราะว่าฉันไม่ชอบผู้ชาย เรียกง่าย ๆ คือหลอนอ่ะ เพราะมีพี่ชายแบบพี่ฌอนที่เป็นโรคคลั่งน้องสาวเข้าขั้นโคม่านี่แหละ!

ฉันกับพี่ฌอนอายุห่างกันสองปี เราโตมาด้วยกันสองคนพี่น้อง เมื่อก่อนเราสนิทกันมาก พี่ฌอนเป็นพี่ชายที่ดี เขารักและดูแลประคบประหงมฉันอย่างดีมาตลอด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉันมีกรุ๊ปเลือดหายาก เวลาเจ็บป่วยขึ้นมามันจะลำบาก ฉันจึงได้รับการทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก และด้วยเพราะเหตุผลนั้นมั้งเลยทำให้พี่ฌอนกลายเป็นคนแบบนี้

รักน้องเกินคำว่าพอดีไปมากโข…

‘เสียงดังอะไรกันเด็ก ๆ ทะเลาะอะไรกันอีกแล้วหรือไง’ เสียงหวานดั่งระฆังพักยกดังขึ้นจากในบ้าน ฉันหันไปหาแม่ลิลลาแล้ววิ่งเข้าไปหลบข้างหลังพลางชี้นิ้วฟ้อง

‘พี่ฌอนกอดเฌออีกแล้วค่ะแม่ อึ๋ยย ขนลุกที่สุดเลยอ่ะ!’

‘อะไรอ่า ก็พี่คิดถึงอยากกอดนี่ ทำไมต้องหวงด้วย แม่ดูน้องสิ เมื่อก่อนยังเป็นองค์หญิงตัวน้อย ๆ ของผมอยู่เลย’ พี่ฌอนเดินเข้ามาเกาะแขนแม่อีกข้าง ฉันรีบถอยหลังออกห่างแล้ววิ่งเข้าห้องอาหารไปหาพ่อแอร์บัส ไม่อยากอยู่ใกล้อิพี่ชายบ้า ๆ นั่น

‘พ่อขาาา จัดการพี่ฌอนให้เฌอเลยย พี่ฌอนแกล้งเฌออีกแล้ว’

‘ไม่ขี้ฟ้องดิเฌอ พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่กอดเองอ่ะ’ พี่ฌอนเดินกอดแขนแม่เข้ามาในห้องอาหาร แม่ส่ายหัวมองพวกเรายิ้ม ๆ แล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับพ่อ ส่วนฉันนั่งลงข้างพ่อโดยมีพี่ฌอนนั่งฝั่งตรงข้ามเช่นกัน เขานั่งเท้าคางกับโต๊ะแล้วมองฉันด้วยสายตากวน ๆ ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะเหยียบเท้าเขาไปหนึ่งทีจนร่างสูงสะดุ้งโหยง ‘มันเจ็บนะเฌอ เดี๋ยวเจอกอดแรง ๆ คืนเลย’

‘ไม่เอา! เข้ามาใกล้เฌออีกทีจะจิ้มให้ตาบอดเลยคอยดู!’

‘เอ้า ๆ หยุดเล่นกันได้แล้วลูก ทานข้าวกันดีกว่า วันนี้แม่ทำของโปรดลูก ๆ ทั้งนั้นเลยนะ’ เป็นแม่อีกตามเคยที่เคาะระฆังห้ามมวยเอาไว้ ฉันกวาดตามองอาหารบนโต๊ะตาวาว มีแต่ของโปรดฉันจริง ๆ ด้วย

‘พ่อซื้อเค้กไว้ด้วยนะ สตรอว์เบอร์รี่ของโปรดเฌอไงลูก’ ฉันหันไปยิ้มดีใจให้กับพ่อแอร์บัสสุดหล่อที่รู้ใจฉันสุด ๆ พ่อยิ้มตาหยีแล้วบีบจมูกฉันเบา ๆ ฉันเลยหอมแก้มท่านไปหนึ่งที

‘หื้อออ ขี้โกงอ่าหนูเฌอออ หอมพี่บ้างสิ ๆ ทำไมหอมแต่พ่อล่ะ’

‘เงียบไปเลยพี่ฌอน พี่กำลังทำให้เสียบรรยากาศนะ’

‘โหย เย็นชาฝุด ๆ คนหล่อเสียใจ’

หลังจากนั้นพวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งทานอาหารและเค้กพลางคุยกันเพลินจนเวลาล่วงเลยมาช่วงเย็น จู่ ๆ แม่ก็ถามคำถามที่ทำให้ฉันชะงักช้อนที่กำลังตักเค้กเข้าปาก

‘เฌอตัดสินใจเข้าเรียนที่คณะวิศวะฯเหรอลูก’

‘…’ ฉันกลืนก้อนเค้กลงคอแล้วจิบน้ำตามโดยไม่ลืมส่งสายตาอาฆาตไปให้พี่ชายตรงหน้า ไม่บอกก็รู้ว่าแม่ได้ข่าวนี้มาจากใคร ฉันไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้กับพ่อแม่หรอก แต่ตั้งใจว่าจะบอกพวกท่านเองมากกว่า ไม่ใช่ให้พวกท่านรู้จากคนอื่นแบบนี้ แล้วพี่ชายตัวดีของฉันก็ดันปากโป้งจนได้ รู้อย่างนี้ไม่น่าให้เห็นใบสมัครสอบนั่นเลย

‘หื้ม นี่ลูกสนใจคณะนี้อยู่งั้นเหรอ’ พ่อหันมามองฉันด้วยแววตาสนใจ เพราะท่านเองก็จบวิศวะมาเหมือนกัน

‘ค่ะ เฌอตั้งใจจะสอบเข้าวิศวคอมฯค่ะ’

‘งั้นก็เหมือนพี่เขาเลยสิ มีอะไรก็ลองปรึกษาพี่เขานะลูก ถ้าสิ่งที่เฌอสนใจพ่อกับแม่ก็จะสนับสนุน’ แม่ยิ้มให้กำลังใจฉัน พอเหลือบมองพี่ชายก็ได้รับรอยยิ้มภูมิใจกลับมา กำลังคิดว่าตัวเองเป็นที่พึ่งพาของฉันได้อยู่สินะ แต่ก็นะ… พี่ฌอนเองก็เรียนอยู่วิศวคอมฯปีสามนี่นะ คงพึ่งพาได้อยู่หรอกมั้ง

‘พ่อเชื่อว่าลูกสาวพ่อสอบเข้าได้อยู่แล้ว เด็กท๊อปเซนต์แมรี่อย่างเฌอแค่นี้จิ๊บ ๆ เนอะ’ พ่อลูบผมฉันอย่างเอ็นดู ฉันเลยถลากอดท่านอย่างออดอ้อน

‘แน่นอนอยู่แล้วค่ะ แค่นี้จิ๊บ ๆ’

บทก่อนหน้า
บทถัดไป