บทที่ 5 เพื่อนใหม่
หลังจากวันนั้นฉันก็เข้าสู่สภาวะเตรียมสอบอย่างเต็มรูปแบบ ฉันทั้งอ่านหนังสือและทดลองทำข้อสอบต่าง ๆ โดยมีพี่ฌอนแวะเวียนมาช่วยบ้างบางครั้ง แม้ทุกครั้งฉันจะไล่ตะเพิดเขาออกจากห้องไปเสมอก็เถอะ ก็นะ… ถ้าเข้ามาแบบตั้งใจสอนเหมือนพี่ชายปกติก็ดีอยู่หรอก แต่นี่เข้ามาแล้วชอบแกล้งฉันอยู่เรื่อย พาลให้เสียสมาธิไปหมด น่ารำคาญจริง ๆ พี่ชายฉันเนี่ย
และเมื่อถึงวันสอบ ฉันก็ไปสอบตามปกติ ลืมบอกไปว่ายัยเฟรย์เองก็สอบเข้าที่เดียวกับฉัน เพราะเราเป็นเพื่อนรักกันมาก เลยชอบในสิ่งที่เหมือนกัน หลังจากผ่านการสอบไปไม่กี่อาทิตย์ ผลประกาศก็ออกมา แน่นอนว่าฉันสอบผ่าน ยัยเฟรย์ก็ด้วย
และด้วยทั้งนี้ทั้งนั้น… ในที่สุดฉันก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย M คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
ต่อไปนี้ฉันจะได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างอิสระแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือฉันจะได้ทำสีผมตามใจชอบโดยไม่ต้องกังวลเรื่องกฎของโรงเรียนอีกแล้ว
นี่แหละนะ… ข้อดีของการเรียนมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะคณะที่ไม่เคร่งเรื่องกฎระเบียบอย่างคณะวิศวะ!
ปัจจุบัน
“เป็นอะไรหรือเปล่ายัยเฌอ ดูเหม่อ ๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะ” เสียงทักจากเพื่อนรักดังขึ้นข้างกัน ฉันหันมองยัยเฟรย์ที่เพิ่งซื้อน้ำสตรอเบอรี่มายื่นให้ ฉันรับมาดื่มแล้วเหม่อมองไปทางสนามบาสต่อ “หื้ม… อย่าบอกนะว่ามองหนุ่มนักบาสอยู่น่ะ”
“หะ อะไรนะ”
ตอนนี้ฉันกับเฟรย์นั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนข้างตึกคณะซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบาสด้วย ปกติหนุ่ม ๆ จากคณะวิศวะฯมักจะมาเล่นบาสยามว่างกันอย่างเช่นตอนนี้ ฉันกะพริบตามองผู้ชายสวมเสื้อกล้าม บ้างก็เสื้อนักศึกษา บ้างก็เสื้อช็อปนับสิบคนที่กำลังวิ่งแย่งลูกบาสกันในสนามก่อนหันกลับมาจ้องยัยเพื่อนรักแล้วทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกได้
“เฮ้ย จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้มองพวกนั้นสักหน่อย แค่คิดอะไรเพลิน ๆ แล้วสายตามันมองทางนั้นเองต่างหากล่ะ” เพราะมัวแต่นึกถึงเรื่องเมื่อวานมากไปเลยทำให้ฉันเหม่อมาทั้งวัน เพราะอีตารุ่นพี่วายร้ายนั่นแท้ ๆ เลยเชียว!
“อ๋อเหรอ ก็เห็นแกจ้องไปทางนั้นตาไม่กะพริบเลยนี่ นึกว่าเพื่อนฉันจะแอ๊วหนุ่มนักบาสซะแล้ว” เฟรย์ทำตาเล็กตาน้อยใส่แล้วหันไปทางสนามบาสบ้าง ก่อนมันจะทำตาโตแล้วตีแขนฉันแรง ๆ “แก ๆ ๆ หมอนั่น ๆ ๆ”
“โอ๊ยเจ็บนะ ตีทำไมเนี่ย” ฉันปัดมือมันออกแล้วมุ่ยหน้าใส่ พอหันไปมองตามคำบอกก็เห็นว่ากลางสนามบาสนั่นมีร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งเลี้ยงลูกบาสด้วยท่าทางปราดเปรียว สาว ๆ รอบสนามส่งเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็นะ ยอมรับเลยว่าความหล่อออร่าของเขาคนนั้นมันโดดเด่นซะจนไม่อาจละสายตาได้จริง ๆ นั่นแหละ
“กรี๊ดดดดด!”
“หูจะแตก ให้ตายเหอะ นั่งไกลขนาดนี้ยังแสบแก้วหูเลย” ฉันป้องหูปิดเสียงกรีดร้องของบรรดาผู้หญิงที่พร้อมใจกันหวีดเสียงหลังผู้ชายคนนั้นดังค์บาสลงห่วงอย่างสวยงาม
“แหมแก แต่หมอนั่นก็หล่อจริง ๆ นั่นแหละ ผมสีเทาของเขาโดดเด่นเป็นบ้า ท่าทางก็ดูเย็นชาเข้าถึงยากจนสาว ๆ เรียกเขาว่าแจ็คฟรอสต์”
“แจ๊คฟรอสต์?”
“อือ หน้าตาหมอนั่นก็เหมือนมากเลยนะ อย่างกับหลุดออกมาจากดิสนี่ย์แน่ะ แกเคยดูมะ การ์ตูนเรื่องห้าเทพผู้พิทักษ์อ่ะ”
“ตั้งแต่คบกันมาเคยเห็นฉันดูการ์ตูนบ้างไหมล่ะ” ไม่ใช่ว่าตอนเด็ก ๆ ไม่เคยดูนะ ก็ดูแหละ แต่พอขึ้นมัธยมมาฉันก็เลิกดูไปแล้วไง เพราะฉะนั้นอย่ามาคุยเรื่องนี้กับฉัน
“รู้สึกหมอนั่นจะชื่ออะไรเหนือ ๆ นะ… เอ้อใช่ แสงเหนือ!” ยัยเฟรย์ดัดนิ้วดังเปาะเมื่อนึกชื่อผู้ชายคนนั้นได้
ฉันหันมองเจ้าของชื่อแสงเหนือที่ตอนนี้กำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่ม เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าหล่อ ๆ แดงเรื่อตามสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน เรือนผมสีเทาของเขามันโดดเด่นมากอย่างที่ยัยเฟรย์พูดจริง ๆ และก่อนที่ฉันจะละสายตากลับเป็นจังหวะเดียวกับดวงตาคมเลื่อนมองมาทางฉันพอดี เราสบตากันโดยบังเอิญ วูบหนึ่งที่ดวงตาคมเข้มนั้นมีแววสงสัย ฉันเม้มปากเล็กน้อยแล้วเป็นฝ่ายถอนสายตา
“เห… หมอนั่นกำลังมองแกเหรอเนี่ย” ฉันไม่ได้สนใจที่ยัยเฟรย์พูดเพราะกลับมาสนใจโซเชี่ยลบนไอแพดอยู่ ทว่ากลับต้องชะงักกับประโยคต่อมาของมัน “เฮ้ ๆ หมอนั่นเดินมาทางนี้แล้วว”
“อะไรนะ…” ฉันถามยังไม่ทันจบ พอเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งก็พบว่าผู้ชายร่างสูงที่เราเพิ่งสบตากันเมื่อครู่ บัดนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว แถมสายตาของบรรดาผู้หญิงข้างสนามก็ทิ่มแทงร่างกายฉันจนแทบจะพรุนเลยด้วย
“ชานม”
“นายหิวน้ำเหรอ ที่นี่ไม่มีหรอกนะ มีแต่น้ำสตรอว์เบอร์รี่” ฉันตอบอย่างอึน ๆ จู่ ๆ หมอนี่ก็เดินเข้ามาหาแล้วขอฉันกินน้ำเนี่ยนะ ประสาทหรือเปล่า…
“หมายถึงชื่อลูกแมวตัวสีขาวที่เธอชอบให้อาหารมันหลังตึกคณะ”
อ้อ… เขาหมายถึงเจ้าแมวตัวนั้นสินะ มันชื่อว่าชานมงั้นเหรอ…
เดี๋ยว… แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน ฉันงง…
“ฉันชื่อแสงเหนือ เรียกว่าเหนือเฉย ๆ ก็พอ เธอล่ะชื่ออะไร?”
หะ… เขาถามชื่อฉันเหรอ?
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนเบนสายตามองเฟรย์ มันอมยิ้มแล้วเสสายตาไปทางบรรดาผู้หญิงข้างสนามที่กำลังแผ่รังสีฆ่าฟันใส่ฉัน ฉันคงต้องตอบให้มันจบ ๆ ไปใช่ไหม ไม่งั้นอาจโดนติ่งหมอนี่ชำแหละเอาได้
“เฌอแตม เรียกเฌอเฉย ๆ ก็ได้เหมือนกัน”
ฉันเพิ่งสังเกตว่าเขา… ฉันหมายถึงแสงเหนือน่ะ เขาพาดเสื้อช็อปสีเลือดหมูเข้มแบบเดียวกับที่ฉันสวมไว้บนไหล่ แสดงว่าหมอนี่อยู่คณะวิศวะฯเหมือนกันสินะ
“เราอยู่วิศวคอมเหมือนกัน” เหมือนเขารู้ว่าฉันกำลังมองเสื้อช็อปของเขาอยู่เขาเลยตอบความสงสัยให้ ฉันพยักหน้ารับส่ง ๆ แต่เขาพูดต่อ “ปีเดียวกันด้วย”
“หะ… อ้าวเหรอ ไม่ยักเคยเห็น” ฉันพึมพำเสียงเบา
เอาจริง ๆ นี่ก็เพิ่งเปิดเรียนได้ไม่กี่อาทิตย์ ไม่แปลกที่ฉันยังจำหน้าเพื่อนร่วมคลาสไม่ได้ ว่าแต่ทำไมเขาจำฉันได้กันล่ะ?
“เฮ้ยไอ้เหนือ! พวกเราจะไปกันแล้วนะ” เสียงเพื่อนของเขาตะโกนเรียกจากสนามบาส แสงเหนือหันไปพยักหน้ารับก่อนหันกลับมามองฉันแล้วยิ้ม อ่า… เขายิ้มจริง ๆ นะ ยิ้มแบบยิ้มไปถึงดวงตาเลยอ่ะ ก็ไหนยัยเฟรย์บอกว่าหมอนี่เย็นชาเข้าถึงยากไง เย็นชาแบบไหนกันยิ้มซะกว้างขนาดนี้ แถมยังเป็นฝ่ายเข้ามาทักฉันก่อนด้วย ไม่เห็นจะเข้าถึงยากตรงไหนเลย ข่าวลือนี่มันมั่วชัด ๆ
“ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกันที่คลาส” พูดจบร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีเทาก็หมุนตัวแล้ววิ่งกลับเข้ากลุ่มเพื่อนไป ฉันมองตามด้วยสีหน้าอึน ๆ พอดึงสายตากลับมามองยัยเฟรย์ก็เห็นว่ามันกำลังอ้าปากค้างอยู่
“อะไรของแก”
“หมอนั่นแอ๊วแกแน่ ๆ เลยยัยเฌอ!”
ฉันกลอกตาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แอ๊วบ้าแอ๊วบออะไร ไร้สาระน่า!”















































































