บทที่ 6 พบกันอีกครั้ง
ตกเย็นฉันตัดสินใจเดินอ้อมไปหลังตึกคณะเหมือนเช่นทุกวันเพื่อเอาอาหารน้ำนมไปให้เจ้าลูกแมวตัวน้อยที่เพิ่งรู้ว่ามันชื่อชานม ฉันบังเอิญเจอมันมาสองอาทิตย์แล้วล่ะ ก่อนกลับบ้านฉันจะแวะไปหามันทุกครั้ง ซึ่งปกติไม่เคยเจอปัญหาอะไร จนกระทั่งเมื่อวาน…
‘จองแล้วนะ’
หน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นมาตอนที่นึกถึงใบหน้าหล่อ ๆ แสนร้ายกาจของอีตารุ่นพี่วายร้ายนั่น เมื่อวานฉันเจอเขาที่ซอกตึกนี้ ตอนนั้นเขาวิ่งหนีพวกผู้หญิงเข้ามา ฉันก็อุตส่าห์ไม่ยุ่งอะไรกับเขาแล้วนะ แต่หมอนั่นน่ะสิที่เป็นฝ่ายมายุ่งกับฉัน แถมเขายัง…
ฉันกัดริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัวก่อนสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านไป ตอนนี้ฉันจำได้แล้วว่าเขาเป็นใคร เขาคือผู้ชายที่เคยช่วยฉันไว้จากอาการหน้ามืดจนเกือบตกบันไดที่โรงพยาบาลเมื่อหลายเดือนก่อน และที่ฉันรู้ว่าเขาคือรุ่นพี่ก็เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงที่กำลังตามหาเขาคุยกันนั่นแหละ
พอเถอะ ฉันควรเลิกนึกถึงเรื่องของเขา เพราะเราคงไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้ว เมื่อวานมันก็แค่เรื่องบังเอิญแบบซวย ๆ ของฉัน
เหมี๊ยว…
“หิวไหมเจ้าชานม จะว่าไปชื่อนี้ก็เหมาะกับแกดีนะเนี่ย”
ฉันรวบกระโปรงแล้วนั่งยอง มือก็ลูบหัวทุย ๆ ของลูกแมวไปด้วย ตอนแรกฉันคิดจะเอามันกลับไปเลี้ยงที่บ้านนะ แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้ฉันเปลี่ยนใจเลี้ยงมันที่นี่แทนดีกว่า ฉันไม่อยากเอามันกลับไปเป็นภาระให้คนที่บ้านน่ะ เพราะปกติฉันไม่ค่อยได้อยู่บ้านสักเท่าไหร่ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ต้องทำงานพิเศษแล้วด้วย คงไม่มีเวลาเลี้ยงมันหรอก
“เธอมาแล้วเหรอ ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าจะเจอเธอที่นี่ไหม” เสียงทักจากด้านหลังทำฉันเหลียวใบหน้ามองเล็กน้อย พอเห็นว่าเป็นคนที่ตั้งชื่อชานมให้เจ้าลูกแมวฉันก็หันหน้ากลับมาสนใจเจ้าตัวเล็กต่อ “เธอชอบแมวเหรอ”
“ไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียดอะไร”
“ตอบตรงดีแฮะ” แสงเหนือนั่งยองตรงหน้าฉันแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าชานมบ้าง ฉันจึงรีบชักมือกลับ ไม่งั้นมือเราสัมผัสกันแน่ ๆ “แต่ฉันชอบแมวมากนะ เสียดายที่เอามันไปเลี้ยงไม่ได้”
ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับแสงเหนือ แววตาที่เขามองเจ้าชานมบ่งบอกว่าเขาชอบมันมากจริง ๆ นั่นแหละ และคงเห็นว่าถูกฉันจ้องเขาจึงเลื่อนสายตาขึ้นสบกับฉันพลางยิ้มอย่างจนใจ
“คอนโดฉันห้ามเลี้ยงสัตว์น่ะ”
อ้อ… อย่างนี้นี่เอง
“ฉันก็เคยคิดจะเอามันกลับบ้านเหมือนกัน แต่ไม่อยากเพิ่มภาระให้คนที่บ้าน เพราะอีกไม่นานฉันต้องทำงานพิเศษแล้ว คงไม่มีเวลาดูแลมัน เลยคิดว่าให้มันอยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า อย่างน้อย ๆ มันก็คงไม่เหงาหรอก เนอะ” ฉันเนอะกับเจ้าชานมพลางยิ้มให้มัน ดวงตาใสแจ๋วมองฉันเหมือนเข้าใจแล้วถูใบหน้าเล็ก ๆ กับฝ่ามือฉัน พอรู้สึกตัวว่ากำลังถูกจ้องฉันก็เลื่อนสายตาขึ้นมองผู้ชายตรงหน้า แสงเหนือกำลังมองฉันด้วยสายตาที่ฉันคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก “มีอะไรหรือเปล่า หน้าฉันเลอะเหรอ”
ฉันยกมือขึ้นปัดแก้มเพราะคิดว่าหน้าตัวเองเลอะ แต่กลับกลายเป็นว่ามือที่ฉันใช้ปัดนั้นมันดันเลอะเศษฝุ่นบนพื้น แก้มฉันยิ่งเลอะเข้าไปใหญ่เลยให้ตายสิ
“ตรงนี้”
ฉันชะงักไปชั่วขณะเมื่อถูกปลายนิ้วโป้งของแสงเหนือเกลี่ยเช็ดคราบฝุ่นตรงข้างแก้มให้ สัมผัสจากปลายนิ้วของเขามันกรุ่นร้อนแปลก ๆ พาให้ใบหน้าฉันร้อนวาบไปด้วย
ไม่รู้ว่าฉันนั่งนิ่งสบตากับแสงเหนือนานแค่ไหน แถมยังปล่อยให้เขาเกลี่ยแก้มโดยไม่ปัดป้องอีกต่างหาก กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังขัดขึ้น
“ฉันคงไม่ได้มาขัดจังหวะใครใช่ไหมเนี่ย”
น้ำเสียงหยัน ๆ ติดคุกรุ่นในทีเรียกสายตาจากฉัน ส่งผลให้ใบหน้าฉันเบี่ยงหนีสัมผัสจากแสงเหนือซึ่งผละมือกลับไปแล้วเช่นกัน ฉันมองผู้มาใหม่ที่กำลังยืนกอดอกพิงกำแพงด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสีนิลไม่ได้จ้องมาที่ฉันแต่กลับจ้องไปทางผู้ชายตรงหน้าฉันแทน
ว่าแต่… ทำไมอีตารุ่นพี่วายร้ายคนนั้นถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?!
ฉันลุกขึ้นยืนโดยมีแสงเหนือลุกขึ้นตาม เขาเดินมายืนด้านข้างฉัน สายตาที่มองไปทางรุ่นพี่ดูเหยียบเย็นแปลก ๆ ไม่ต่างกัน สองคนนี้รู้จักกันงั้นเหรอ?
“ถ้ายังไงฉันขอตัวกลับก่อนนะแสงเหนือ”
ดูจากความมาคุตอนนี้แล้ว ฉันว่าฉันควรจะรีบชิ่ง เป็นครั้งแรกที่ฉันเรียกชื่อแสงเหนือ แถมยังเรียกซะเต็มยศเลยด้วย ก็นะ เรายังไม่ได้สนิทกันถึงขนาดเรียกสั้น ๆ โดยไม่กระดากอายได้นี่ ฉันหันมองแสงเหนือและเห็นว่าเขาพยักหน้ารับรู้ ฉันเลยเดินผ่านพวกเขาออกมา ทว่า…
หมับ!
“จะรีบไปไหนล่ะ ฉันตั้งใจมาหาเธอเลยนะ” ฉันถูกอีตารุ่นพี่วายร้ายคว้าแขนไปจับ เขาเบี่ยงหน้ามามองฉันด้วยสีหน้านิ่ง ๆ มุมปากขยับยิ้มจนฉันรู้สึกขนลุก
“มีอะไรอีกคะรุ่นพี่”
“โลกิ”
“…” ฉันชะงักพลางกะพริบตามองเขา น้ำเสียงเย็น ๆ นั่นมันอะไรกัน?
“ชื่อของฉันคือโลกิ”















































































