บทที่ 7 พูดจริงนะ
“ชื่อของฉันคือโลกิ”
หลังจากรุ่นพี่… ไม่สิ โลกิแนะนำชื่อตัวเองจบ รอบตัวเราก็ตกอยู่ในความเงียบงันทันที ฉันมองเขาด้วยความไม่เข้าใจในขณะที่โลกิมองฉันเหมือนกำลังบีบบังคับกันกลายๆ
อะไรล่ะ? หรือเขาอยากให้ฉันเรียกชื่อเขาเหรอ?
“ปล่อยมือจากเธอได้แล้วมั้งครับรุ่นพี่”
และก่อนที่ฉันกับโลกิจะจ้องตากันมากไปกว่านี้ เสียงเย็น ๆ ของแสงเหนือแทรกขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นที่ดึงแขนฉันออกจากการจับกุมของโลกิ ร่างสูงของแสงเหนือหยุดยืนอยู่ข้างฉัน เขาจึงต้องเผชิญหน้ากับโลกิด้วย
ฉันมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความอึดอัด ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าสองคนนี้ไม่ชอบขี้หน้ากันแน่ ๆ แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก็ช่าง ฉันไม่ได้อยากจะข้องเกี่ยวด้วยเลย
“หึ… ไม่คิดเลยว่าแจ็คฟรอสต์ที่สาว ๆ กำลังร่ำลือจะขี้หวงขนาดนี้” โลกิเปลี่ยนสีหน้าจากเยือกเย็นเมื่อครู่เป็นรอยยิ้มหน้ากากเทพบุตรได้แบบฉับพลันจนฉันยังอึ้ง อะไรจะสวมหน้ากากเร็วขนาดนั้น แต่คิดว่าคงไม่ทันแล้วมั้ง ดูเหมือนแสงเหนือจะรู้ว่านั่นคือหน้ากากของรุ่นพี่วายร้ายคนนี้
“นั่นสิครับ ผมก็คิดไม่ถึงว่ารุ่นพี่โลกิที่แสนดีของพวกสาว ๆ จะมาฉุดแขนผู้หญิงที่เขาไม่เต็มใจแบบนี้เหมือนกัน” แสงเหนือพูดด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา เขาเองก็สวมหน้ากากรอยยิ้มเหมือนกันสินะ
ให้ตายเหอะ… ผู้ชายพวกนี้น่ากลัวเป็นบ้า!
“เอ่อ… ก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ฉันมีธุระ ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ” ฉันพูดโดยไม่มองหน้าใครสักคน พวกเขาอยากจะเล่มสงครามเย็นอะไรกันก็เล่นไปสิ ฉันไม่เกี่ยว ฉันอยากกลับจะแย่แล้ว
“เดี๋ยว…” ฉันถูกโลกิรั้งไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้เขาแค่เรียกเฉย ๆ ฉันเลยหันหน้ากลับไปมอง ดวงตาสีนิลคมเข้มจ้องลึกเข้ามา สีหน้าเขาตอนนี้นิ่งมาก “ที่บอกว่าจองน่ะ”
“…”
“ฉันพูดจริงนะ”
โลกิเดินเข้ามากระซิบประโยคสุดท้ายข้างหูฉันก่อนจะเป็นฝ่ายเดินจากไปเอง ทิ้งให้ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความมึนงง
เขาหมายความว่ายังไงกัน…
หลายวันต่อมา
“อะไรกัน ๆ แกกับแสงเหนือมีซัมติงอะไรกันหรือเปล่ายัยเฌอ ทำไมหมอนั่นเทียวไล้เทียวขื่อแกขนาดนี้อ่ะ”
ฉันมุ่นหัวคิ้วมองยัยเฟรย์ที่ขุดสำนวนโบราณมาใช้กับฉันอีกแล้ว ก่อนจะปรายตาไปมองผู้ชายกลุ่มหนึ่งซึ่งนั่งถัดจากเราสองคนไปสองแถว และท่ามกลางผู้ชายพวกนั้นก็มีหนุ่มหล่อผมสีเทานั่งอยู่ ซึ่งเขากำลังมองมาทางฉันพอดี เห็นอย่างนั้นฉันจึงถอนสายตากลับแล้วจดเลคเชอร์บนจอโปรเจคเตอร์ต่อ
การที่ยัยเฟรย์สงสัยมันคงไม่แปลก เพราะหลายวันมานี้แสงเหนือเข้ามาทักทายฉันบ่อย ๆ แถมยังชอบมองฉัน พอเราสบตากันเขาก็จะยิ้มให้ ซึ่งมันก็… แปลกจริง ๆ นั่นแหละ ไหนว่าเย็นชาเข้าถึงยากไง?
“เลิกพูดแล้วจด ๆ ไปเถอะน่า หมดคลาสนี้ฉันต้องไปทำงานต่อนะ” ฉันพูดถึงงานพิเศษที่เพิ่งไปสมัครมาเมื่อวันก่อน เป็นร้านคอฟฟี่เค้กคาเฟ่น่ารัก ๆ อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมาก สะดวกในการเดินทางไปทำงานและเป็นทางผ่านกลับบ้านอีกด้วย
“นี่แกคิดจะไปทำงานพิเศษนั่นจริง ๆ น่ะเหรอ ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ นะเฌอ บ้านแกก็ออกจะรวยมาก ไม่ต้องทำงานยังสบายไปทั้งชาติเลยด้วยซ้ำ แล้วจะไปทำงานพิเศษให้มันลำบากลำบนทำไม” เฟรย์เริ่มบ่นเรื่องเดิม ๆ หลังจากมันรู้ว่าฉันจะทำงานพิเศษ
“ฉันไม่ได้ไปทำเพราะหาเงินสักหน่อย แต่ไปหาประสบการณ์ต่างหาก พ่อแม่ฉันก็สนับสนุน แม้พวกท่านจะกังวลเรื่องอุบัติเหตุอยู่นิดหน่อยก็เถอะ”
ฉันคิดไปถึงตอนที่บอกพ่อกับแม่ว่าจะทำงานพิเศษ พวกท่านมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าเลือดของฉันมันพิเศษมากแค่ไหน หากเป็นอันตรายถึงขึ้นเลือดตกยางออกขึ้นมาพวกท่านก็เกรงว่าจะหาเลือดมาช่วยชีวิตฉันไม่ทัน
“แล้วพี่ชายซิสค่อนของแกรู้เรื่องนี้ยัง”
“ไม่ให้รู้เลยดีที่สุดอ่ะรายนั้น ถ้าลองรู้ว่าฉันทำงานพิเศษละก็นะ มีหวังมานั่งเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นแน่ ๆ เขาอาการหนักกว่าพ่อแม่ฉันอีก”
ก็ไม่รู้ว่าฉันจะปิดเรื่องนี้จากพี่ฌอนได้นานแค่ไหน ยังไงเขาก็ต้องรู้อยู่ดีถ้าเห็นว่าฉันกลับบ้านดึกบ่อย ๆ แต่จะว่าไปช่วงนี้ฉันไม่ค่อยเจอพี่ฌอนที่บ้านเลยแฮะ สงสัยออกเที่ยวทุกวันอย่างที่ชอบทำประจำละมั้ง ถึงฉันจะเรียนอยู่วิศวคอมเหมือนกับเขา แต่ก็ใช่ว่าจะเจอกันง่าย ๆ อะนะ
“ถ้าเป็นพี่ชายแกละก็ ช่วงนี้เขาไม่น่าจะว่างมาสนใจแกหรอกมั้ง เห็นว่ากำลังยุ่ง ๆ กับโปรเจคใหม่อยู่นะ อืม… ฉันเองยังไม่ค่อยได้เจอพี่ชายตัวเองเลย นี่ขนาดอยู่มอเดียวกันคณะเดียวกันแท้ ๆ นะ”
จริงสิ เฟรย์เคยบอกว่าพี่ชายของมันเป็นเพื่อนกับพี่ชายของฉัน เหมือนจะเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันนี่แหละ ฉันก็ไม่เคยเจอพี่ชายมันหรอก เฟรย์ไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ ชื่อฉันยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ปกติมันเรียกแต่พี่ชาย ๆ ตลอด ดูเหมือนพี่ชายมันจะแยกออกไปอยู่คอนโดคนเดียวด้วยมั้ง ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้จึงดูห่างเหินกันอย่างที่เห็น
“ว่าแล้วก็โทรหาพี่หน่อยดีกว่า” ฉันก้มหน้าจดเลคเชอร์ต่อโดยเลิกสนใจเพื่อนสาวข้างกายอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้สนใจฟังว่ามันคุยโทรศัพท์ว่ายังไงบ้าง จนกระทั่งมันวางสายไปแล้วหันมาพูดกับฉันอีกครั้ง “วันนี้ฉันไปที่ร้านกับแกได้ป่ะ”
“ทำไมอ่ะ”
“พอดีพี่ชายฉันจะเอาของมาให้อ่ะ แต่ขี้เกียจรอที่มอ ขอไปนั่งกินเค้กเล่นที่ร้านแกแทนดีกว่า”
“ไม่เอาอ่ะ เกิดพี่แกเห็นฉันแล้วเอาไปฟ้องพี่ฌอนทำไงล่ะ” ฉันปฏิเสธทันควัน
“โอ๊ย ไม่หรอก ๆ พี่ฉันไม่รู้จักแกหรอกน่า ฉันไม่เคยเล่าให้ฟัง และเชื่อเหอะว่าพี่ชายซิสค่อนของแกก็คงไม่เล่า หวงน้องซะขนาดนั้น”
เอิ่ม… ก็จริงนะ ฉันยังไม่เคยรู้จักเพื่อนพี่ฌอนสักคนเหมือนกัน อ้อ จะว่าไปก็มีอยู่คนหนึ่งที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี ‘พี่พลูโต’ ไงล่ะ เขาเป็นลูกชายคนโตของคุณอาโบอิ้ง เป็นพี่ชายของวีนัส และแน่นอนว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันกับพี่ฌอนด้วย
“ตามใจ หวังว่าคงไม่นำพาเรื่องยุ่ง ๆ มาให้ฉันแล้วกัน”















































































