บทที่ 4 ถอยออกไป!!!

ผม.... ผมไม่เคยรู้เลยว่าไอ้เพชรมันจะเป็นผู้หญิง เราเรียนอยู่เซคเดียวกันมาก็นาน และเห็นอยู่ตลอดว่าสาวๆ รุมล้อมมันขนาดไหน ผมที่มั่นใจว่าตัวเองมองคนไม่พลาด เรด้ากลับมาจับอยู่ที่ สาวทอม???? เรื่องนี้ทำให้สมองมึนงงไปพักใหญ่ คิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่

สายตาของผมเลื่อนลงต่ำจนไปหยุดอยู่ที่หน้าอกหน้าใจ มองอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนที่เสียงในหูจะดังวิ้ง และเห็นดาวหมุนอยู่รอบหัว

เพี้ยะ!

ฝ่ามือเล็กๆ ออกจะหยาบกระด้างไปสักหน่อย ตบเข้าที่กกหูอย่างจัง จนสมองมึนงงไปชั่วครู่ แล้วจึงได้สติกลับมา

“เดี๋ยวมึงไม่ได้ตายดี” น้ำเสียงเย็นเยียบแฝงไว้ด้วยแววคุกคาม จนทำให้ต้องดึงสติกลับมา และถอนสายตาออกจากอกที่แฟบแบนเป็นไม้กระดานอย่างรวดเร็ว

“ขะ ขอโทษครับ คือผม... คือกู... คือ... ไม่รู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงครับ” น้ำเสียงตะกุกตะกักจนอยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักที แล้วมึงจะพูดสุภาพเรียบร้อยไปทำไมไอ้วุฒิ!!! เป็นห่าอะไรของมึ้งงงงงงงง ผมกรีดร้องอยู่ในใจวุ่นวาย เมื่อไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวต่อหน้าคนๆ นี้ยังไง ตอนแรกก็ว่ากะจะจีบคั่วไปเล่นๆ ฟันแล้วทิ้งเหมือนคนอื่นๆ เพราะยังไงมันก็คงไม่ท้อง จนเมื่อได้รับรู้ว่าคนๆ นี้เป็นผู้หญิง หากผมทำอะไรลงไป..... มันก็คงจะสุ่มเสี่ยงมีบ่วงพันธะมาติดพัน

“กูจะกลับแล้ว” ไอ้เพชรมันว่าพลางวางตะเกียบลงเสียงดัง ทั้งๆ ที่ยังกินไปไม่เท่าไหร่ ในถ้วยก็ยังคงเหลืออยู่ค่อนข้างเยอะ ก่อนจะหันมาพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“ในเมื่อมึงบอกจะเลี้ยง ก็จัดการให้กูด้วย บาย หวังว่ากูกับมึงจะต่างคนต่างอยู่” มันว่าพลางหยิบกระเป๋าเป้แบบสะพายข้างพาดที่กลางลำตัว จัดการเอาข้าวของสำคัญใส่ลงไป แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินจากไป ผมที่หัวสมองมึนงง ยังคิดไม่ตกกับคนๆ นี้ว่าจะเอายังไงดี นิสัยของมันก็ไม่ได้แย่ ถึงแม้จะดูต่อต้านผู้ชายชัดเจน แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยผม....

หลังจากคิดอะไรสะระตะอยู่ในหัว เปิดกระเป๋าควักแบงค์พันวางจ่ายบนโต๊ะแล้วตะโกนบอกป้าเจ้าของร้านอย่างรวดเร็ว

“ป้าครับ ตังค์อยู่บนโต๊ะนะ!! ไม่ต้องทอนครับป้า!!” ตะโกนร้องบอกในขณะที่เท้าก็วิ่งกลับไปที่คอนโดตัวเอง

โอ้ยยยยย จุกสัสๆ!! ไม่น่าแดกเยอะเลยกู!!! ผมหอบหายใจแฮ่กๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปที่โรงจอดรถของคอนโด เห็นไอ้เพชรมันกำลังจะขับรถออกจากประตูพอดี จึงกระโดดเข้าไปขวางไว้ กางแขนกางขาออกสุด จนรถมันหยุดชะงัก ดีว่าที่มันพึ่งจะเริ่มขับออกมาช้าๆ ไม่งั้นคงจะชนกับผมแล้ว

.

.

.

Phet Part

กึก!

แบล็คเบิร์ดคู่ใจหยุดชะงักเพราะมีคนกระโดดเข้ามาขวางทางรถอย่างรวดเร็ว ใครคนนั้นกางแขนกางขาออกสุด เป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอไปต่อ จนเธอต้องเอาเท้ายันพื้นไว้พลางเปิดหมวกออกมาด่าคนตรงหน้านี้

“อยากตายก็ไม่บอก กูจะได้ช่วยสงเคราะห์ให้ ออกไปให้พ้นจากหน้ารถกู อย่าหาว่ากูไม่เตือน” น้ำเสียงเย็นเหยียบดังขึ้นอย่างรำคาญใจ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเพียงคิดว่าจะมาให้มันเลี้ยงข้าวแล้วจะได้จบๆ จนเมื่อมีมารเข้ามาป่วน สายตาและท่าทางคนๆ นี้ก็เปลี่ยนไป มันทำให้อึดอัดและพาลทานต่อไม่ลง จนต้องผละจากมา และหวังว่าจะต่างคนต่างอยู่ เธอช่วยมัน มันเลี้ยงข้าวเธอ เท่านี้ก็ไม่เหลือบุญคุณต่อกันอีก

“คือผม.... คือ... กู... คือ...” มันเอามือยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร ชักช้า... แม่งเสียเวลา....

“ไม่มีอะไรจะพูดก็ออกไป อย่าหาว่ากูไม่เตือน” เธอพูดขู่มันอีกครั้ง เป็นการส่งสัญญาณให้รู้ ก่อนจะปิดหน้ากากหมวกกันน็อค และเริ่มเร่งเครื่องจนเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ วุฒิเดินเข้ามาหาช้าๆ พลางขวางหน้ารถไปด้วย จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าพอดี ฝ่ามือใหญ่เลื่อนมาเปิดหน้ากากอีกครั้ง ก่อนจะย้ายมารั้งจับแขนเธอเอาไว้

“คือ.... กูขอโทษ กูคิดว่ามึงเป็นผู้ชาย โอเค กูยอมรับ กูกะฟันแล้วทิ้ง แต่พอรู้ว่ามึงเป็นผู้หญิง ตากูก็เลื่อนลงไปเอง กู ขอโทษว่ะ.....” คำพูดของคนตรงหน้ายิ่งจุดประกายความวาวโรจน์ให้พุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว มันกะจะฟันเธอแล้วทิ้ง!!! เหอะ!! สันดานผู้ชาย!!! ขนาดมันเข้าใจว่าเป็นผู้ชาย ยังคิดได้ขนาดนี้ หากไอ้นี่มันหันมาชอบผู้หญิง คงมีสาวๆ นับไม่ถ้วนที่ต้องเสียใจเพราะมัน!!! เกลียด... มึงมันน่ารังเกียจไอ้วุฒิ!!!

“ถอยออกไป!!!” แขนเล็กสะบัดหลุดจากการเกาะกุม เลื่อนปิดหน้ากากอีกครั้ง ถอยรถออกมา ก่อนจะเร่งเครื่องและเบี่ยงออกไปด้านข้างเพียงเล็กน้อย ไม่สนใจว่าจะเฉียวคนที่ยืนขวางอยู่หรือไม่ และขับออกมาอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปร้านเหล้าแถวมหาลัยแทน

ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยตามแรงอารมณ์ของคนขับ แบล็คเบิร์ดก็มาจอดนิ่งสนิทที่หน้าร้านเหล้าร้านหนึ่ง ก่อนจะต่อสายหาหญิงสาวคนเมื่อวานที่เธอผิดนัดไป

“ฮัลโหลครับ น้องเชอร์ ยุ่งอยู่รึเปล่าครับ......... ครับ ออกมาหาพี่นะ.... ร้านเหล้าน่ะครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ....... ครับ สัก 3 ทุ่มก็ได้ครับ”

ติ้ด!

เมื่อน้องเชอร์ของเธอถามถึงเวลานัดหมาย จึงพึ่งจะเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเพียงบ่าย 3 เท่านั้นเอง คงจะเร็วเกินไปสำหรับร้านเหล้า.... คิดในใจพลางหันหัวรถกลับ ไปห้างใกล้ๆ นี้แทนรอเวลาก็ได้ว่ะ ไม่รอให้เสียเวลานาน มุ่งหน้าเข้าห้างสรรพสินค้า ที่เดียวกับครั้งที่มาดูหนังกับสาวๆ คนหนึ่ง แต่ในครั้งนี้เธอกลับเลือกที่จะเข้าร้านอาหารเกาหลี สั่งของมาทานสองสามอย่าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อรอเวลา จึงได้เห็นว่าโทรศัพท์มีสายเรียกเข้าจากไอ้คนเห้ๆ คนนั้นมากมายขนาดไหน ส่ายหัวเบาๆ พลางยกยิ้มเยาะ ขนาดว่าเธอเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยังไม่วายเจอคนแบบนี้ ช่างน่าหัวเรอเสียงจริง

เธอจัดการกดบล็อกทุกช่องทางการติดต่อจากคนๆ นั้น ทำให้ไม่ได้รับสายเรียกเข้า หรือข้อความอะไรมาอีก จึงนั่งต่อได้อย่างสบายใจ กดเข้าแอพแชทไปจึงเห็นว่ามีหญิงสาวมากมายที่ทักมาหาเธอ ข้อความเชิญชวนให้ออกไปเที่ยวด้วยกันยามค่ำคืนถูกแจ้งเตือนขึ้นหลากหลายข้อความ และเธอก็ทำการตอบกลับด้วยความสุภาพว่า

ไม่ว่างครับ ไม่ไปครับ ขอโทษนะครับ แทบจะทุกคน ในเมื่อตอนนี้เธอกำลังคุยๆ กับน้องเชอร์ เธอก็เลือกที่จะคุยทีละคน จะไม่ทำตัวเหมือนผู้ชายพวกนั้นเด็ดขาด กับหญิงสาว เธอจะมอบความอบอุ่นและอ่อนโยนให้เสมอ คิดพลางต่อสายหาน้องเชอร์อีกครั้ง

“น้องเชอร์ครับ ขอโทษนะที่พี่โทรมากวนอีกแล้ว ตอนนี้พี่นั่งอยู่ร้านอาหารที่ห้างแถวๆ มหาลัย สนใจมาทานกับพี่ไหมครับ” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเจือประกายแววความอบอุ่น รอยยิ้มบางๆ ถูกยกขึ้นเมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงกลับมา และขอเวลาสักหน่อยในการเดินทาง เมื่อมาถึงแล้วจะต่อสายหาอีกครั้ง

นั่งต่อได้ไม่นาน อาหารสองสามอย่างที่สั่งไปก็ถูกยกมาวางไว้ตรงหน้า เธอไม่รอช้า จัดการสั่งอาหารรอคนตัวเล็กทันที เพื่อที่ว่าน้องเชอร์มาแล้วจะได้เริ่มทานในทันที รออีกพักใหญ่ หญิงสาวตัวเล็กรูปร่างผอมบาง มีหน้าอกหน้าใจพอตัว แต่ไม่มากเกินพอดี ใบหน้าเรียวเล็กจิ้มลิ้ม มีแก้มหน่อยๆ ผมยาวประบ่า ดัดปลายนิดๆ สีน้ำตาลอมแดง ใบหน้าน่ารักน่ามองตามธรรมชาติ มาในชุดเสื้อโค้ตสีชมพูหวาน ยาวประมาณหัวเข่าและใส่รองเท้าส้นสูงแบบรัดส้นสีชมพูเข้าชุดกัน

เพชรรีบลุกขึ้น อ้อมไปอีกฝั่ง เลื่อนเก้าอี้ออก ก่อนจะเอ่ยปากบอก

“เชิญครับเจ้าหญิงของผม” คำพูดนั้นทำให้สาวเจ้าก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย ก่อนจะนั่งลงแต่โดยดี

“พี่สั่งอาหารไว้ให้แล้ว รออีกสักพักหนึ่งนะ” ว่าพลางเดินกลับไปนั่งที่ของตน น้องเชอร์พยักหน้าให้เบาๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะเท้าคางด้วยแขนสองข้าง จดจ้องมองเธอตาแป๋ว

“หน้าพี่มีอะไรติดอยู่หรอครับ” ถามพลางส่งสายตา สบมองนัยน์ตาคนตัวเล็ก ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่ายหัวแล้วตอบกลับมา

“ไม่มีอะไรค่ะ พี่เพชรหล่อ หนูอยากนั่งมองไปนานๆ” จบคำก็เป็นเธอเองบ้างที่เท้าคางมองอีกฝ่ายด้วยแขนข้างเดียวก่อนจะตอบกลับไป

“ตอนแรกพี่หิวข้าวมากๆ เลยครับ แต่พอน้องเชอร์มาแล้วพี่ชักจะอิ่มแล้วล่ะ แค่ได้นั่งมองก็ไม่อยากอาหารแล้ว” จบคำหยอดหวานหู น้องเชอร์ของเธอก็ใบหน้าขึ้นสี แก้มแดงระเรื่อ น่ารัก.... รอต่อเพียงไม่นาน อาหารก็ถูกจัดเสิร์ฟจนครบตามรายการที่สั่ง จึงเริ่มต้นทานอาหารด้วยบรรยากาศหวานหอมละมุน เธอคอยตักอาหารนั่นนี่ใส่จานให้น้องเชอร์ไม่ขาด เพราะสาวเจ้าทานน้อยเกินไปจนอดที่จะคะยั้นคะยอให้ทานเพิ่มเติมอีกสักหน่อยไม่ได้ จนเมื่อทานเสร็จแล้วก็จัดการชำระเงิน แล้วพากันออกจากร้าน

“น้องเชอร์อยากทานของหวานล้างปากไหมครับ หรืออยากจะพักไว้ก่อน” หันไปถามความเห็นคนข้างกาย และจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบ

“เชอร์ยังอิ่มอยู่เลยค่ะ ทานไม่ไหวแล้ว” มือน้อยๆ ลูบท้องตัวเองไปมา เธอจึงพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะชักชวนกันเดินดูของต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายไว้ให้เลือกซื้อ สาวเจ้าเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตัวเธอเองก็เดินตามเงียบๆ ออกความเห็นบ้างเมื่อน้องเชอร์หันมาถาม แต่บนใบหน้าเรียวคมเข้มกลับปรากฏร่องรอยของความสุขสบายใจ ไม่มีแม้แต่สักเสี้ยวของความเหนื่อยล้าให้เห็น แม้จะเดินตามมามากกว่า 2 ชั่วโมงแล้วก็ตาม

ก้มลงมองดูเวลาเกือบ 1 ทุ่มแล้ว แต่ก็ยังเร็วไปสำหรับร้านเหล้าอยู่ดี คิดพลางหันไปขอความเห็นจากคนข้างกายอีกครั้ง

“ไปดูหนังกันไหมครับ เดี๋ยวหนังจบแล้วพี่ไปส่งบ้าน”

“อ๊ะ ไม่ไปร้านเหล้าแล้วหรอคะ”

“พี่ก็อยากไปนะ แต่กลัวเราจะตื่นไปเรียนไม่ไหวน่ะสิ” ว่าพลางยีหัวคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู น้องเชอร์ทำท่านึกก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง น้องเชอร์ของเธอไม่เคยเข้าร้านเหล้า และเมื่อคืนวันศุกร์เธอจึงจัดการนัดคนตัวเล็กนี้ให้แต่งตัวรออยู่ที่บ้านแล้วจะออกไปรับ หากแต่ก็มีเรื่องมาขวางจนไม่ได้ไป ครั้งนี้เพราะเวลาที่เร็วเกินไปบวกกับเป็นวันอาทิตย์ จึงไม่อยากให้การดื่มเหล้าครั้งแรกของคนตัวเล็กนี้ส่งผลกระทบกับการเรียน

ทั้งคู่พากันเดินไปที่โปรแกรมหนังที่กำลังฉายอยู่ในขณะนี้ และเธอก็ปล่อยให้น้องเชอร์เป็นคนเลือก คนตัวเล็กเลือกหนังออกมาเรื่องหนึ่ง เป็นอนิเมชั่นจากญี่ปุ่น ได้รับความนิยมเพราะเนื้อหาที่ซาบซึ้งกินใจ ส่วนตัวเธอเองก็เดินไปจัดการซื้อตั๋วหนังและขนมนมเนยเอาไว้บริการหญิงสาว เมื่อพร้อมแล้วจึงช่วยกันถือคนละไม้คนละมือ ฝ่ามืออบอุ่นกุมกระชับฝ่ามือของหญิงสาวข้างกาย พากันเดินไปด้วยกัน

เมื่อนั่งประจำที่แล้วรอเพียงไม่นานภาพยนตร์ก็เริ่มต้นฉาย เป็นเรื่องราวความรักของผู้หญิงคนหนึ่งที่พูดไม่ได้และไม่ได้ยินเสียง เธอตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งในห้องตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ในขณะที่ฝ่ายชายเองก็คอยแกล้งเธอสารพัดเพราะความไม่ชอบใจที่เธอเป็นใบ้ จากความรักกลายเป็นความเจ็บแค้น และเพราะเธอไร้เสียงฟังไม่เข้าใจ จึงกลับกลายเป็นว่าโดยแกล้งโดยไม่มีทางต่อสู้หรือป้องกันตัวเอง เธอจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากความอ่อนหวาน แปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึม ในทุกๆ ช่วงเวลา เธอมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่คอยอยู่เคียงข้าง และรับรู้ทุกๆ ความนึกคิดของเธอ

จากคนอ่อนหวานเปลี่ยนเป็นดุดัน การที่เธอไม่เคยพูดยิ่งเพิ่มความน่ากลัวขึ้นไปอีก เธอจึงไม่เคยเป็นเป้าหมายในการถูกกลั่นแกล้ง แต่กลับเป็นเพื่อนสนิทของเธอแทน จนมาวันหนึ่ง เพื่อนสาวคนสนิทถูกกลั่นแกล้งและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในวันหนึ่งเพื่อนของเธอถูกจับตัวไปต่อหน้าต่อตา เธอทำได้เพียงวิ่งตามและไขว่คว้าหากแต่ไม่เพียงพอที่จะช่วยเพื่อนของเธอกลับมาได้ หญิงสาวไร้เสียงบุกตะลุยไปช่วยเพื่อนสนิทของตัวเอง ยิ่งเห็นสภาพร่างกายบอบช้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ภาพที่เห็นทำให้คลุ้มคลั่ง จนจัดการพวกผู้ชายทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว อุ้มประคองเพื่อนสาวคนสนิทเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าบ้าน และคอยดูแลจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำแผล และรอ... กุมกระชับมือเพื่อนสาวไว้แนบแน่น ในตอนนั้นเธอก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้มองคนบนเตียงเป็นเพื่อนสาวคนสนิท หากแต่เป็นมากกว่านั้น ผ่านไปสองวัน เพื่อนสาวจึงฟื้นคืนสติ ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามเปล่งคำพูดออกมาเป็นคำๆ อยากจะปลอบใจคนนี้ๆ อยากจะปกป้องคนๆ นี้

“มะ ม่ะ ไม่ อึก” คำที่ถูกพูดออกมาทำให้คนในอ้อมแขนชะงัก ก่อนจะดันตัวออกช้าๆ อย่างแปลกใจและไม่แน่ใจเท่าไหร่ เหมือนว่าตัวเองหูฟาดไปจึงมองอย่างฉงนสงสัย

“ปะ เปนนน” ในครั้งนี้หญิงสาวในอ้อมกอดน้ำตาได้หยุดไหลไปแล้ว และสบมองมาด้วยดวงตากลมโตปนตกตะลึง

“อึก อัก ระ ไร่ ไร” หญิงสาวในอ้อมแขนพุ่งเข้ากอดอย่างยินดี เมื่อนำคำเหล่านั้นมันแปลได้ว่า

“ไม่เป็นไร” ทั้งสองกอดรัดกันแน่นก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะปิดฉากลง หญิงสาวไร้เสียงขีดเขียนคำๆ หนึ่งไว้บนฝ่ามือเพื่อนสนิท

รัก

ก่อนที่ภาพบนหน้าจอจะถูกดับลงไปอย่างช้าๆ หันมองน้องเชอร์ที่นั่งอยู่ข้างกายน้ำตาไหลโดยไม่มีเสียง จนอดที่จะใช้มือปาดน้ำตาออกให้ไม่ได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าเป็นอนิเมชั่นซาบซึ้งแห่งปี น้องเชอร์หันมองมาเล็กน้อย ก่อนจะแนบแก้มลงกับมือเล็กแต่หยาบของเธอจนต้องยกยิ้มน้อยๆ ไร้คำพูดใดๆ ระหว่างกัน

น้องเชอร์ของเธอพิเศษ และแตกต่างจากคนอื่นๆ คนอื่นๆ ที่เข้ามาหาล้วนแต่หวังรูปร่างหน้าตาและเรื่องอย่างว่าจากเธอเท่านั้น แต่ว่าน้องเชอร์นี้กลับไม่ใช่ เธอและน้องเชอร์เรียนในที่เดียวกัน ตอนที่เธออยู่ ม.6 น้องเชอร์พึ่งจะเข้าเรียนเท่านั้น ไม่ว่าเธอจะทำอะไรหรือแม้แต่เล่นกีฬากลางแจ้ง มักจะมีสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนนี้เกาะอยู่ขอบสนามเสมอ และเอาแต่คอยจ้องมอง ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะส่งเสียงร้องเรียกความสนใจ ดังนั้น น้องเชอร์ของเธอจึง

พิเศษ

วันสุดท้ายที่เธอได้เล่าเรียน ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมส่งท้ายให้เพื่อเป็นการอวยพรสำหรับรุ่นพี่ ม.6 ที่จบไป สาวน้อยที่คอยเอาแต่ลอบมองอยู่ที่ไกลๆ และไม่เคยแสดงตัวตน กลับมายืนต่อหน้าเธอด้วยใบหน้าแดงก่ำ พูดคำบางคำให้รู้สึกดี

“หนูชอบพี่ หนูไม่ขอให้พี่ตอบรับความรู้สึก แต่ หนูขอแค่ช่องทางการติดต่อได้ไหม อะไรก็ได้ ช่องทางไหนก็ได้”

เด็กสาวตรงหน้าไม่ได้ร้องขอความรักจากเธอ หากเพียงแค่ต้องการช่องทางการติดต่อเพื่อรับข่าวสารเท่านั้น ทำให้เธอมองเด็กคนนี้ต่างจากคนอื่นๆ แปลก.... แปลกมากจริงๆ .....

หลังจากนั้นเธอก็ปฏิบัติต่อเด็กสาวคนนี้แตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง คนอื่นๆ เธอคว้าเอาใครสักคนมาจากคนที่รายล้อมอยู่รอบตัว และจบลงที่บนเตียงในแต่ละค่ำคืน แต่กับเด็กสาวคนนี้ สิ่งที่เธอมอบให้มีเพียงการกุมกระชับฝ่ามือเท่านั้น และไม่เคยมากกว่านี้ ทะนุถนอมราวกับเป็นสิ่งของล้ำค่าที่จำเป็นต้องดูแลรักษาอย่างดี จัดให้เธออยู่บนหิ้งไม่อาจดึงลงมาให้แปดเปื้อน

“กลับกับเถอะครับ เดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วงเอา” น้องเชอร์พยักหน้ารับ ก่อนจะวางฝ่ามือลงไปบนมือของอีกคนที่ยื่นมาตรงหน้า ขนาดของมันไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ หากแต่อบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป