บทที่ 2 บทที่ 1 ไม่ปกติ
บทที่ 1 ไม่ปกติ
หลายวันต่อมา
ศัลยแพทย์สาวเดินทำหน้าบึ้งตึงไปหาพี่ชายที่นั่งดื่มกาแฟอยู่คนเดียวในคาเฟแห่งหนึ่ง
“พี่พีร์! เมื่อไหร่จะพาเธอคนนั้นออกไปจากห้องพายสักที นี่มันนานแล้วนะ” พีร์เจวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะแล้วขยับขาแว่นตาเล็กน้อย ช้อนตามองน้องสาวที่ตั้งท่าจะโวยวายอีกจนพายอาร์ต้องเป็นฝ่ายปิดปากเงียบเอง
“เป็นไง”
“อะไรเป็นไง”
“ผู้หญิงคนนั้น เป็นยังไง”
“ก็ไปดูเอาเองสิ! มาถามทำไม ตัวเองเป็นเจ้าของคนไข้ก็หัดไปตรวจบ้างสิ โยนภาระให้คนอื่นแบบนี้ไม่แฟร์เลยรู้ปะ”
“ขี้บ่น”
“นี่!! หนูกำลังจริงจังอยู่นะพี่พีร์”
“แล้วเธอเห็นพี่กำลังนั่งขำอยู่หรือไง” น้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรยิ่งทำให้ผู้เป็นน้องหงุดหงิด เธอตบโต๊ะเสียงดังก้องในโซนนั่งดื่มของคาเฟจนพนักงานหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์สะดุ้งเฮือก
“พายให้เวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ฟื้นและพี่พีร์” เธอเอามือจิ้มหน้าอกพี่ชาย “ต้องรับผิดชอบเพราะถ้าไม่พาเธอออกไปจากห้องพาย เรื่องนี้ถึงหูป๊าแน่!” พูดจบแล้วจึงแบมือแล้วยื่นไปตรงหน้าพี่แทบจะทิ้มเข้าเบ้าตา
“อะไร”
“ค่าไฟ ค่าออกซิเจน ค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่พายจ่าย เอามาด้วยแสนหนึ่ง” พีร์เจถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโอนเงินให้พายอาร์หนึ่งแสนกับอีกหนึ่งร้อยบาท“หนึ่งร้อยให้มาทำไม”
“เลี้ยงกาแฟ” พูดด้วยสีหน้าเย็นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากคาเฟ
“พี่!! อื้อ!!” เธอไม่รู้จะทำยังไงจึงกำหมัดแน่นแล้วระบายความหงุดหงิดนั้นด้วยการกระแทกเท้าเดินออกมาจากคาเฟ
สองวันต่อมา
นายแพทย์หนุ่มเดินเข้ามาในห้องพักน้องสาว พอก้าวเข้ามาในห้องทำงานเขาก็เจอกับใบหน้าบูดบึ้งของพายอาร์
“เพิ่งจะโผล่หน้ามาเนี่ยนะ”
“…” เขาไม่ได้สนใจกับคำพูดน้องสาวแล้ววางกระเป๋าเป้ลงบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยก่อนจะก้าวไปยืนข้างเตียง “มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม” เสียงราบเรียบเอ่ยถามผู้เป็นน้องขณะที่สายตาจดจ้องใบหน้าซีดเชียวของหญิงสาว
“ไม่” คำตอบสั้น ๆ ของพายอาร์ทำให้พีร์เจจำต้องเงยหน้าขึ้นมองเธอ เมื่อถูกแรงกดดันทางสายตานานเกินไปพายอาร์จึงขยายความให้พี่ชายฟัง “ไม่มีอะไรเปลี่ยน พายให้ยาลดปวดลดไข้แล้วก็ล้างแผลทุกวัน ชีพจรเธอก็คงที่ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเร็ว ๆ นี้หรอก” หญิงสาวกอดอกแล้วเดินมาหยุดยืนข้างพี่ชาย พีร์เจพยักหน้าเข้าใจก่อนที่เขาจะก้มมองน้องสาวซึ่งเขาสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสองและน้องสาวสูงหนึ่งร้อยหกสิบเก้า
“ไปกินนมหน่อยไหม พี่ปวดคอ”
“พี่พีร์!!” แม้จะโตเกินวัยที่จะหยอกล้อแบบนี้แล้วแต่พีร์เจก็ยังหยอกล้อพายอาร์ตลอด ทว่าสีหน้าตอนที่พูดกลับไร้อารมณ์จนบางทีเธอก็แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนพี่ชายหยอกล้อและอันไหนพี่ชายพูดจริง พีร์เจเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์ออกมาเปิดดื่มเช่นเคยจนผู้เป็นน้องส่ายหน้าให้อย่างระอาใจ “ทำไมไม่ให้พี่เซียร์มาตรวจ”
“…” เขาปรายตามองเจ้าของคำถามแล้วกระดกเบียร์เข้าปาก
“ไร้จรรยาบรรณแพทย์! ใส่ชุดทำงานอยู่แท้ ๆ ยังกินเบียร์อีก”
“จุ้น!” เพราะเขายอมให้น้องสาวพูดแบบนี้กับเขาได้คนเดียว
“พรุ่งนี้พายไม่อยู่นะ ต้องไปประชุมที่ภูเก็ต… แล้วแต่พี่พีร์จะจัดการกับหล่อน” พายอาร์บุ้ยปากไปทางเตียงคนไข้ ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังคุยกัน คนที่หลับใหลมานานหลายวันก็ขยับริมฝีปาก เสียงเจื้อยแจ้วของพายอาร์ดังเข้ามาในโสตประสาทเธอทว่าจับใจความไม่ได้สักคำ
พีร์เจเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อตรวจเช็กอุปกรณ์แต่ทว่าในตอนที่เขาก้าวเท้าจะเดินกลับกับมีคนจับมือเขาไว้แน่น
“… คุณ~”
“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วพี่พีร์” พายอาร์เผลอเรียกชื่อพี่ชายด้วยความดีใจแล้วรีบเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อเช็กสายออกซิเจนส่วนพีร์เจยังยืนมองเธอเงียบ ๆ โดยไม่แสดงท่าทางตื่นเต้นหรือดีใจอะไรออกมา
“เธอเป็นใคร” เขาเอ่ยถามหญิงสาวผ่านน้ำเสียงเยือกเย็นก่อนจะจับมือเธอออกจากมือตัวเอง
“คนเพิ่งฟื้น พี่มาถามอะไรแบบนี้เนี่ย” เธอเองก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์พี่ชายตัวเองเหมือนกัน บางทีเขาก็เป็นคนปกติที่สามารถคุยเรื่องอะไรด้วยก็ได้แต่บางทีเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ใครก็เข้าหน้าไม่ติดและโคตรเดาอารมณ์ยาก
“ฉัน…” หญิงสาวเปล่งเสียงแหบพร่า สมองเธอกำลังประมวลผลแต่ความเจ็บปวดก็ตรงเข้าเล่นงามจนคิดอะไรต่อไม่ได้
“รักษาต่อ จนกว่าจะหายดี” ผู้เป็นพี่เอ่ยบอกน้องสาวเสียงเรียบแล้วเดินออกมาจากห้องทำงานพายอาร์
“เดี๋ยว พี่จะมาทิ้งภาระให้พายทำคนเดียวไม่ได้”
“เลขบัญชีเดิมไหม” แต่เขากลับไม่สนใจคำพูดเธอเลยสักนิด
“เอะอะจะโอนเงินอย่างเดียวเลยเหรอ ไม่ถามน้องบ้างหรือไงว่าอยากได้ไหม” คนเป็นพี่เลิกคิ้วแล้วเอี้ยวหน้ากลับไปมองน้องสาวที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ข้างหลัง
“ปกติเราก็ขอเงินพี่ตลอด”
“แต่ตอนนี้ไม่อยากได้ รวยแล้ว รวยมากด้วย”
“แล้วอยากได้อะไร”
“อยากให้พี่ชายตัวดีของหนูรับคนไข้ไปดูแลเองค่ะ!” พีร์เจเลิกคิ้วมองหน้าพายอาร์อีกครั้งทว่าเสียงเครื่องวัดชีพจรกลับดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ทั้งสองจึงรีบเดินเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้งหนึ่ง
“เตรียมยาให้พี่”
“ยา? ยาอะไร”
“ยาสลบ”
“เฮ้ย! ไม่ได้ดิ เธอเพิ่งฟื้นนะ”
“แต่ร่างกายเธอยังไม่พร้อม ให้พักผ่อนไปก่อน” แม้จะไม่เห็นด้วยแต่เธอก็ทำตามที่พี่ชายสั่ง ร่างบางที่กำลังดิ้นขืนตัวลงจากเตียงด้วยความเจ็บปวดค่อย ๆ ผ่อนคลายและในที่สุดเธอก็หลับไปอีกครั้ง
“เช็กน้ำเกลือและความดันด้วย”
“จะหนีอีกแล้วเหรอ นี่ยังเห็นหนูเป็นน้องไหมคะ”
“พี่รักเรานะ”
“เฮ้อ! ชาติหน้าพายขอเกิดเป็นพี่แล้วกัน จะได้ทำเย็นชาใส่บ้าง!”
“ทุกวันนี้ก็เหมือนเป็นพี่…” เขาทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ทำเอาพายอาร์อ้าปากค้าง เธอสบถคำหยาบในใจแล้วเดินฉับ ๆ มาขวางทางพี่ชายไว้ ฝ่ามือเรียวบางดันประตูที่พีร์เจเพิ่งเปิดออกให้ปิดเหมือนเดิม ก่อนจะเงยหน้ามองสบตาพี่ชายอย่างเอาเรื่อง
“ฟังนะพี่ชาย ถ้าอีกสามวันพี่ไม่พาเธอออกไปหรือหาที่ให้เธออยู่ เรื่องนี้ป๊าต้องรับรู้ หนูไม่ได้ขู่แต่เอาจริง อ๊ะ! พี่พีร์!!” พูดจบแล้วพีร์เจก็ดันศีรษะพายอาร์ให้เธอหลบทางแล้วก็เดินออกมาโดยไม่รับปากเธอ พายอาร์ทำได้เพียงถอนหายใจออกยาว ๆ อย่างสะกดกลั้นอารมณ์แล้วกลับไปดูหญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง “เธอมีความพิเศษตรงไหน ทำไมพี่ชายฉันถึงยื่นมือเข้าไปช่วยโดยไม่คิดอะไรแบบนี้” เธอเองก็ได้แต่ตั้งคำถามทุกครั้งที่เห็นพี่ชายแวะเวียนมาดูคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร…
สองวันต่อมา
ความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลง เทียน่าค่อย ๆ ขยับแขนข้างซ้ายขึ้นมาและปรับโฟกัสมองสายน้ำเกลือและที่ตรวจวัดชีพจรที่ติดอยู่ปลายนิ้วชี้
“อื้อ~” สายตาเธอพร่ามัวจนไม่อาจฝืนลุกขึ้นหรือมองไปที่ที่มีแสงไฟสว่างมาก ๆ ได้ ทว่าเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาในโสตประสาททำให้เทียน่าหันไปมองยังต้นทางของเสียงทันที
“อ๊ะ! คุณฟื้นแล้วเหรอ”
“คุณ… เป็นใคร”
“ฉันเป็นหมอ คุณรู้สึกปวดหัวหรือวิงเวียนบ้างไหมคะ” พายอาร์รีบวางแก้วกาแฟแล้วเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เธอหยิบหูฟังแพทย์ขึ้นมาครอบหูแล้วทำการตรวจหญิงสาว ระหว่างตรวจเทียน่าทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
“ฉัน… มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” หญิงสาวเริ่มเปล่งเสียงแหบพร่าถามแพทย์สาว เธอพยายามคิดแต่สมองกลับโล่งและขาวโพลน “แล้วฉัน… เป็นใคร?” คำถามที่ทำเอาพายอาร์ชะงักไปครู่หนึ่ง
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“ฉัน… อ๊ะ! ฉันจำได้ว่าฉัน…” เทียน่าหลับตาแน่น พยายามคิดแต่ทว่าเธอกลับรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ศีรษะจนพายอาร์ต้องบอกให้หยุดคิดแล้วให้เธอนอนพัก จากนั้นจึงออกมาโทร.หาพี่ชายซึ่งตอนนี้เขาน่าจะลงเวรและกำลังกลับคอนโดแน่นอน
(มีไร)
“ผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้วนะ พี่มาดูหน่อยดีไหมคะ”
(อืม)
“เธอจำอะไรไม่ได้เลยนะ แวะมาหน่อย เร็ว ๆ ด้วย”
(อืม) พายอาร์วางสายพี่ชายด้วยความเอือมระอาใจ ทั้งที่เธอร่ายยาวเป็นหางว่าวแต่พี่ตอบมาแค่เสียงผ่านลำคอเท่านั้น
หลายนาทีต่อมา
พีร์เจเดินอาด ๆ เข้ามาในห้องทำงานน้องสาว เขาปลดบัตรประจำแพทย์ออกแล้วพับแขนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนขึ้นมาจนถึงข้อศอก ระหว่างนั้นสายตาเขาไม่ได้ละไปจากใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวเลย
“อาการเป็นไง” เขาถามพายอาร์พร้อมกับหยิบหูฟังแพทย์มาครอบหูก่อนจะทำการตรวจอีกครั้ง
“ก็มีปวดแผลที่แขนกับไหล่บ้าง ศีรษะด้วยและที่สำคัญที่พายให้พี่พีร์มาตรวจเองคือเธอจำอะไรไม่ได้เลย ถามอะไรไปก็ไม่รู้ แม้กระทั่งชื่อตัวเอง… เธอก็จำไม่ได้” พีร์เจมองหน้าน้องสาวพลางขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะละสายตาจากพายอาร์ไปมองจ้องหน้าหญิงสาวซึ่งตอนนี้เธอกำลังจ้องมองเขาอยู่เหมือนกัน
“คุณเป็นหมอเหรอ” เสียงพร่าเปล่งออกมาผ่านริมฝีปากแห้งผาก
“บางวันก็เป็นหมอ บางวันก็เป็นคนธรรมดา” พีร์เจตอบทีเล่นทีจริงจนผู้เป็นน้องอดหมั่นไส้ไม่ได้ เธอจึงปล่อยให้เขาอยู่กับคนไข้ตามลำพังไปเลยโทษฐานที่ไม่ยอมมาดูแลเองดีนัก!
“ตกลงนายเป็นหมอ?” เทียน่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลแต่ก็ได้เพียงความเงียบกลับมาด้วยเพราะเขากำลังตรวจเธออยู่ ครู่หนึ่งจึงได้ยืนเสียงถอนหายใจเบา ๆ
“เธอจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฉัน… ฉันจำไม่ได้ สมองฉันขาวโพลนไปหมด”
“อืม แล้วชื่อตัวเอง ครอบครัว หรือคนรู้จักเธอพอจะนึกออกไหม” พีร์เจถามเสียงเรียบแต่หญิงสาวก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบแทบจะทันที “ศีรษะเธอถูกกระแทกด้วยของแข็งและเป็นแผลลึก”
“…” เธอพยักหน้าเข้าใจ
“อืม…” พีร์เจเดินออกมาข้างนอก พายอาร์เลิกคิ้วถามผู้เป็นพี่
“เป็นไงบ้าง ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง”
“ไม่ปกติ”
“อะไรไม่ปกติ”
“สมองเธอ”
“ก็แหง ถูกตีมานี่คะ”
“อืม…”
“เดี๋ยว ๆ ไปไหนน่ะ จะทิ้งอีกแล้วเหรอ”
“มีธุระ” ว่าจบคนตัวโตก็เดินจากไปโดยไม่สนใจว่าน้องจะทำหน้ายังไง
“พี่พีร์นะพี่พีร์!” เสียงของเธอดังเข้าไปในห้องทำงานซึ่งเทียน่ายังไม่หลับ เธอขยับริมฝีปากแห้งผากเรียกชื่อหมอพนุ่มเบา ๆ
“พีร์~”
