บทที่ 7 บทที่ 6 ตามล่า
บทที่ 6 ตามล่า
พีร์เจมองหน้าเจ้าของคำถามแล้วถอนหายใจออกยาว ๆ “อาจจะเป็นเอฟเฟกต์จากยาและความทรงจำเก่าเธอกำลังกลับมาในรูปแบบภาพบางฉากบางตอน”
“อืม…” เธอตอบรับเสียงพร่าแล้วเลิกผ้าห่มออกจากตัวแต่ในตอนที่เขยิบมานั่งห้อยขาถึงได้รู้ว่าตนเองอยู่ในห้องนอนของพีร์เจ “เอ้า…” เทียน่าหันมองซ้ายมองขวาก่อนที่จะหยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มอย่างเป็นคำถาม
“กลับไปพักที่ห้องเธอ” เขาไม่ได้อธิบายว่าพาเธอเข้ามาในห้องนอนตัวเองยังไงแต่กลับบอกให้ไปพักที่ห้องนอนจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจนเทียน่าต้องแหงนคอมองด้วยเพราะเธอนั่งอยู่บนเตียงซึ่งพีร์เจสูงกว่า
“อืม…” หญิงสาวตอบกลับแล้วลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องนอนส่วนตัวเขา มันยังเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจว่าทำไมพีร์เจต้องพาเธอเข้าไปในห้องนอนตัวเองทั้งที่โซฟาหรือห้องนอนเธอก็มี เพราะอะไร… เทียน่านั่งลงที่ปลายเตียงนอนก่อนจะเอนกายนอนลงบนเตียง เธอหลับตาและนึกถึงภาพความฝันที่มีผู้ชายคนนั้นอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง “ใช่เขาจริง ๆ เหรอ” เธอมุ่นคิ้วคิดตามคำพูดตัวเอง
หลายชั่วโมงต่อมา
พีร์เจเดินออกมาจากห้องตรวจและต้องหยุดฝีเท้าแล้วยกมือไหว้สวัสดีคนตรงหน้า
“สวัสดีครับป๊า”
“เป็นไงเรา ทำงานหัวหมุนเลยสิ” นำทัพตบบ่าแกร่งเบา ๆ
“ก็นิดหน่อยครับ”
“อืม ๆ วันนี้ป๊ามีประชุมสำคัญอยู่คุยด้วยได้ไม่นาน วันหลังเราค่อยนัดกันกินข้าวนะ”
“ครับ สวัสดีครับ” พีร์เจเดินกลับไปที่ห้องพักแพทย์ เขาเหลือบมองเวลาที่ผนังแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกางเกง
‘มาทานข้าวกับหม่าม้านะครับพี่พีร์’
ข้อความจากมารดาทำให้ภาพใบหน้าซีดเซียวของเทียน่าผุดเข้ามาในหัวเขา นายแพทย์หนุ่มจึงกดโทร.หาน้องสาวซึ่งพายอาร์ทำงานอยู่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง
(ฮาย... ฝนจะตกหนักไหมเนี่ยพี่ชายสุดที่รักโทร.หาน้องสาวคนสวย) ผู้เป็นน้องอดที่จะแซวพี่ชายไม่ได้ พีร์เจกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยถามน้อง
“หม่าม้าโทร.หาไหม"
(ไม่นะ ทำไมเหรอ) พายอาร์ย้อนถามพี่ชายแต่เขากลับกดวางสายไปก่อน และพายอาร์ก็โทร.หลับมาหาพี่ชายใหม่
(วางสายไปทำไมเนี่ย จะบอกว่าหม่าม้าส่งข้อความมาหาหนูว่าให้ไปกินข้าวที่บ้าน แต่หนูไม่ว่าง)
“ทำไม” เสียงเข้มเอ่ยถามน้อง
(ก็วันนี้รับเวรช่วยพี่เขา ออกเวรก็สองทุ่มและน่าจะไปกินกับป๊าม้าไม่ทันพี่พีร์ไปเหอะ)
“เสียเวลา” พีร์เจกดวางสายหลังจากพูดจบประโยคนั้นทำเอาคนปลายสายนิ่งงันไปกับความน่าหมั่นไส้ของพี่ชายหลายนาที
“กลับตอนไหน?” ซินเซียเอ่ยถาม
“ตอนนี้” ว่าจบเขาก็เดินออกมาจากห้องพักแพทย์
“รีบกลับไปหาใคร” แพทย์หญิงเอ่ยถามตามหลังเพื่อนสนิทจนพีร์เจต้องหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยตอบ
“อยากได้คำตอบแบบไหน”
“ก็ตามที่ถาม” หญิงสาวถามกลับหน้าตาย
“กลับไปหาคนไข้” เขาตอบซินเซียไปตรง ๆ แต่ไม่ได้ขยายความว่าคนไข้อยู่ที่ไหนหรือเป็นใคร จากนั้นก็หันหลังให้เธอแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทันทีจึงไม่ทันได้เห็นว่าเพื่อนรักกำลังแสยะยิ้มที่มุมปาก และมองเขาจนลับตา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา คลับหรูแห่งหนึ่ง
แก้ววิสกี้ถูกหมุนควงเล่นโดยเจ้าของรอยยิ้มร้ายกาจที่กำลังเพ็งสายตามองหน้าชายหนุ่มที่กำลังถูกลูกน้องเขาซ้อมอยู่
“อึก… ผะ… ผมไม่รู้จริง ๆ ครับนายว่านังนั่นมันหายหัวไปไหน” ชายที่นอนกองอยู่กับพื้นสภาพสะบักสะบอมเอ่ยเสียงขาดห่วงพลางซี๊ดปากระบายความเจ็บ
“กูให้เวลามึงมากพอ แต่มึงกลับไม่ทำห่าอะไรสักอย่าง กูก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกน้องเหี้ย ๆ แบบนี้ไว้เสียข้าวสุกทำไม”
“นะ… นายครับ ผมขอแก้ตัว ขอแก้ตัวได้ไหมครับ” เขาอ้อนวอนเป็นหมาจนตรอก ทั้งยกมือไหว้และคลานเข้าไปหาคนที่ตนเองเรียกว่านาย “ผมจะพาตัวมันมาให้นายให้ได้ แต่ผมขอเวลาหน่อย”
“ทุกอย่างต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงมาก มึงแน่ใจนะว่าจะทำ” เขาลังเลใจแต่ก็ยอมพยักหน้าเพื่อให้ตนเองปลอดภัย “หึ! งั้นเอาตัวมันมาให้กู”
“ครับนาย ครับ…”
“แต่… โทษของมึงก็ยังเท่าเดิม” รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏชัดก่อนที่ลูกน้องอีกคนจะส่งมีดพกสั้นมาให้เขา ปลายมีดปักลงบนหลังมือของคนที่ร้องขอให้เขาไว้ชีวิต
“อึก!! อ๊ากก!” เสียงร้องโอดครวญด้วยความทรมานดังก้องไปทั่วบริเวณแต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากคนที่กำลังรื่นเริงกับเสียงเพลงและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“จำไว้ว่าถ้ามึงทำพลาดอีก แผลต่อไป… จะอยู่ตรงนี้” ปลายมีดแตะลงที่เปลือกตาชายหนุ่มก่อนจะมีคนพาเขาออกไปจากตรงนั้น
“นายไว้ใจมันเหรอครับ”
“พาคนฝีมือดีหน่อยตามประกบมัน ถ้ามันทำพลาดอีกก็จัดการมันได้เลย”
“ครับนาย”
หลายนาทีต่อมา
“ทำเบา ๆ สิวะไอ้สัตว์! มือคนหรือมือควาย” เสียงเข้มตะคอกด่าลูกน้องที่ทำแผลให้แรงเกินไป
“แหมลูกพี่ ก็พวกเราเคยมานั่งทำแผลให้กันซะที่ไหน นายปล่อยมาให้ร้องโอดโอยก็บุญแล้ว”
ผลัก!
เขาเกร็งเท้าแล้วยกขึ้นมายันยอดอกลูกน้องทันทีที่มันพูดจบ
“ปากมึงนี่นะ”
“ขอโทษครับลูกพี่ แล้วจะเอาไงต่อเนี่ย”
“ตามล่าอีนั่น! เอาตัวมันไปให้นาย”
“แต่พี่ ผมว่ามันไม่โผล่หัวมาให้เราจับง่าย ๆ หรอก มันเก่งจะตาย”
“แต่ถ้าจับตัวมันไม่ได้กูจะตาย! มึงแหกตาดูสิ่งที่ไอ้เวรระยำนั่นทำกับกู! กูไม่ยอมหรอกนะ” เขาพูดเสียงลอดไรฟันด้วยความแค้นฝังใจ
“ลูกพี่จะตลบหลังนายเหรอ ผมขนลุกนะเนี่ย”
“คอยดูไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ตามล่าอีเวรสารเลวนั่นให้เจอก่อน”
“ครับลูกพี่!”
คอนโดของพีร์เจ
เทียน่านั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาด้วยอาการเหม่อลอย ภาพบางอย่างยังฉายเข้ามาในหัวแต่ทว่าทุกอย่างกลับเลือนลางจนเธอปะติดปะต่อเหตุการณ์ไม่ได้สักที และยิ่งเพิ่มความเครียดให้อีก บาดแผลที่ฝ่ามือเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอเหมือนตอนนี้
“ออกไปรับลมหน่อยดีกว่า” ว่าจบเทียน่าก็เดินออกมาที่ระเบียงห้องและยืนรับลมเย็น ๆ เธอมองราวระเบียงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งห้อยขา “ไม่กลัวความสูงเลยแฮะ” หญิงสาวแย้มมุมปากแล้วนั่งเล่นที่ระเบียงนานหลายนาที ยิ่งได้รับลมเย็น ๆ ที่พัดโกรกเข้าหน้ายิ่งทำให้ความเครียดที่สะสมมานานคลายลง เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย ประสาทสัมผัสปิดการรับรู้ทุกอย่าง พีร์เจที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องเดินไปที่โซฟาและวางกระเป๋าลง เขากวาดสายตามองหาร่างเล็กเพราะเห็นเพียงร่องรอยของเธอ แต่ในจังหวะที่หมุนตัวหมายจะเดินไปที่ห้องครัว กลับมีลมพัดม่านระเบียงทำให้เขาต้องหันมอง ภาพที่เห็นทำหัวใจเขากระตุกวูบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เธอ… ทำอะไร” พีร์เจเดินออกมาที่ระเบียง พยายามเอ่ยถามเทียน่าที่ยังนั่งเหม่อไม่รับรู้การมาของเขา เท้าแกร่งค่อย ๆ เคลื่อนไปด้านหน้าเพื่อจะประชิดตัวหญิงสาว ทุกการเคลื่อนไหวเขาพลันชะงักเมื่อเทียน่าหันมามองแล้วขยับปากพูดเสียงเบา
“พีร์~” สิ้นเสียงพร่าเธอก็หมดสติร่างเล็กก็ค่อย ๆ เอนไปด้านหลัง พีร์เจรีบเข้าไปโอบอุ้มเทียน่าลงมาจากระเบียง โอบกอดเธอเข้าหากายแกร่งทันที
“เพี้ยน!” เขาเขย่าร่างกายเทียน่าอยู่ครู่หนึ่งแล้วอุ้มเธอเข้ามาพักในห้อง ขณะเดียวกันโทรศัพท์ก็ร้องเสียงดัง พีร์เจเหลือบตามองเพียงนิดก่อนจะถอนหายใจออกยาว ๆ แล้วเลื่อนหน้าจอกดรับสายผู้เป็นแม่
“ครับ”
(มาตอนไหนลูก)
“อีกเดี๋ยวครับ ผมยุ่งนิดหน่อย”
(อืม งั้นแม่ทำของว่างเพิ่มอีกอย่างดีกว่า แล้วน้องพายโทร.หาลูกไหม)
“ไม่ครับ”
(อืม ๆ งั้นหม่าม้ารออยู่ที่บ้านนะคะ)
“ครับ” ชายหนุ่มกดวางสายผู้เป็นแม่แล้วก้มมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา “เฮ้อ… เอาไงต่อวะ” เขาคิดไม่ตก ถ้าหากปล่อยเธอไว้คนเดียวก็ไม่รู้จะทำอะไรอีกไหม เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ทำหัวใจเขากระตุกวูบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
