บทที่ 15 หมาตัดหน้า
Rrr…
หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย แหวนเพชรนั่งเล่นโทรศัพท์ ซานฟรานก็เอนตัวหลับ ส่วนฟรานซิสก็ขับรถเงียบ ๆ
“...อื้อ” ฉันกดรับสายด้วยเสียงที่พยายามจะกระซิบพลางเหลือบตาขึ้นมองกระจกส่องหลังซึ่งก็พบกับสายตาคมเข้มของคนขับกำลังมองมาอย่างจับผิด ฉันจึงเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหลบสายตานั้น
[เป็นยังไงบ้าง...] เสียงโลกันต์ถามจากปลายสายด้วยน้ำเสียงห่วงใย ฉันจึงเผลอยิ้มออกมา เขาก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ ไม่ว่าฉันจะไปไหน ทำอะไร เขาจะคอยถามไถ่แบบนี้เสมอ...
“ก็... ยังไม่ถึงไหนเลย เอ้อนี่... ฉันเจอลูกแมวด้วยนะ มันน่าสงสารมากเลย แม่ของมันถูกรถชนน่ะ ฉันก็เลยรับมันมาเลี้ยง”
[อือ... ใจดีจริง ๆ เลยนะแฟนฉัน แล้วจะเอาไปเลี้ยงที่ไหน? แม่เธอแพ้ขนสัตว์ใช่ไหม?]
“ก็ใช่...ฉันคิดว่าจะ...”
[เอามาที่ห้องฉันสิ เดี๋ยวเราช่วยกันเลี้ยงมันที่นี่]
“...” ฉันเหลือบตามองกระจกส่องหลังอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้สายตาคมเข้มนั่นมีแววดุดันมากขึ้น เขากดดันฉันทางสายตาอย่างเห็นได้ชัด “เดี๋ยวกลับไปค่อยคุยเรื่องนี้นะกันต์...”
[อืม ฉันคิดถึงเธอนะพลอย...]
“อื้อ... ฉันก็คิดถึงนาย...”
ปรี้นนนนนนนนนนนนนนนน!!!
เสียงแตรรถดังขึ้นพร้อมกับเสียงล้อรถบดถนน มันสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณป่ารกร้างรอบตัว พวกเราทุกคนต่างพากันหาที่ยึดเกาะเพื่อไม่ให้หน้าทิ่มไปตามแรงเบรกกะทันหัน และซานฟรานที่เหมือนจะตั้งสติได้หลังจากสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจรีบหันมาถามแฟนสุดที่รักของเขาทันที
“เป็นไรเปล่าวะเพชร?” แหวนเพชรส่ายหน้าช้า ๆ ทั้งที่สีหน้ายังตกใจไม่หาย ไอโฟนที่เคยถืออยู่ก่อนหน้าบัดนี้ร่วงหล่นลงไปอยู่ใต้เบาะเป็นที่เรียบร้อย "เกิดอะไรขึ้นวะเฮีย?”
ซานฟรานหันกลับมาถามพี่ชายตัวเองด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย เขาสอดสายตามองออกไปนอกตัวรถแต่กลับไม่พบอะไรผิดปกติ แถมคนถูกถามก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา มีเพียงแค่สายตาดุดันคล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“...ไม่มีอะไร”
“...”
“แค่หมามันตัดหน้า!”
เขาตอบแล้วจ้องตาฉันผ่านกระจกส่องหลังก่อนจะกระชากตัวรถออกไปด้วยความรุนแรง ฉันกัดริมฝีปากพลางกำโทรศัพท์ในมือแน่น โลกันต์เงียบไปคล้ายกับเขาพอจะเดาสถานการณ์ออก
[ไอ้เหี้ยฟรานซิส...] และเขาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันไม่แพ้คนขับเลยสักนิด
ให้ตายสิ! ทำไมฉันต้องมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งบ้า ๆ พวกนี้ด้วยนะ
“แค่นี้ก่อนนะกันต์...” ฉันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่ปกติดี
เหตุการณ์เมื่อครู่ยังทำฉันหัวใจสั่นไม่หาย ด้วยไม่คิดว่าฟรานซิสจะบ้าดีเดือดขนาดนี้ เขาเบรกรถกะทันหันทั้งที่ขับมาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่าร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง รถไม่หมุนเคว้งหรือตีลังกาก็บุญเท่าไหร่แล้ว นี่เขาคิดจะเอาชีวิตพวกเราสี่คนมาล้อเล่นหรือยังไง!
[ถ้าเธอวาง...]
“...”
[ฉันจะตามไปถึงภูเก็ตเลยแหวนพลอย...]
แม้น้ำเสียงของโลกันต์จะราบเรียบแต่มันก็แฝงไปด้วยความดุดัน และการที่เขาเรียกชื่อเต็มของฉันแบบนี้ มันเดาไม่ยากเลยว่าตอนนี้เขากำลังโกรธมากแค่ไหน
“โลกันต์...ขอร้องล่ะ”
[...] เขาเงียบไปจนฉันแอบหวั่น ไม่ชอบเลยเวลาโลกันต์เป็นแบบนี้ ถึงเขาจะมีนิสัยเงียบ ๆ ไม่ชอบพูดมาก แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันบอกฉันว่าเขามีอะไรในใจแน่ ๆ
“ไว้ถึงแล้วฉันจะโทรไปหานะ”
แล้วฉันก็เป็นฝ่ายกดวางสายไป แหวนเพชรก้มลงไปเก็บไอโฟนขึ้นมาเช็กสภาพก่อนจะหันมองฉันด้วยสีหน้าเห็นใจ ฉันไม่กล้ามองไปข้างหน้าอีกเลย ไม่รู้ว่าฟรานซิสกำลังมองฉันอยู่หรือเปล่า...
ตอนนี้รู้แค่ว่า... ฉันอยากจะให้ทริปฮันนีมูนบ้า ๆ นี่จบลงสักที!!
.
.
.
“อืมม..” ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวนิดหน่อย จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนด้วยซ้ำ ฉันดันตัวขึ้นนั่งพลางยกมือขึ้นเสยผมไปด้านหลังก่อนจะพบว่าคนที่ให้ฉันนอนหนุนตักกลับไม่ใช่แหวนเพชร “นาย...”
“...”
เจ้าของดวงตาคมเข้มเหลือบมองฉันแวบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ฉันจึงหันกลับมามองภายในรถก็พบว่าซานฟรานเปลี่ยนไปขับรถแทนเขาแล้ว ส่วนแหวนเพชรก็สลับไปนั่งด้านข้างคนขับแทนตำแหน่งแฟนสุดที่รักของตัวเอง โดยให้ฟรานซิสมานั่งด้านหลังกับฉัน
“ตื่นแล้วเหรอพี่พลอย หลับสบายดีไหม?” ยังมีหน้ามาถามด้วยหน้าตาระรื่นอีกเหรอหะยัยน้องบ้า!
“...” ฉันมองแหวนเพชรด้วยสายตาดุก่อนจะขยับตัวออกห่างจากคนข้างกายจนชิดติดกับประตู
“อีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงแล้วล่ะ! ห๊า~ร่างกายต้องการทะเล”
“ตื่นเต้นเกินไปแล้วยัยตัวแสบ” ซานฟรานใช้มือข้างที่จับเกียร์รถยกขึ้นมายีหัวแหวนเพชรด้วยรอยยิ้มขบขำ แล้วสองคนนั้นก็แหย่กันไปมาราวกับว่าโลกนี้มีกันแค่สองคน
เหอะ! สรุปแล้วนี่มาฮันนีมูนของฉันหรือของคู่นั้นกันแน่เนี่ย รู้สึกจะมีความสุขกันลืมโลกเลยนะ!
“อิจฉาไง?”
ฉันตวัดสายตามองคนข้างกายที่พูดขึ้นลอย ๆ เขาไม่ได้หันมามองกัน แต่ก็ไม่วายกระตุกยิ้มกวนประสาทให้เห็น
“ไม่จำเป็น! ปกติฉันกับกันต์สวีตกันยิ่งกว่านี้อีก!”
และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดจาแบบนั้นออกไป แต่พอเห็นสายตาคมที่หันกลับมาจ้องกันอย่างดุเดือดก็คิดได้ทันทีว่าปากฉันกำลังจะพาให้ตัวเองซวย!
“หึ! เธอนี่มันเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันวะ! อยู่กับผัวแต่เสือกพูดถึงชู้!”
“อย่ามากล่าวหาฉันนะ! นายไม่ใช่ผัวฉัน! และที่สำคัญโลกันต์ไม่ใช่ชู้! แต่เขาเป็นแฟนของฉัน!!”
“ต้องให้บอกกี่ครั้งวะว่าเธอไม่ใช่แฟนมันตั้งแต่เธอเสนอหน้าเดินเข้าพิธีแต่งงานกับฉันแล้ว! และจำใส่สมองเอาไว้ด้วย! ขึ้นชื่อว่าเมียฉัน...อย่าริอ่านทำตัวส่ำส่อน!”
“มากไปแล้วนะฟรานซิส!” ฉันหันตัวไปหาเขาตรง ๆ รู้สึกหน้าชากับคำพูดทุเรศ ๆ ของเขามาก! ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนปากร้าย นิสัยเสีย แต่ไม่คิดว่าจะงัดมันออกมาใช้บ่อยจนน่ารังเกียจขนาดนี้!
