บทที่ 1 หล่อจัง (บทนำ)
บรรยากาศยามเช้าที่แสนสดใส อากาศเย็นลงเล็กน้อย มีแสงแดดอ่อนพอให้ต้นไม้ใบหญ้ากระชุ่มกระชวย หญิงสาวร่างเล็กนั่งมองบ้านฝั่งตรงข้ามผ่านหน้าต่างห้องนอน มือทั้งสองข้างเท้าคาง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปหล่อเปิดประตูเดินออกมาจากบ้าน คนตัวเล็กก็รีบคว้ากระเป๋า วิ่งลงจากบันไดด้วยความไว
“แม่คะ..เกลไปเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” เกวลินไม่รอให้ผู้เป็นแม่เอ่ยปาก เธอก็หายตัวไปเสียแล้ว
เกวลินเป็นนักศึกษาปีสาม คณะนิเทศศาสตร์ อายุ 22 ปี เธอตัวเล็ก หน้าตาสวยหวาน แววตาสดใสเป็นประกายอยู่เสมอ
“เด็กคนนี้ ข้าวเช้าไม่กินแล้วหรือไง นึกจะไปก็ไป” ผู้เป็นแม่ส่ายหัวบ่นอย่างเหนื่อยใจ
เกวลินวิ่งหน้าตั้งมาที่ประตูรั้ว ชะงักเท้าปรับลมหายใจ จัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผม รอจนสิงห์ใกล้ออกมา ก็เปิดประตูเดินออกจากบ้านไปทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่จริงแล้วเธอเดินช้ากว่าปกติเหมือนต้องการจะรอใครบ้างคน
“ทำไมพี่สิงห์ยังไม่ออกมาอีก เมื่อกี้เขาเดินมาที่รถแล้วนิ่”
หญิงสาวมองกลับไปที่ประตูบ้านฝั่งตรงข้าม คิ้วขมวดด้วยความสงสัย ไม่นานรถยนต์ก็ขับออกมาจากบ้านหลังนั้น คนตัวเล็กรีบหันหน้ากลับ แสร้งเดินไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกครั้ง
เสียงแตรรถดังขึ้น เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้คนที่เพิ่งลดกระจกชะโงกหน้าออกมา
“คุณแม่ถามหาน่ะ ว่างก็เข้าไปหาสิ เห็นว่าซื้อของมาฝาก” พูดจบไม่รอให้เธอได้เอ่ยตอบ เขาปิดกระจกขับรถออกไปทันที
สิงห์หนุ่มหล่อคิ้วหนามาดเข้ม อายุ 27 ปี เรียนจบมาหลายปีแล้ว กำลังเปิดบริษัทด้านไอทีกับเพื่อนสนิท
คนตัวเล็กอ้าปากค้างกลางอากาศ เธอคิดว่าเขาจะชวนเธอขึ้นรถเสียอีก
“ไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ คนอุตส่าห์รอตั้งนาน เฮ้อ...” เธอบ่นพึมพำก่อนจะเดินคอตกออกไปรอขึ้นรถเพื่อไปมหาวิทยาลัย
ณ มหาวิทยาลัย B
เกวลินเดินหน้ามุ่ยมานั่งลงข้างเพื่อนสนิท ไม่พูดไม่จา
“เป็นอะไรยัยเกล ทำหน้าเข้าไปกินรังแตนที่ไหนมา พ่อกับแม่เธอทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”
“เปล่า”
จีน่าขมวดคิ้วสงสัย หันไปหาเกวลินแววตาเอาคำตอบ
“มองอะไรเล่า”
เกวลินตวัดสายตาดุใส่เพื่อน เธอหงุดหงิด และไม่อยากพูดถึง
“อ้อ...ฉันรู้แล้วที่มาช้าเนี่ย เพราะรอพี่ชายข้างบ้านอยู่ใช่ไหม”
คนตัวเล็กส่งสายตาค้อนใส่เพื่อนสนิทอีกครั้ง “รู้มาก ไม่คุยด้วยแล้ว จะขึ้นเรียน” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปไม่รอเพื่อนสนิทของเธอเลยสักนิด
จีน่ารีบลุกขึ้นหยิบกระเป๋าวิ่งตามไปติดๆ
“ใช่แน่...ทำไมจ๊ะ เขาไม่ให้ขึ้นรถอีกแล้วเหรอ เขารู้ยังว่าแกแอบปลื้มเขาอยู่” จีน่าหัวเราะ ให้กับท่าทางของเกล ก่อนจะกอดคอเพื่อนเดินขึ้นห้องไปพร้อมกัน
เลิกเรียนแล้ว...เกวลินรีบกลับบ้านเพราะเมื่อเช้าพี่สิงห์บอกเธอว่าแม่ของเขาอยากเจอ เธอแวะซื้อขนมร้านประจำติดมือมาฝาก กลับมาถึงก็ไม่ได้เข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เธอเดินเปิดประตูรั้วบ้านของพี่สิงห์เข้าไปดื้อๆ ด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“คุณน้าสวัสดีค่ะ”
“เอ้า...ยัยหนูเกลไม่เจอหน้าเจอตาเลยนะ มานี่เร็ว... น้าไปต่างประเทศเพิ่งกลับมาเมื่อวาน ซื้อน้ำหอมมาฝาก ได้กลิ่นแล้วคิดถึงหนูทันทีเลย มาๆ ดูซิว่าชอบไหม”
“หนูซื้อขนมร้านที่คุณน้าชอบมาฝากด้วยค่ะ” คนตัวเล็กวางถุงขนมลงที่โต๊ะรับแขก ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แม่ของสิงห์ เธอรับกล่องน้ำหอมมาเปิดดู เป็นน้ำหอมแบรนด์เนมกลิ่นหอมหวาน ซึ่งเหมาะกับเธออย่างที่แม่ของสิงห์พูดจริงๆ นั่นแหละ
“กลิ่นหอมจัง แพงมากแน่เลยค่ะขอบคุณนะคะ คุณน้านึกถึงเกลตลอดเลย”
แม่ของสิงห์ส่งยิ้มเอ็นดู ยกมือลูบผมของคนตัวเล็ก “น้าไม่มีบุญได้มีลูกสาว แต่ก็มียัยหนูเกลของน้านี่แหละที่เป็นเหมือนลูกสาวให้น้า ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ น้าเต็มใจซื้อให้”
“ถึงคุณน้าจะพูดแบบนั้น เกลก็อดเกรงใจไม่ได้อยู่ดี” คนตัวเล็กทำหน้าอ้อน
“ดูทำหน้าเข้าเด็กคนนี้ ไหนๆ ก็มาแล้ววันนี้น้าจะสั่งอาหารจีน ตาสิงห์บ่นว่าอยากกิน อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”
เกวลินหัวใจฟูขึ้นมาเมื่อรู้ว่าเดี๋ยวพี่สิงห์ของเธอจะกลับมาทานข้าวที่บ้าน แต่ก็ต้องเก็บอาการดีใจไว้
“จะดีเหรอคะคุณน้า เกรงใจค่ะ”
“เกรงใจอะไรกัน กลับไปบ้านก็เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ สู้อยู่บ้านน้าดีกว่า จริงไหม?”
เกวลินหันไปมองที่บ้าน ตอนกลับมาไม่ได้สังเกตว่ารถพ่อของเธอจอดอยู่ เป็นอย่างที่แม่ของสิงห์พูด เธอกลับไปก็ต้องไปเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน สู้อยู่ที่นี่ดีกว่า ยังไงพวกเขาทะเลาะกันเธอก็ต้องโดนไล่ออกมาอยู่ดี พอคิดเรื่องพ่อกับแม่ใบหน้าของคนตัวเล็กก็ไม่มีรอยยิ้มหลงเหลืออยู่แล้ว
“งั้นเกลต้องขอฝากท้องด้วยแล้วค่ะ คงกลับไปไม่ได้จริงๆ”
แม่ของสิงห์ยื่นมือมาจับแขนของเธอกระชับเชิงให้กำลังใจ
“คนเก่งของน้า ไม่ต้องคิดมากนะ หนูมีหน้าที่ของตัวเองก็ทำหน้าที่ให้ดี พวกเขาจะเป็นยังไง ก็อย่าเอาเก็บมาคิดจนทำร้ายตัวเองนะลูก”
“ขอบคุณค่ะคุณน้า มีคุณน้าที่เข้าใจเกลเสมอ คอยให้เกลได้มาหลบภัย แถมยังมีอาหารอร่อยๆ ให้เกลทานตลอดเลย”
ไม่นานรถยนต์ของสิงห์ก็เขามาจอดที่โรงจอดรถ เขาก้าวเท้าเดินเข้าบ้านมาก็เห็นแม่กับยัยเด็กข้างบ้านที่เจอเมื่อเช้านั่งคุยกันอยู่
“ผมกลับมาแล้วครับ”
“ขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะลูกอาหารใกล้จะมาส่งแล้ว วันนี้ยัยหนูเกลมาทานข้าวที่บ้านเราด้วยนะ”
“ครับ” สิงห์ตอบสั้นๆ ใบหน้าเรียบนิ่งเดินขึ้นห้องไป เขาไม่ได้มองมาที่เกวลินแม้แต่น้อย แต่เธอกลับมองเขาตาเป็นประกายส่งยิ้มกว้างรอ
เมื่อรู้ว่าโดนเมินคนตัวเล็กก็ค่อยๆ หุบยิ้มลงก้มหน้าน้อยใจ
อาหารมาส่งเกวลินกับแม่ของสิงห์ก็ช่วยกันจัดจานขึ้นโต๊ะ สิงห์ใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานนักก็เดินลงมา ทุกครั้งที่เกวลินมาทานข้าวบ้านของสิงห์เธอจะนั่งฝั่งตรงข้ามกับพี่สิงห์ของเธอเสมอ มันดีสำหรับคนที่แอบชอบเขาแบบเธอมาก เพราะจะได้มองเขาสะดวกและไม่ดูน่าเกลียดจนเกินงาม
“หนูเกลกินเยอะๆ นะลูก ผอมเกินไปแล้ว” แม่ของสิงห์ตักอาหารใส่จานให้เกวลินเหมือนทุกครั้ง
“เกลว่าช่วงนี้เกลอ้วนขึ้นนะคะ ถ้าคุณน้าว่าเกลผอมไปงั้นเกลต้องกินเยอะๆ แล้วค่ะ”
สิงห์ไม่ได้พูดอะไร นิสัยเขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เขาเป็นคนพูดน้อยดูเป็นผู้ใหญ่ อาจเพราะเขาไม่รู้จะต้องคุยอะไรมากกว่า เพราะบ้านของสิงห์มีแค่แม่ และเขาเป็นลูกชายเลยไม่มีเรื่องต้องคุยอะไรมากนัก
“แกก็กินเยอะๆ ช่วงนี้เพิ่งเริ่มธุรกิจตัวเอง แม่รู้ว่าแกเหนื่อย”
สิงห์เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มน้อยๆ ให้ผู้เป็นแม่ “ขอบคุณครับ”
เกวลินแอบมองสิงห์อยู่ตลอด ‘คนอะไรตอนกินข้าวยังดูดีขนาดนี้’ เธออมยิ้มคิดอยู่ในใจ
สิงห์เหมือนจะเริ่มรู้ตัวว่าถูกสายตาของคนที่นั่งตรงข้ามมอง เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวเล็กเข้าพอดี ชายหนุ่มขมวดคิ้ว มองไปที่เกวลินส่งสายตาเชิงถามว่ามองอะไร
เกวลินรีบหลบสายตาก้มหน้ากินอาหาร ไม่กล้ามองเขาอีก
“สิงห์...เดี๋ยวถ้าน้องจะกลับบ้าน แกเดินไปส่งน้องด้วยนะ แม่ขึ้นไปอาบน้ำก่อน รู้สึกมึนหัว” ผู้เป็นแม่สั่งลูกชายก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบน
เกวลินนั่งทำงานที่อาจารย์สั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก ตอนนี้เธอยังกลับไม่ได้เพราะบ้านเธอกำลังเกิดสงคราม
สิงห์ได้ยินที่แม่สั่งก็ปลายสายตามองไปที่เกวลิน เธอกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนงานอยู่ สีหน้าดูเหมือนจะไม่เข้าใจโจทย์ที่อาจารย์ให้มา คนตัวเล็กเผลอใช้ปากกาเคาะหัวตัวเองซ้ำๆ ท่าทางใช้ความคิด
“ทำการบ้านเหรอ?” สิงห์เอ่ยถามน้ำเสียงเรียบ
เกวลินเงยหน้ายิ้มกว้างมองไปที่ต้นเสียง “ค่ะ”
“ไม่เข้าใจโจทย์?”
หญิงสาวพยักหน้าถี่ๆ “ค่ะ พี่สิงห์ช่วยเกลหน่อยได้ไหม ข้อนี้เกลไม่เข้าใจจริงๆ มันยากมาก”
สิงห์เดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาเปิดขวดกระดกดื่ม ก่อนจะเดินไปใกล้คนตัวเล็กชะโงกอ่านโจทย์ที่เธอทำไม่ได้
“นี่ยากแล้วเหรอ?”
เกวลินเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ
“ใครจะไปฉลาดเหมือนพี่สิงห์ล่ะ” เธอพึมพำเสียงเบา แต่พอจะให้เขาได้ยิน
สิงห์ยืนพูดอธิบายเรื่องที่เธอไม่เข้าใจให้ฟัง ยกตัวอย่างให้เธอเข้าใจได้ง่ายขึ้น คนตัวเล็กรีบจดคำพูดของเขา กลัวตัวเองจะลืม สิงห์อธิบายจนเธอเห็นภาพและจากที่ไม่เข้าใจก็เข้าใจได้ชัดเจน มันก็ไม่ได้ยากเหมือนที่เขาบอกนั่นแหละ แค่ชั่วโมงเรียนในคลาสเธอนั่งหลับ เลยไม่รู้เรื่องที่อาจารย์สอน
“แบบนี้นี่เอง เกลเข้าใจแล้วขอบคุณนะคะ พี่สิงห์เก่งจัง”
คนตัวเล็กส่งยิ้มตาหยี๋ให้สิงห์ ทว่าเขายังคงหน้านิ่งเดินกลับไปนั่งดูงานในแล็ปท็อปต่อ
“จะกลับก็บอก จะเดินไปส่ง”
เกวลินชะโงกหน้ามองไปที่บ้านของตัวเอง เห็นรถของพ่อยังอยู่ เพราะฉะนั้นเธอก็ยังไม่สามารถกลับบ้านได้ กลับไปถ้าเขาสองคนยังคงทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่เธอจะโดนแม่ไล่ออกมาอยู่ดี
“เหมือนจะยังกลับไม่ได้ค่ะ” คนตัวเล็กตอบน้ำเสียงอ่อนเธอเกรงใจบ้านของสิงห์ทุกครั้ง แต่ไม่มีที่ไป แล้วก็รู้ว่าช่วงนี้เขาเหนื่อย
“ถ้าพี่สิงห์อยากพักขึ้นไปพักผ่อนได้เลยนะคะ เดี๋ยวเกลกลับเองได้กุญแจอยู่ที่เดิมใช่ไหมคะ?”
สิงห์ไม่ได้มองมาที่เธอสายตาเขายังคงจดจ่ออยู่ที่หน้าจอแล็ปท็อป
“ยังเคลียร์งานไม่เสร็จ จะกลับก็บอกละกัน”
“ค่ะ”
คนตัวเล็กทำงานที่อาจารย์สั่งเสร็จแล้วตอนนี้เธอนั่งวาดรูปในไอแพดเล่นรอเวลา หันไปมองพี่สิงห์ของเธอเป็นระยะ รูปที่วาดในไอแพดก็เป็นเขานั่นแหละ เธอแอบมองชายหนุ่มคิ้วเข้ม จมูกโด่ง ที่กำลังสีหน้าจริงจังจดจ่อกับงานอยู่ เขาในท่าทางแบบนี้ยิ่งมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีก และเธอก็ชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ
‘หล่อจัง’ เกวลินเผลอพึมพำเสียงเบา แต่สิงห์กำลังจดจ่อกับงานจึงไม่ได้สนใจคำพูดของเธอ
นั่งไปสักพักพอเห็นไฟรถฝั่งบ้านเธอขับออกไปแล้ว คนตัวเล็กรีบเก็บของใส่กระเป๋าเพราะมันดึกมากแล้ว
“เขาไปแล้วค่ะ งั้นเกลขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
สิงห์ลุกขึ้นจะเดินไปส่งตามที่ผู้เป็นแม่สั่งไว้
“พี่สิงห์ไม่ต้องเดินมาส่งเกลหรอกค่ะ บ้านอยู่แค่นี้เอง วันนี้ขอบคุณมากนะคะ รบกวนบ้านพี่อีกแล้ว”
“กลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว” เขาไม่ได้ฟังคำเธอ เดินนำไปส่งอยู่ดี
คนตัวเล็กกอดกระเป๋าเดินตามหลังชายหนุ่มร่างสูงไปท่าทางเหมือนเด็กสาวตัวน้อย
สิงห์ชะงักเท้าหันมามองคนตัวเล็กที่เดินดุ่มๆ ตามหลัง เธอไม่ทันระวังไม่รู้ว่าเขาหยุดเดิน ศีรษะจึงชนแผ่นหลังของสิงห์เข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!!” เกวลินถอยหลังสองก้าว เงยหน้าขึ้นมามองคนตัวสูง
“ทำไมไม่ใส่รองเท้า?” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเย็น
เกวลินมองไปที่รองเท้าผ้าใบที่เธอถืออยู่ “บ้านอยู่แค่นี้เองค่ะ อีกอย่างเกลก็ใส่ถุงเท้า เดินได้ค่ะ”
สิงห์ยังคงทำหน้าขรึม ขมวดคิ้วมองไม่ยอมเดินต่อ
เกวลินมองซ้าย มองขวา ตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่กลางถนนในหมู่บ้าน “โอเค...เกลใส่แล้วค่ะรอแป๊บ” เธอยอมแต่โดยดี รีบวางรองเท้าที่มือลง ก้มใส่จนเรียบร้อย
เงยขึ้นมาคนตัวสูงก็เดินนำเธอไปแล้ว
“แค่นี้ต้องดุด้วย” เธอบ่นพึมพำตั้งใจให้เขาได้ยิน ก้าวเท้าตามเขาไปติดๆ ทว่าใบหน้ายังคงประดับยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ งั้นเกลขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ”
“อืม”
สิงห์ส่งเสียงอืมในลำคอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ก่อนจะหันหลังเดินกลับบ้าน
“พี่สิงห์เป็นห่วงเราด้วย คนอะไรน่ารักจัง” เกวลินยืนเกาะรั้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมเข้าบ้าน
พอเห็นเขาปิดประตูรั้วเธอก็เดินเข้าไปในบ้าน สิ่งที่เธอต้องเจอคือแม่ของเธอนั่งปิดหน้าร้องไห้อยู่ที่โซฟา เกวลินวางกระเป๋าลงเดินไปนั่งข้างๆ ผู้เป็นแม่ ยกแขนโอบผู้เป็นแม่เข้ามากอด
“เขามาพูดอะไรอีกคะ เขาทำร้ายแม่หรือเปล่า?” เกวลินถามแม่เสียงสั่น
ผู้เป็นแม่ส่ายหัวตอบ ยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ “เรื่องของผู้ใหญ่แกไม่ต้องสนใจหรอก มีหน้าที่อะไรก็ทำไป เรียนให้จบ ขึ้นไปพักซะ แม่จะนอนแล้ว”
“ค่ะ”
คนตัวเล็กเดินขึ้นห้องสีหน้าไม่ดีนัก ถึงเธอจะชินกับเหตุการณ์แบบนี้ของพ่อกับแม่ แต่เธอก็ยังคงเสียใจอยู่ดีที่ครอบครัวเธอไม่อบอุ่นเหมือนครอบครัวคนอื่น…










































































