บทที่ 6 หลงมนต์ พ่อหมอ
บทที่ 6
สองร่างนอนกอดก่ายจวบจนฟ้าสาง บุญสิงห์ตื่นก่อน เขาตื่นเช้าตรู่เหมือนเช่นเคย มองดูร่างเล็กของลิลลี่ที่ยังคงหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของเข้า
“พ่อหมอ” เสียงลูกศิษย์ของเขาเอ่ยเรียกบุญสิงห์อยู่หน้าห้อง
“เออ…ข้าได้ยินแล้ว” เขาตอบรับก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วลุกออกไปทำกิจวัตรส่วนตัวจนเรียบร้อย และออกมานั่งที่โถงกลางบ้าน
ก็พบเจอกับชาวบ้านหลายคนที่มาจากอีกหมู่บ้านใกล้ ๆ นี้มาของให้เขาช่วยเหมือนเช่นเคยอยู่ก่อนแล้ว
แต่วันนี้เขากะว่าจะปิดตำหนัก จัดการคุยกับยายแจ๋วและน้าสมศรีแม่ของลิลลี่สักหน่อย เขาไม่อยากให้ลิลลี่จากไป
แต่เมื่อมีคนมาขอความช่วยเหลือตรงหน้า บุญสิงห์จึงไม่อาจจะปฏิเสธได้
“ผัวฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้จ๊ะพ่อหมอ กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอนค่อยแต่จะเดินออกนอกบ้าน มันบอกว่ามีคนมาเรียก แต่ฉันก็ไม่เห็นมีใครเลย”
บุญสิงห์มองตรงไปยังร่างชายอีกคน ที่นั่งอยู่ด้านหลังหญิงที่กำลังพูดอยู่ ใบหน้าซูบซีด ร่างกายผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก
“มันไปทอดแหตกปลาให้ที่ที่เขาหวง เจ้าของเขาไม่ยอมเลยจะเอาชีวิตผัวเอ็งไป” พ่อหมอหนุ่มเอ่ยบอก สร้างเสียงฮือฮาให้คนที่นั่งอยู่ ขนลุกขนชันกันไปหมด
“ทำยังไงดีล่ะพ่อหมอ ฉันยังไม่อยากให้ผัวฉันตาย”
“ยังพอมีวิธี” บุญสิงห์เอ่ยบอก ทุกคนต่างดีอกดีใจรีบก้มกราบอย่างนอบน้อม
“พามันเข้ามาใกล้ ๆ” เขาเอ่ยสั่ง แล้วมองตรงไปยังทางที่จะไปห้องนอนถ้าเริ่มทำพิธีนี้ก็จะหยุดไม่ได้ และต้องใช้เวลานานจนถึงเย็น และเขาจะไม่มีเวลาได้คุยกับลิลลี่เลย แต่ยังไงก็ต้องช่วยคนก่อน ในที่สุดบุญสิงห์ก็เริ่มทำพิธี
ร่างบอบบางบิดกายน้อย ๆ ไปด้วยความเมื่อยขบ เปลือกตาสวยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปรอบ ๆ ไร้เงาคนตัวใหญ่ที่นอนกอดเธอทั้งคืน เธอจึงลุกขึ้นจากที่นอนจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จสรรพ และเดินออกมาจากห้อง
ลิลลี่เดินผ่านห้องโถงที่ทำพิธีวันนี้มีผู้คนเยอะมากกว่าวันอื่น เธอเห็นบุญสิงห์กำลังขะมักเขม้นทำพิธีอะไรสักอย่าง จึงได้ยืนมองอยู่สักพัก แล้วฉุกคิดขึ้นได้ว่าแม่และยายต้องมารับเธอกลับบ้านวันนี้จึงได้เดินออกมานั่งอยู่หน้าบ้าน
ระหว่างที่ทำพิธีบุญสิงห์รู้สึกเหมือนลิลลี่จะมองเขาอยู่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมากวาดสายตามองหากลับไม่เห็นเธอแม้แต่เงา เขารู้สึกผิดหวังและหน่วง ๆ ที่หัวใจ แต่ก็ต้องรีบสลัดความคิด และตั้งจิตให้แน่วแน่ เพราะระหว่างทำพิธีจะพลาดไม่ได้
“แม่ ยาย” ลิลลี่ยิ้มแย้มที่แม่กับยายมา ทั้งสามกอดกันอย่างกลมเกลียว
“หน้าตาสดใสแบบนี้ พ่อหมอทำสำเร็จแล้วใช่ไหมลูก”
“.......” ลิลลี่ได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร ถ้าเธอตอบว่าบุญสิงห์ไล่วิญญาณที่แฝงร่างเธอออกไปแล้วจริง เธอคงต้องกลับบ้านไปแน่ ๆ
“ลิลลี่ก็ไม่รู้ค่ะ รู้แต่ว่าเมื่อคืนหลับสบายมาก ๆ เลย”
“โถ ๆ ดูสิหลายยายหน้าตาสดใส ขอบตาหายดำกลับมาสวยเหมือนดิมแล้วเนี้ย พ่อสิงห์นี้ช่างเก่งจริงจริ๊ง”
“จริงเหรอคะ ก่อนหน้านั้นลิลลี่ขอบตาดำน่าเกลียดมากเลยหรือคะ” ทั้งสามคนจึงนั่งคุยกันสักพัก ลิลลี่รู้สึกว่าหิวข้าวจึงได้ชวนแม่และยายไปตลาดหาอะไรกินกัน และจะได้ซื้อของมาเตรียมทำกับข้าวให้บุญสิงห์ด้วย
กว่าจะเสร็จพิธีก็ปาเข้าไปบ่ายสี่โมงกว่า
“จากนี้ให้พามันไปโรงพยาบาลให้น้ำเกลือ ร่างกายผัวเอ็งอ่อนแรงมากคงจะกินอะไรไม่ได้มาหลายวัน และนี้พกติดตัวไว้ พออาการดีขึ้นรีบพากันเอาหัวหมู ไก่ต้ม ผลไม้ หมากพลู และเหล้าขาวไปขอขมาเขาซะ”
“จ้ะ ๆ พ่อหมอขอบคุณมาก ๆ จ้ะพ่อ” ทั้งหมดต่างพากันก็กราบแล้วก็พากันกลับไป
บุญสิงห์ยืนขึ้นอย่างเร่งรีบ เขาเดินตรงไปยังห้องนอนเพื่อตามหาหญิงสาวแต่ไม่เจอ จึงได้ถามหาลิลลี่กับลูกศิษย์
“เห็นยายแจ๋วกับน้าสมศรีพาลิลลี่ออกไปแล้วพ่อหมอ"
“ออกไปแล้ว” เขาทวนคำเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ลูกศิษย์บอกแบบนี้ทำเอาพ่อหนุ่มร่างใหญ่กำยำเข่าอ่อน ถอยหลังลงไปนั่งที่แคร่ อย่างหมดอาลัยตายอยาก
นี่เธอจากไปโดยที่ไม่ร่ำลากันสักคำ เขาจะไม่ได้เจอลิลลี่อีกแล้วใช่ไหม หรือจะทำของใส่เรียกลิลลี่กลับมาดี ก็ไม่ได้เขาเป็นหมอธรรมสายขาว ไม่ทำของใส่ใครมันจะผิดครู
ในหัวของบุญสิงห์ตอนนี้ตีกันวุ่นไปหมด เขาเอ่ยปากให้พวกลูกศิษย์กลับบ้านกันไปก่อน แล้วตัวเองมานั่งเศร้าคิดถึงลิลลี่อยู่คนเดียว
“พี่สิงห์” เสียงหวานของลิลลี่ลอยมากับสายลม
บุญสิงห์กระตุกยิ้มมุมปาก นี้เขาคิดถึงเธอจนหูแว่วเลยงั้นเหรอ
“พี่สิงห์”
จู่ ๆ ลิลลี่ก็ปรากฏกายต่อหน้าเขา
“ลิลลี่”
“ใช่ลิลลี่เอง ทำไมมานั่งเหม่อตรงนี้ค่ะ ไปกินข้าวกันแม่กับยายซื้อของมาเต็มเลย” เธอเอ่ยบอกเขาแล้วชี้ไปทางนั้น
“เธอแค่ไปซื้อของเหรอ”
“ใช่ค่ะ ปะ..ไปเร็ว”
ทั้งสองจึงมานั่งร่วมโต๊ะกับยายแจ๋วและสมศรีที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดกินกันได้สักพักสมศรีจึงเริ่มปริปากพูด
“พ่อหมอผีออกจากร่างลิลลี่ไปแล้วใช่ไหม ไม่งั้นน้าจะได้พาลูกกลับบ้านเสียที ออกมาหลายวันแล้วไม่มีคนดูแลงานที่ร้าน”
ได้ฟังดังนั้นหัวใจของบุญสิงห์กระตุกไหววูบ เขาจะโกหกก็ไม่ได้มันผิดศีล
“คือว่า…”
“ฮิ ฮิ ฮิ” จู่ ๆ ลิลลี่ก็ก้มหน้าแล้วหัวเราะเสียงหลอน ๆ ขึ้นมาอีก ทำเอายายแจ๋วกับแม่ของเธอตกใจจนตาเหลือก คราวนี้บุญสิงห์ก็เช่นกัน เขาเองก็ตกใจมองร่างเล็กที่ก้มหน้านั่งอยู่ใกล้ ๆ อย่างแปลกใจ เพราะในร่างของเธอไม่มีวิญญาณผีที่ไหนแล้ว
“พะ..พ่อสิงห์ ทำไมหลานยายยังเป็นแบบนี้อยู่”
“ฮืออืออออ ๆ” หญิงสาวลากเสียงยาว ร่างกายและหัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า ยายแจ๋วกับสมศรีรีบลุกถอยกันไปอีกมุม
แล้วร่างบางของลิลลี่ก็ฟุบหน้าลงที่โต๊ะ
“ลิลลี่ ลิลลี่ลูกแม่” สมศรีกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเข้าหาลูกของเธอได้แต่เรียกอยู่ห่าง ๆ
“ลิลลี่เป็นอะไรไปหรือคะ” หญิงสาวค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามราวกับไม่รู้ตัวถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
“ลิลลี่ลูกแม่ ผีตัวนั้น..ผีตัวนั้น” สมศรีกลัวจนลนลาน
“ผียังอยู่อีกหรือคะ หรือว่าที่ลิลลี่อายุครบยี่สิบห้า เลยดวงตกวิญญาณร้ายจึงอาศัยโอกาสนี้สิงร่างลิลลี่ใช่ไหมพี่สิงห์” เธอหันไปถามพ่อหมอหนุ่ม แต่เขากับทำคิ้วขมวดมองเธออย่างสงสัย
หญิงสาวจึงรีบลุกไปหายายและแม่
“แม่หนูคงต้องอยู่ที่นี้ไปก่อน อาศัยบารมีพ่อหมอ พวกวิญญาณร้ายจะได้ไม่กล้าทำอะไร”
“จะดีหรือลูกแม่เป็นห่วง จะรบกวนพ่อหมอหรือเปล่า”
“ยายก็อยู่หมู่บ้านนี้ค่ะ พ่อหมอก็เป็นคนดีคอยช่วยเหลือลิลลี่ตลอด”
“แม่ก็อยู่นี้ ศรีเอ่ยไม่ต้องห่วงลูกหรอก แม่เทียวไปเทียวมาได้บ้านพ่อหมอเนี้ย”
“แต่….”
“ฮิ ฮิ ฮิ” ลิลลี่ก้มหน้าลงอีกครั้ง แม่กับยายก็ถอยหนีจากมุมนี้ไปทางพ่อหมอทันที
“พะ..พ่อหมองั้นฉันก็ฝากลิลลี่มันด้วยนะ”
สมศรีกล่าวอย่างลนลาน
“ได้น้าศรีไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลลิลลี่ให้เอง”
“จ้ะ ๆ ขอบใจนะพ่อหมอ” กล่าวจับทั้งสองก็รีบออกจากบ้านพ่อหมอไปทันที
บุญสิงห์ลุกขึ้นเดินมาทางหญิงสาวที่ยืนก้มหน้าอยู่
“ลิลลี่” เขาเอ่ยเรียกเธอเบาแล้วจับแขนเธอจูงเดิน
เข้าบ้าน
“เดี๋ยว ๆ จะพาลิลลี่ไปไหน”
“ไปทำพิธีไล่ผีแบบเมื่อคืนนี้ไง”
“ไล่ผี..เมื่อคืนนี้” ร่างสวยนึกไปถึงปลัดขิกท่อนใหญ่……

























