บทที่ 1 ครั้งแรกที่เจอ

เคยไหมครับ หลังจากผ่านเรื่องราวร้ายๆ มา ทำให้เราอยากนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ไม่อยากขยับไปทางไหน

เคยไหมครับ เอาแต่คิดซ้ำๆ ว่าทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมผมถึงทำอะไรไม่ได้เลย

ครับ ตอนนี้ผมเป็นแบบนั้นอยู่ เรื่องอะไรน่ะหรอครับ คงต้องย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่ผมเจอ เขา เป็นครั้งแรก...

“นาย ทำไรอะ” เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง อายุราวๆ 10 ขวบ ดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลอ่อน จมูกรั้นนิดๆ ริมฝีปากบางสีชมพูเล็กๆ นั้น ช่างดูน่ารักน่าชัง แต่ไม่ใช่สำหรับผมในตอนนี้

“ออกไป!!! อย่ามายุ่ง!!!” ผมตะโกนใส่หน้าของเด็กคนนั้น แต่เด็กนั่นไม่ได้รู้สึกเลยสักนิด ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวอยู่ในสายตานั้นเลย แต่กลับฉายแววของความสงสัยและเป็นกังวล

“เป็นไรอะ อารมณ์ไม่ดีหรอ ยิ้มหน่อยนะ” ผมไม่ได้ตอบอะไรกับเด็กคนนั้นไป ได้แต่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ แต่เด็กคนนั้นไม่ได้หายไปไหนเลย ทำหน้าเหมือนพยายามนึกถึงเรื่องที่จะคุย และสุดท้ายเขาก็เอ่ยปากออกมา

“เราชื่อนายนะ แม่เราตั้งว่าเจ้านายละ อายุ 10 ขวบแล้ว นายละ ชื่ออะไรหรอ ทำไมทำหน้าเศร้าจัง?” เด็กคนนั้นแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ แต่คำถามของเขาทำให้ผมต้องก้มหน้าลง ทำไมน่ะหรอ ทำไมถึงทำหน้าเศร้า หึ เพราะตอนนี้ผมได้แต่นั่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพ ที่มีรูปพ่อและแม่ของผมอยู่บนป้ายนั้น ส่วนสาเหตุนั้น ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ถึงผมจะยังเด็ก ยังอายุน้อย แต่เรื่องราวธุรกิจในครอบครัว ก็ทำให้ผมรับรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้รับรู้ว่าโลกนี้มันช่างชั่วร้ายและไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก สักวัน ผมจะหาพวกมันให้เจอ จะจัดการมันอย่างสาสม ให้สมกับที่มันทำกับผม ทำกับครอบครัวของผม

“อย่าร้องไห้เลยนะ ไม่เป็นไรหรอก” มือเล็กๆ นั้นเอื้อมมาปาดน้ำตาที่ไหลรินรดแก้มของผม ผมหลับตา ยอมรับสัมผัสอ่อนโยนที่เด็กผู้ชายคนนั้นมอบให้ เมื่อลืมตาขึ้น ผมมองพิจารณาเด็กชายตรงหน้าอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น ทำให้ผมมองเห็น ว่านอกจากหน้าตาของเด็กชายที่ดูน่ารักคนนี้แล้ว การแต่งตัวของเขาบ่งบอกถึงสถานะได้ดี เสื้อตัวเก่า มีรอยขาดที่รอบคอและรอบแขน กางเกงที่ใส่เป็นกางเกงบอลของเด็กๆ แต่สภาพก็ไม่ได้ต่างไปจากเสื้อเท่าไหร่นัก ผิดจากผมที่ใส่สูทผูกไท แต่งตัวเรียบเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ทั้งชุดที่ผมใส่ล้วนเป็นสีดำ และมันดูไม่เข้ากันเท่าไหร่นักเมื่อผมนั่งอยู่บนพื้นหญ้า

“นายอยู่แถวนี้หรอ” ผมเอ่ยถามนายไปอย่างไม่รู้จะคุยอะไร อีกอย่างผมก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครเท่าไหร่

“เปล่าหรอก วันนี้แม่พามาหาพ่อด้วยน่ะ นั่นไง” เมื่อผมมองตามนิ้วมือเล็กๆ นั้นไป ก็เห็นป้ายหลุมศพที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก

“อืม” ผมตอบกลับไปแค่นั้นและไม่ได้พูดอะไรอีก นายมองหน้าผมนิ่ง และเริ่มพูดขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกนะ แม่บอกนายว่า พ่อนายไม่ได้หายไปไหน แค่ยืนมองอยู่บนฟ้า ถ้านายเป็นเด็กดี สักวันหนึ่งนายจะได้ไปหาพ่อละ เพราะงั้น อย่าร้องไห้เลยนะ” นายพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ผม ที่มันยังคงไหลอยู่เรื่อยๆ อย่างนั้นโดยไม่มีเสียงบ่นใดๆ ออกมา ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่นั่งเฉยๆ ไปอย่างนั้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเขา

ผม เนม ครับ ชื่อจริงของผมคือ วรวิทย์ วรโชติวาทิน ที่บ้านผมทำธุรกิจหลายอย่างครับ ทั้งโรงแรม รีสอร์ต ธุรกิจด้านยานยนต์ และ อาหาร ซึ่งมีผมเป็นผู้บริหารจัดการทั้งหมด เนื่องจากพ่อและแม่ของผมเสียไปเมื่อผมอายุ 17 ปี ทำให้ผมต้องเข้ามารับหน้าที่และกิจการของพวกท่านแทน ตั้งแต่ตอนนั้นมา ก็ผ่านมา 8 ปี แล้วครับ ตอนนี้ผมอายุ 25 ถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง และมีเสน่ห์เหลือเฟือ แต่นั่นก็เป็นแค่บทสัมภาษณ์จากนิตยสารต่างๆ ที่เคยเข้ามาทำการสัมภาษณ์ผมเท่านั้นล่ะ จากการที่ผมต้องเข้ามารับตำแหน่งหน้าที่นี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ผมรับรู้อะไรๆ หลายอย่าง ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างคิด ไม่ได้มีคนดีไปเสียหมดทุกคน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงตามหาสาเหตุที่แท้จริงถึงการตายของพ่อแม่ผมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังไม่ได้อะไรคืบหน้าสักเท่าไหร่ก็ตาม

“อ้าว ยังไม่กลับอีกหรอเนม”

“ยังครับ ผมขอตรวจสอบรายการอีกนิดหน่อย ใกล้เสร็จแล้วละครับ” ผมตอบกลับลุงชาญ หรือก็คือคุณชาญชัย วรโชติวาทิน เป็นพี่ชายของพ่อผมเองครับ เมื่อผมยังเด็กและต้องเข้ามารับตำแหน่งนี้ ผมก็ได้ลุงชาญนี่แหละครับ ที่เข้ามาช่วยเหลือและสอนงานต่างๆ ให้

“อ้อหรอ อย่ากลับดึกมากนักละ งั้นลุงกลับก่อนนะ โชคดีๆ” ลุงชาญพูดและหยิบกระเป๋าเอกสารออกไป เพื่อกลับบ้านไปพักผ่อน ผมทำงานต่ออีกนิดหน่อยก็เก็บของเตรียมกลับบ้านเช่นกันครับ ผมเดินเอื่อยๆ มาจนถึงลานจอดรถ ซึ่งมีรถสปอร์ต คันหรูของผมจอดอยู่เพียงคันเดียว ผมปลอดล็อกรถและเข้าไปนั่งประจำที่คนขันก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว ผมขับรถมาเรื่อยๆ จนพ้นออกจากตัวเมือง มาแถบชานเมือง บ้านของผมตั้งอยู่เขตชานเมืองครับ แม้จะต้องใช้เวลาสามชั่วโมงกว่า ในการไปและกลับ แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปพักตามคอนโดในเมืองกรุงแต่อย่างใด

“เฮ้ย!!!”

เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดด ตึง!!

ผมร้องอย่างตกใจ เนื่องจากมีคนวิ่งตัดหน้ารถของผม ทำให้ผมเหยียบเบรกกะทันหัน จนล้อรถขูดไปกับพื้นถนน และหมุนวนอย่างไรทิศทาง ชนกับขอบกั้นถนนจนเกิดเสียงดังสนั่น บ้าเอ้ย!!!! ผมนั่งหอบหายใจอย่างรุนแรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อผมสงบสติอารมณ์ลงได้ ก็เปิดประตูรถลงมาอย่างหัวเสีย รีบเดินไปดูคนที่สลบอยู่ตรงมุมที่ผมหักหลบเขาอย่างรวดเร็ว

“คุณ! คุณ! นี่คุณ! ฟื้นสิ” ผมเริ่มทำการสำรวจตามร่างกายของเขา เพื่อหาร่องรอยบาดแผลตามตัว แต่ไม่พบแผลจากตรงไหนในร่างกายของคนตรงหน้านี้เลย ทำให้ผมโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่มีท่าทีที่จะฟื้นขึ้นมา ทำให้ผมเริ่มกังวล และอุ้มเขาขึ้นรถ ตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาล ก็แจ้งเจ้าหน้าที่พยาบาลอย่างรวดเร็ว ถึงสาเหตุ และอาการเบื้องต้นที่ผมเจอ และส่งตัวเขาให้กับพยาบาลต่อทันที

“คุณคะ อันนี้เป็นของใช้ส่วนตัวของคนไข้ค่ะ”

“อ่อ ครับ” ผมรับของเหล่านั้นมาจากนางพยาบาล และเริ่มสำรวจดู อืมมม ไม่ได้มีของอะไรมากมายเท่าไหร่นัก มีเพียงกระเป๋าสตางค์และนาฬิกาหนึ่งเรือนเท่านั้น ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ของเขามาดู พบว่ามีเงินอยู่ไม่กี่ร้อยบาท และหยิบบัตรประชาชนของเขาขึ้นมาตรวจสอบ ชื่อของเขาคือ เจ้านาย พัชรวิทิต ผมเก็บข้าวของ ของเขาตามเดิม ผมได้จัดการเรื่องต่างๆ ของคนไข้ที่หมดสตินั้น และจัดให้เขาอยู่ห้องพัก VIP เมื่อผมมั่นใจว่าจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้วจึงเดินทางกลับบ้าน ระหว่างนั้นผมต่อสายหาลุงชาญไปพลางๆ

“ฮัลโหล ว่าไงเนม โทรมาซะดึกเชียว มีอะไรด่วนรึ”

“ขอโทษครับลุงชาญ ผมจะโทรมาแจ้งว่าพรุ่งนี้ผมไม่เข้าบริษัทนะครับ ผมฝากลุงเข้าประชุมแทนผมด้วยนะครับ”

“อ้อๆ ได้สิ มีไปธุระด่วนที่ไหนรึ” ลุงชาญถามผมอย่างทุกทีที่ผมมีงานด่วนต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่

“ผมไม่ได้ไปไหนหรอกครับ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย มีคนบาดเจ็บด้วยผมเลยจะมาดูอาการของเขาวันพรุ่งนี้น่ะครับ”

“ห๊ะ!!! เกิดอะไรขึ้นเนม เป็นอะไรมากไหม เจ็บตรงไหนบ้าง ให้ลุงไปหาไหม” ลุงชาญยิงคำถามมารัวๆ ด้วยน้ำเสียงที่ตกใจเป็นอย่างมาก

“ไม่เป็นอะไรครับลุงชาญ ผมชนขอบถนนไป พอดีผมไม่ได้ขับแรงเท่าไหร่ ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”

“อ่าๆ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ว่าแต่ตรวจแน่ใจแล้วใช่ไหม ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”

“ครับลุงชาญ ไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”

“โอเคๆ งั้นรีบกลับไปพักผ่อนนะ มีสติให้มาก ขับรถอย่าประมาทละ”

“ครับ สวัสดีครับ” ผมวางสายจากลุงชาญและมุ่งหน้าตรงกลับบ้านเพื่อพักผ่อนทันที

บทถัดไป