บทที่ 10 เดทแรก
“อ๊ะ!!!” พี่เนมจับแขนผมแล้วดึงเอาไว้ขณะที่ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ทำให้ตัวของผมเซไปทับพี่เนม แต่อะไรก็ไม่เท่ามือของผมที่จับกายแกร่งช่วงล่างของพี่เขาอยู่ ทำให้ผมตกใจดวงตาเบิกกว้างเงยหน้ามองพี่เนมอย่างตกใจ แล้วสิ่งที่ตามมาติดๆ เมื่อผมล้มลงคือริมฝีปากนุ่มยุ่นของพี่เนมที่แนบชิดกับริมฝีปากของผม ผมตกใจได้แต่ค้างท่านั้นจนในที่สุดพี่เนมก็ผละริมฝีปากออกห่าง
“ระวังไว้ให้ดี ฉันจะรุกจีบนายแล้วนะ” พี่เนมกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของผม จนผมอดรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไม่ได้ พี่เนมค่อยๆ ถอยออกไปและปล่อยแขนของผม ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มแพรวพราวมาให้
“อะ อะ อ่อ” ผมถึงกับใบ้กินและไปต่อไม่ถูก ได้แต่ค้างท่าเดิมไว้อย่างนั้น
“ถ้านายยังไม่เอามือออกไป ฉันจะจับนายกินแล้วนะ” เมื่อพี่เนมพูดขึ้น ทำให้ผมนึกขึ้นได้ รีบปล่อยสิ่งที่จับอยู่ในมือราวกับโดนของร้อน
“ขะ ขะ ขอโทษครับ” ผมบอกพี่เนมแล้วรีบวิ่งกลับห้องตัวเองทันที
“ฮึฮึ” ขณะที่ผมวิ่งออกมาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เนมดังไล่หลัง หน้าของผมเห่อร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่มานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองบนเตียงนอน โอ้ยยยยยยย ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา ทำไมถึงรู้สึกเคลิ้บเคลิ้มไปกับจูบของพี่เขาด้วย รสจูบในครั้งนี้มันชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ผมเมา เพราะตอนนี้ผมรับรู้ได้และมีสติครบถ้วน ไหนจะขนาดของกายแกร่งที่ฝ่ามือของผมได้สัมผัสมา มันมีขนาดใหญ่ จนมือของผมโอบรอบไม่มิด อ้ากกกกกกกกกกกกก ทำไมผมต้องมาคิดเรื่องทะลึ่งแบบนี้ด้วย!!!!! คืนนั้นทั้งคืนทำให้ผมนอนไม่หลับ ทำพูดของพี่เนมยังวนเวียนกระซิบอยู่ข้างใบหูให้ได้รู้สึก กว่าผมจะข่มใจหลับได้ก็ล่วงเข้าสู่วันใหม่ไปแล้ว
“อืมมมมมมมมมม” ผมตื่นมาบิดขี้เกียจเมื่อความรู้สึกปวดเมื่อยปะทะตามเนื้อตัว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าผมไม่สามารถทำได้ดั่งใจคิด หรือก็คือตอนนี้ผมกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้เลย ด้วยความตกใจทำให้ผมรีบลืมตาขึ้นมอง แทนที่ผมจะพบกับเพดานห้องเหมือนทุกวัน กลับพบใบหน้าหล่อเหลาของพี่เนม ที่ห่างกันเพียงแค่คืบ จนรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดใบหน้าของผม
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยย”
ตุ้บ!!!
ผมร้องตะโกนสุดเสียงอย่างตกใจ แล้วรีบถดตัวหนีจนตกเตียง พี่เนมงัวเงียลืมตาขึ้นมองผมช้าๆ
“อืมมมม เสียงดังแต่เช้าเลยนะ”
“พะ พะ พี่เข้ามาได้ยังไง” ผมถามพี่เนมปากสั่น
“เปิดประตูเข้ามาสิ” พี่เนมลืมตาข้างหนึ่งมองผม อย่างคนที่ยังไม่ตื่นดี
“พี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่!!!! ทำไมผมไม่เห็นรู้เลย!!!!” ผมตะโกนถามพี่เนมอย่างคนตกใจ
“อืม ตี 4 ละมั้ง นายนอนหลับอุตุขนาดนั้นจะไปรู้อะไร ฉันลักหลับไปนายจะรู้ตัวรึเปล่าเถอะ” พี่เนมพูดแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง ขยี้ผมเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าถูกขัดจังหวะการนอน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู ก่อนที่ร่างหนาจะพ้นบานประตูออกไป พี่เนมก็หันมาบอกกับผม
“ฉันบอกนายแล้ว ให้ระวังไว้ให้ดี” พี่เนมพูดแล้วกระตุกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์ ก่อนจะออกจากห้องไป
“อ้ากกกกกกกกกกกก” ผมตะโกนโวยวายหน้าแดงลุกขึ้นจากพื้นมาล้มตัวลงบนที่นอน ทับที่ๆ พี่เนมนอนอยู่เมื่อกี้ กลิ่นหอมของบุรุษเพศยังติดอยู่บนที่นอนจางๆ ยิ่งทำให้ผมหน้าแดง ผมนอนทำใจอยู่สักพักแล้วจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวลงไปช่วยป้านุ่มเตรียมอาหาร
เมื่ออาหารเช้าพร้อมแล้วผมก็ขึ้นมาชั้นบนเพื่อเรียกพี่เนมให้ลงไปทานด้วยกันเหมือนทุกที หากแต่ครั้งนี้ผมชะงักเท้ายืนอยู่หน้าประตูห้อง ไม่กล้าเข้าไป กลัวว่าพี่เนมจะทำอะไรแปลกๆ ใส่ผมอีก ยิ่งพี่เนมประกาศชัดว่าจะรุกจีบ ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าอยู่กับเขาสองต่อสอง ผมยืนลังเลอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจเคาะประตูห้องและส่งเสียงเรียก แทนการเปิดเข้าไปภายใน เมื่อผมเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับจากพี่เนมกลับมาทำให้ผมไม่แน่ใจ ว่าพี่เนมเขากลับมานอนต่อหรือมาอาบน้ำแต่งตัวหลังออกมาจากห้องของผมกันแน่ ผมจึงทำใจแล้วผลักประตูเข้าไปภายใน แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับเป็นห้องว่างเปล่า ไม่มีร่างของพี่เนมนอนอยู่บนเตียง หรือเสียงหยดน้ำให้ได้ยิน ในขณะที่ผมกำลังยื่นงุนงง และคิดคำนวณว่าเวลานี้พี่เนมจะไปอยู่ที่ใดบ้างกลับมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น และมันก็เรียกความสนใจจากผมได้ทันที
ปัง!!! กริ๊ก
ผมรีบหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่พบก็คือพี่เนมยืนกอดอกอยู่หลังประตู ในสภาพเสื้อยืดคอวีสีน้ำเงินและกางเกงยีนส์สีเข้ม พี่เนมยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำ และก้าวเดินมาหาผมอย่างช้าๆ จนผมผวาเดินถอยหลังตามจังหวะการก้าวเดินของพี่เนม ผมถอยหลังมาเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับเตียงนอนของพี่เนม และพี่เนมก็มาคร่อมทาบทับผมไว้ แล้วกดจูบอย่างแนบแน่น ปากหนาขยับช่วงชิงความหวานที่ได้รับตรงหน้า ขบเม้มริมฝีปากบาง ดูดดึงอย่างนุ่มนวลราวกับจะขออนุญาต จนทำให้ผมเคลิ้บเคลิ้มไปกับรสจูบที่พี่เนมมอบให้ จนเผยอปากจูบตอบรับพี่เนมไปอย่างไร้เดียงสา ทำให้พี่เนมยกยิ้มและหลุดหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะจูบต่อ หากแต่ครานี้ลิ้นหนากลับล่วงล้ำเข้ามาภายในโพรงปากอุ่นของร่างบาง ไล่ฉกชิมความหวานจากลิ้นเล็กและไรฟันอย่างไม่รู้จักพอ
จ๊วบ จ๊วบ จุ๊บ
เสียงจูบดังไปทั่วห้องนอนใหญ่ของพี่เนมจนผมนึกอาย ทำให้แก้มนวลแดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อผมรู้สึกราวกับจะหมดอากาศหายใจ มือน้อยจึงระดมทุบไปที่อกหนาอย่างร้อนรน มือหนารวบมือเล็กเข้าไว้ด้วยกันด้วยมือเพียงข้างเดียวและกดจูบอย่างต่อเนื่อง จนร่างบางรู้สึกจะขาดใจตายแล้วจริงๆ ริมฝีปากหนาถึงได้ผละออก แต่ก็แค่เพียงเล็กน้อยให้พอได้หายใจ แต่ก็ยังขบเม้มอยู่เนืองๆ อย่างคนที่รู้สึกว่าแค่นี้มันไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการ
“อ่าาาาา นาย อยากออกกำลังกายยามเช้าสักหน่อยไหม” เสียงพี่เนมกระซิบอยู่ข้างหูบางจนทำให้ผมรู้สึกสยิว ปั่นป่วนในช่องท้องและถดคอหนีไปด้านข้าง ทำให้เป็นการเปิดโอกาสให้คนตัวโตรังแกเขาได้ โดยการจูบเน้นย้ำที่ลำคอบางของร่างเล็กอย่างได้ใจ
“อื้อออออ หยะ หยุดนะ พี่เนมมมม ผะ ผม ผมมาตามพี่ไปทานข้าว” เสียงของผมขาดห้วงเนื่องจากยังเหนื่อยหอบกับการช่วงชิงลมหายใจที่พี่เนมทำกับผมไว้
“ฮึ ฉันยอมให้ก็ได้ เพราะเป็นห่วงว่านายจะปวดท้องหรอกนะ วันนี้จะยอมให้ก่อนก็ได้” พี่เนมพูดและผละออกจากตัวผมไป ผมลุกขึ้นยืนดีๆ ก่อนจะจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทาง
“นายลงไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามไป” พี่เนมพูดจบแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ผมก็ไม่พูดอะไรยอมออกจากห้องมาแต่โดยดี แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำทำให้ผมหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก
“อ๊ะ อ๊ะ เจ้านาย อาาาาาาาา” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่เนมเข้าไปทำอะไรภายในห้องนั้น ผมเร่งรีบออกจากห้องให้ไวที่สุดแล้วมานั่งรอที่ห้องทานอาหาร ราวๆ 15 นาทีถัดมา พี่เนมก็เดินตามมาที่ห้อง ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าพี่เนม ก็ผมเขินนี่น่า แค่ที่พี่เขาทำก็มากเกินพอแล้ว ไหนจะเสียงที่ผมได้ยินจากห้องน้ำนั้นอีกละ ผมก้มหน้าก้มตาทานอาหารให้เสร็จเร็วที่สุด โดยที่พี่เนมก็ยังคงตักอาหารใส่จานของผมเรื่อยๆ เหมือนเมื่อคืน เมื่อผมทานเสร็จกำลังจะลุกออกจากโต๊ะ พี่เนมก็เรียกผมไว้เบาๆ
“นาย”
“คะ คะ ครับ”
“ฮึ ทานเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัว ตอน 11 โมงพี่จะพาออกไปข้างนอก” พี่เนมบอกกับผม และทำให้ผมใจสั่นในเวลาเดียวกัน เขาแทนตัวเองว่าพี่? แทนตัวเองว่าพี่กับผม ยิ่งทำให้ผมใจสั่นเข้าไปใหญ่....
“คะ ครับ” ผมพยักหน้าตอบออกไป ก่อนจะเดินขึ้นห้องมาเพื่อเตรียมตัว ด้วยความที่ผมไม่รู้ว่าพี่เนมจะพาไปที่ไหน จึงหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาว และกางเกงยีนส์สีซีดออกมาใส่คู่กับรองเท้าผ้าคู่โปรดของผม เมื่อแต่ตัวเสร็จผมก็ออกมารอพี่เนมที่ห้องนั่งเล่น เวลา 11 โมงตรงพี่เนมก็เข้ามาในห้องนั่งเล่น ชุดที่พี่เนมใส่เป็นเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสแล็ค รองเท้าหนังสีด้าน ท่วงท่าการเดินลงบันไดของพี่เนมราวกับราชาผู้ทรงศักดิ์ ดูงดงามและสง่างามในเวลาเดียวกัน ทำให้ผมใจสั่น นั่งนิ่งเหม่อมองอย่างใจลอย จนพี่เนมมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า มือหนาเอื้อมมาสัมผัสแก้มของผมแผ่วเบา ราวกับว่ากลัวว่ามันจะแตก แต่ก็เพื่อเรียกสติของผมที่หลุดลอยไปให้กลับเข้าร่าง
“ไปกันเถอะ” พี่เนมพูดแล้วพยักหน้าให้ผมลุกตามออกไป พี่เนมปลดล็อครถอเวนทาดอร์แล้วเปิดประตูให้ผมเข้าไปก่อน ก่อนจะเดินอ้อมมาฝั่งคนขับแล้วเริ่มเคลื่อนตัวออกจากบ้าน
“เราจะไปไหนครับ” ผมถามแล้วเอียงหน้ามองพี่เนมด้านข้างอย่างสงสัย
“เดท” พี่เนมตอบกลับมาเสียงนิ่งยิ้มมุมปากนิดๆ แต่ก็มีกระแสความอบอุ่นอยู่ภายใน
“.......” ผมไม่ได้ตอบกลับพี่เนมไป แต่หน้าของผมกำลังแดงอย่างถึงที่สุด ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ อีก ได้แต่นั่งมองข้างทางสลับกับคนข้างตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถเคลื่อนตัวไปจอดตรงโซน VIP ของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมและพี่เนมเราลงจากรถพร้อมกัน เราเดินคู่กันเข้ามาภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น พี่เนมพาผมตรงขึ้นไปชั้นบนสุด ซึ่งเป็นโรงหนังทั้งชั้น เรามาหยุดยืนตรงหน้าจอแสดงรอบหนังและชื่อเรื่อง
“เลือก” พี่เนมบอกออกมาแล้วชี้นิ้วไปที่หน้าจอ แสดงออกชัดเจนว่าให้ผมเป็นคนเลือกหนังในเดทแรกนี้ อ่าในเมื่อมันเป็นเดทแรกผมก็ควรที่จะเลือกหนังรักรึเปล่านะ ผมไล่สายตาไปตามชื่อเรื่องที่ถูกแสดงอยู่บนหน้าจอ จนในที่สุดผมก็เลือกหนังออกมาเรื่องหนึ่ง ที่อีกไม่กี่นาทีก็เข้าฉาย
“เอาเรื่องนี้ครับ” เมื่อเราเลือกหนังได้เสร็จพี่เนมก็ไปจัดการซื้อตั๋วหนังสำหรับ 2 คน และจัดการซื้อป๊อปคอร์นและน้ำอัดลมเตรียมไว้ เมื่อซื้อขนมขบเคี้ยวเสร็จเราก็เดินเข้าไปนั่งรอภายในโรง ทำให้ผมรู้ว่าพี่เนมจองที่นั่งด้านหลังสุด และมันเป็นแบบพรีเมี่ยม คือเป็นโซฟายาวนอนได้ 2 คน มีหมอนอิงไว้สำหรับนอนดูโดยเฉพาะ ผมหันไปมองคนข้างตัวแล้วหรี่ตาลงอย่างสงสัย แต่คนร่างหนากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และเดินขึ้นไปนั่งด้านบน ที่นั่งแบบพรีเมี่ยมนี้มีเพียง 5 ชุดเท่านั้น ทั้งหมดตั้งอยู่ที่นั่งด้านหลังสุด สูงกว่าที่นั่งทั่วไปนิดหน่อย เพื่อให้ไม่มีใครมาบดบังการรับชม เมื่อเรานั่งกับเรียบร้อยแล้วผมก็อดที่จะถามพี่เนมไม่ได้
“พี่ซื้อตั๋วมาราคาเท่าไหร่ครับ ทำไมไม่จองที่นั่งแบบธรรมดาละครับ แบบนี้มันเสียดายตังค์มากเลยนะรู้ไหม” พี่เนมหันมามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วตอบ
“พี่รวย อีกอย่างนี่เดทแรกของเรา ทุกอย่างต้องดีที่สุด” พี่เนมตอบหน้าตายและไม่วายทิ้งระเบิดไว้ให้ผมอีกหนึ่งลูก จนผมหน้าแดงยอมความ ไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับพี่เนมอีก หลังจากชมตัวอย่างหนังที่จะเข้าฉายไปสักพัก เนื้อเรื่องของหนังก็เริ่มแสดงออกมาให้ได้รับชม ผมมองไปรอบกายแต่กลับไม่พบคนที่นั่งที่นั่งข้างเคียงอีก 4 ที่นั่งที่เหลืออยู่ เหมือนกับว่าแถวสุดท้ายนี้มีผมกับพี่เนมนั่งกันแค่ 2 คน ผมจึงหันมาสนใจภาพยนตร์ตรงหน้า ก็พบกับคำแนะนำในการชมที่ทำให้ผมถึงกับหน้าแดง เพราะมันเขียนชัดเจนว่า เหมาะสำหรับคนที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป
“พี่ไม่ยักรู้นะ ว่านายชอบหนังแบบนี้” พี่เนมกระซิบพูดกับผมพร้อมสายตาแพรวพราวระยิบระยับ
“ผมไม่รู้นี่ครับ ว่ามันจะมีเรทการฉายแบบนี้น่ะ” ผมสาบานเลยนะ ผมไม่รู้จริงๆ นี่น่า ก็เห็นชื่อเรื่องมันน่าสนใจดี ก็เลยเลือกมาเท่านั้นเอง
“ฮะๆ” พี่เนมหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปตั้งใจดูหนังแต่โดยดี เนื้องเรื่องก็ประมาณว่า ผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนที่เรียบร้อย อ่อนหวาน ต่อมาไม่นานเธอก็มีอาการป่วยจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ผลปรากฏว่าเธอเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย เธอพยายามทำทุกอย่างที่อยากทำ โดยจดเป็นรายการไว้ สิ่งที่เธออยากจะทำก่อนตาย มีหลายอย่างมากมายเช่น การช้อปปิ้งแบบกระจาย การซื้อรถสปอร์ตมาขับ การไปปีนเขา การเข้าผับครั้งแรกของเธอ หรือแม้แต่การมี SEX กับหนุ่มบาร์โฮส เธอเลือกทำตามรายการที่จดบันทึกไว้ และไล่ทำจนเกือบครบ ขาดก็แต่การมี SEX เท่านั้นที่เธอยังทำไม่ได้ ด้วยความหนักใจนี้เธอไปปรึกษาเพื่อนๆ และเพื่อนๆ ก็เข้าใจ พาเธอไปที่บาร์และแนะนำหนุ่มรูปงามให้
เมื่อดูมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มทนกับอากาศหนาวของโรงหนังไม่ไหว นั่งห่อตัว มือลูบแขนเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวเอง พี่เนมที่เห็นแบบนั้นก็วาดวงแขนมาพาดที่ไหล่ผม และดันตัวผมให้ซุกกับอกกว้างแต่ว่าอบอุ่นแทน ผมก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะมันอุ่นกว่าการที่ผมนั่งห่อตัวลูบแขนเสียอีก
“หนาวมากไหม กอดพี่ได้นะ” พี่เนมกระซิบคุยกับผมเสียงเบา เนื่องจากว่ากลัวจะรบกวนคืนอื่นๆ ที่ดูหนังอยู่ด้านหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ผมทนได้” ผมบอกกับพี่เนมไป ก่อนจะหันมาสนใจภาพยนตร์ต่อ เมื่อหันกลับมาก็ทำให้ผมหน้าแดงได้อีกเช่นเคย เพราะมันกำลังฉายฉากเรท 18+ ที่ขึ้นแจ้งไว้ตั้งแต่แรก
“อ๊ะ เจ็บ ฉันเจ็บ!!!!” เสียงผู้หญิงของเธอที่เป็นนางเอกของเรื่องพูดออกมาพร้อมกับน้ำตานองหน้า เมื่อถูกบุกรุกสิ่งล้ำค่าสำหรับผู้หญิงเป็นครั้งแรก
“ผมจะอ่อนโยนกับคุณนะ อดทนหน่อย” ผู้ชายตอบกลับมาอย่างใจเย็น และรอคอยให้ผู้หญิงปรับตัวเข้าหากัน ก่อนที่บทเพลงรักจะดำเนินอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนแปรเปลี่ยนเสียงร้องไห้เป็นเสียงร้องคราวหวิวของหญิงสาว
พรึบบบบบบ
“อ่าาาาาาา นายจะทรมานพี่หรอ” พี่เนมพูดแล้วเอื้อมมือมาลูบไล้ร่างกายผมไปทั่วอย่างหักห้ามอารมณ์
“พะ พะ พี่เนม อย่าสิครับ นี่ที่สาธารณะนะ” ผมกระซิบบอกพี่เนมแล้วไล่ตะครุบมือปลาหมึกของพี่เนมเอาไว้
“นายตั้งใจพาพี่มาทรมานกันชัดๆ” เสียงพี่เนมแหบพร่าอย่างมืออารมณ์ ซึ่งผมเองก็ไม่ต่างกัน สาเหตุก็มาจากกระถูกกระตุ้นด้วยหนังที่ฉายอยู่ตรงนี้นี่แหละ
จุ๊บ จุ๊บ จ๊วบบบบ
เมื่อเราทนความต้องการไม่ไหว ทำให้ริมฝีปากเคลื่อนเข้าหากันอย่างห้ามใจไม่อยู่ เมื่อพี่เนมกดจูบจนพอใจแล้วก็ผละออกไป เริ่มการซุกไซ้ซอกคอของผม จนต้องหดคอหนี และหันไปห้ามปรามคนที่กำลังจะทำเกินเลยในที่สาธารณะ
“พี่เนม ตั้งใจดูหนังสิครับ เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก” ผมบอกพี่เนมเสียงสั่น เนื่องจากคนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ฮึ้ยยย ก็ได้ นายชนะ” พี่เนมยอมผละออกไปและทำหน้าตาขึงขังเมื่อโดนขัดใจ ผมจึงยอมหันไปนอนกอดพี่เนมไว้ หวังให้เขาลดความขุ่นเคืองลง ซึ่งพี่เนมก็วาดวงแขนโอบกอดผมเอาไว้ในอกอุ่น และเราก็เริ่มดูหนังต่อ
หญิงสาวคนนั้นได้ผ่านการมีประสบการณ์การมี SEX กับหนุ่มบาร์โฮสคนนั้น สิ่งที่เธอคิดคือครั้งเดียวก็เกินพอ เธอได้ทำในสิ่งที่อยากทำครบทั้งหมดแล้ว แต่กลับเป็นหนุ่มบาร์โฮสนั้นที่หลงรักเธอแทน พยายามจีบเธอทุกวิถีทาง แต่ก็ถูกหญิงสาวปฏิเสธ เพราะเธอรู้ตัวดีว่าเวลาของเธอใกล้จะหมดแล้ว จนในที่สุดเธอก็ฝืนทนความเจ็บปวด เขียนจดหมายให้ผู้ชายหนึ่งฉบับขณะที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล กว่าผู้ชายจะรู้และค้นหาเธอจนเจอ สภาพของเธอก็แทบจะไม่ไหวเต็มที ในนาทีสุดท้ายของชีวิต ชายหนุ่มก็มาทันได้สบตากับเธอ ตะโกนบอกรักเธอ และเธอหลับตาจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เมื่อชายหนุ่มได้อ่านจดหมาย เขาก็เข้าใจทุกการกระทำ เหตุผล และความในใจของหญิงสาวที่เธอมีต่อเขาทั้งหมด เขาร้องไห้คร่ำครวญเสียใจ ไม่สามารถรักใครได้อีก และอยู่คนเดียวจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต....
“ฮึก ฮืออ ฮึก” ผมสะอึกสะอื้นกับภาพยนตร์ตรงหน้า เมื่อคิดว่าชีวิตของทั้งคู่ช่างน่าเศร้า ถูกโรคร้ายทำให้พรากจาก และยิ่งน่าเศร้าเมื่อรู้ว่าใจของเขาตรงกัน แต่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ พี่เนมเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ผม และกดหน้าผมให้ซุกกับอกกว้าง และกระซิบคำหวานปลอบประโลม
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องนะ อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าใจตรงกัน และรักกันจากใจจริงนะ” ผมพยักหน้าให้พี่เนม แม้จะซุกอยู่กับอกของพี่เขาอยู่ ผ่านไปสักพักผมจึงหายจากอาการเศร้าเสียใจ และผละออกจากพี่เนม พี่เนมกดจูบซับน้ำตาให้ผมทั้งสองข้าง แล้วพาผมออกจากโรงหนังไป

























































