บทที่ 11 นวดคลายเมื่อย
ตอนนี้ผมกับพี่เนม เรามานั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งครับ โดยผมกับพี่เนมนั่งฝั่งเดียวกัน และฝั่งตรงข้าม มีหญิงสาวชรากับลูกชายของเธอนั่งอยู่ ซึ่งก็คือ คุณหญิงนภา เดชพิมุกต์ และคุณกันต์ เดชพิมุกต์ อดีตกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของบริษัท โอแกรนวิลล์ ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า พี่เนมพาผมมาทานอาหารที่ร้านภายในห้างสรรพสินค้านี้ ตอนแรกที่เดินเข้ามาเหมือนพี่เนมจะเห็นแล้วล่ะครับ แต่เป็นผมที่ดึงดันให้เข้าร้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเดินวนหาร้านอื่นไปอีกทำไม เมื่อเดินเข้ามาก็ถูกคุณหญิงนภาเรียกเอาไว้ แล้วชักชวนให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน โดยหยิบยกเรื่องที่ผมกับพี่เนมแอบชิ่งหนีออกจากงานเลี้ยงครั้งก่อนมากดดัน ทำให้ต้องร่วมโต๊ะกันอย่างช่วยไม่ได้
“ขอโทษครับพี่เนม” ผมกระซิบบอกคนข้างกาย เพราะเข้าใจดีกว่าพี่เนมคงไม่อยากร่วมโต๊ะกับคู่แข่งสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไร” พี่เนมกระซิบตอบกลับมาเบาๆ และหันกลับไปเมื่อฝั่งตรงข้ามหันมาพูดคุยกับพี่เนมเรื่องธุรกิจที่กำลังทำ และโปรเจ็คใหม่ที่มีแผนว่าจะขยายกิจการออกไป
“แล้วนี่ คุณเจ้านายมาทำงานกับคุณวรวิทย์นานรึยังคะ?” คุณหญิงนภาหันมาชวนผมคุยบ้างเมื่อสังเกตเห็นว่าผมแทบไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลย
“ยังไม่นานหรอกครับ ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ครับ”
“แหม ดีจังเลยนะคะ ที่ฝึกฝนทำงานตั้งแต่เด็กอย่างนี้ ลูกชายของฉันสิคะ กว่าจะยอมหยิบจับธุรกิจของครอบครัวอายุอานามก็ปาเข้าไปเกือบ 30 แล้วล่ะค่ะ” คุณหญิงนภาพูดพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ
“แม่!!!!” ลูกชายของคุณหญิงนภาตะโกนลั่นโต๊ะ เมื่อแม่ของหยิบยกเรื่องของตนมาเผา คุณหญิงนภาหัวเราะเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกถูกจดจ้องอยู่ตลอดเวลาจากผู้ชายตรงหน้า แถมยังเป็นการจ้องแบบจ้องเขม็งจนผมรับรู้และจับความรู้สึกได้ เราทานอาหารไปสักพักก็ขอตัวแยกย้าย การรับประทานอาหารในมื้อนี้ฝืดเคืองและไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อหมดความสนุก ผมกับพี่เนมเลยตกลงกันว่าจะกลับบ้านไปพักผ่อนทันที
“พี่เนม ผมขอโทษจริงๆ นะครับ” ผมกระตุกแขนเสื้อพี่เนมเบาๆ แล้วก้มหน้าขอโทษ เพราะนี่เป็นเดทแรกของเรา และผมทำให้มันเสียบรรยากาศ
“ไม่เป็นไร นายจะทำอะไรไถ่โทษให้พี่ไหม” พี่เนมถามแล้วกระตุกยิ้มแบบที่ชอบทำ
“พี่เนมอยากได้อะไรละครับ” ผมถามแล้วเงยหน้ามองคนตัวโตกว่าอย่างสงสัย
“อื้มมมมม ช่วงนี้ทำงานเหนื่อย ปวดหลังจังเลยน้าาาาา” พี่เนมพูดขึ้นแล้วปรายตามองมาทางผม บ่งบอกชัดเจนว่าอยากให้ผมนวดให้
“ครับๆ ผมนวดให้ก็ได้” ผมพยักหน้าตกปากรับคำว่าจะนวดให้พี่เนมไป เมื่อเรามาถึงบ้านพี่เนมก็บอกให้ผมไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปนวดให้พี่เนมที่ห้อง ส่วนพี่เนมก็จะไปอาบน้ำเช่นกัน เมื่อผมอาบน้ำเสร็จก็มาเคาะห้องพี่เนม รอจนได้ยินเสียงตอบรับจึงจะเปิดประตูเข้าไป
เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปก็พบกับพี่เนมในสภาพเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กพันสะโพกไว้ นั่งรออยู่บนเตียง พร้อมกับยาทาสำหรับนวด เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เมื่อผมได้เห็นก็ถึงกับใจสั่น กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พี่เนมค่อยๆ นอนคว่ำลงบนเตียง ผ้าที่พันไว้ก็จะหลุดแหล่ ไม่หลุดแหล่
“พี่เนม ไปแต่งตัวก่อนสิครับ”
“ไม่เอา เดี๋ยวยามันเลอะเสื้อผ้าแล้วจะไม่ซึมเข้าผิว" พี่เนมตอบกลับมาแล้วหันมายกยิ้มให้ ถ้าให้เดา ผมว่าพี่เนมตั้งใจอ่อยผมแน่ๆ ครับ เมื่อพี่เนมไม่ยอมไปใส่เสื้อผ้า ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วเดินไปนั่งลงตรงพื้นที่ว่างข้างเตียง เริ่มลงมือนวดไหล่และหลัง โดยทายาสำหรับนวดจนทั่วแผ่นหลังแกร่งแล้วจึงออกแรงกดไปตามแผ่นกระดูกสันหลัง และสะโพกของพี่เนม ด้วยความที่พี่เนมตัวใหญ่กว่าผมมาก ทำให้เหมือนผมกำลังคร่อมพี่เนมอยู่ จนผมอดรู้สึกปวดเอวไม่ได้ที่ต้องบิดเพื่อเอี้ยวตัวไปนวดให้พี่เนมเนื่องจากความไม่ถนัดในการนวด ผมนวดไปสักพัก ก็ได้ยินเสียงพี่เนมร้องบอก
“นาย นวดข้างหน้าให้พี่ด้วย” พี่เนมพูดแล้วยันกายลุกขึ้น หันกลับมาพลิกตัวนอนหงาย ทำให้ผมกับพี่เนมได้เห็นหน้ากัน ผมเม้มปากแน่นเมื่อต้องทายาลงบนแผงอกที่แข็งแกร่ง และเป็นก้อนนูนขึ้นอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ยิ่งมือผมสัมผัสอกของพี่เนมมากเท่าไหร่ หน้าผมก็ยิ่งแดงมากเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ ทำการนวดให้พี่เนมต่อเนื่อง
“ปวดเอวไหม” พี่เนมเอ่ยถามขึ้นเบาๆ แต่ก็ไม่เท่ากับผมที่ตกใจจนสติแทบหลุด เพราะพี่เนมอุ้มผมให้มานั่งทับหน้าท้องแกร่งที่มีซิกแพคทั้ง 6 ก้อนเรียงตัวอยู่
“อ๊ะ!!! พะ พะ พี่เนม ท่านี้ไม่ดีมั้งครับ” ผมเอ่ยปากบอกเสียงสั่น เมื่อสัมผัสถึง อะไรๆ ที่ถูกปกปิดไว้ด้านล่าง ซึ่งมีเพียงผ้าขนหนูผืนบางปกป้องอยู่
“ไม่ดียังไง นายนั่งนวดให้ฉันมาตั้งนาน ท่านั่งไม่ถนัดใช่ไหมล่ะ คงปวดเอวน่าดู” พี่เนมพูดแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาให้
“ดะ ดะ เดี๋ยวพี่จะหนักนะครับ หะ ให้ ให้ผมลงดีกว่านะ” ผมบอกก่อนจะค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง แต่พี่เนมไม่ให้ผมทำแบบนั้น สองมืออบอุ่นของพี่เนมมาจับกระชับไว้ที่เอวของผม ก่อนจะกดบังคับให้นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมให้ผมลงอย่างที่ใจผมอยาก
“นวดต่อสิ” เมื่อผมได้ยินคำเร่งเร้า ก็ก้มหน้านวดต่อ แต่ไม่แม้จะมองหน้าของคนตัวโตที่อยู่ด้านล่าง มือของผมก็ยังคงทำหน้าที่ตามที่ได้รับคำสั่งมา จนเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาดุนดันด้านหลังตรงก้นของผมอยู่ จนทำให้ชะงักมือที่กำลังนวด แล้วดีดตัวลุกขึ้นทันที
“ผะ ผะ ผมว่า ผมว่าพี่เนมน่าจะหายเมื่อยแล้วละครับ ผมขอตัวก่อนนะ” ผมรีบพูดลิ้นรัวเร็วก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป
“เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่หาย (อยาก) เมื่อยเลยนะ” ผมได้ยินเสียงของพี่เนมตะโกนแว่วๆ มา แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้วครับ รีบเข้าห้องน้ำ ไปล้างไม้ล้างมือ แล้วรีบเข้านอนทันที ผมเขินหนักมากกกก กับสิ่งที่เนมทำกับผม พี่เนมรุกหนักจนผมกลัวใจตัวเอง นี่ขนาดแค่วันแรก ยังทำให้ผมใจสั่นได้มากขนาดนี้ ผมจะทนพี่เนมได้สักเท่าไหร่กัน ผมนอนคิดพร้อมกับพลิกไปพลิกมา ชั่วขณะหนึ่งผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ล็อกห้อง จึงรีบลุกจากเตียงแล้วไปกดล็อกประตูทันที เมื่อสบายใจแล้วว่าวันนี้พี่เนมจะเข้ามาไม่ได้แน่ๆ ผมก็มาล้มตัวลงนอนบนเตียง คิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนหลับไปในที่สุด
“อืมมมม ฮ้าววววว” ผมห้าวแล้วบิดตัวเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่เหมือนกับเมื่อวานเข้ามาโจมตีอีกครั้ง ไม่ต้องคิดนานผมลืมตาเบิกโพลง อย่างตกใจ ก็พบหน้าของพี่เนมที่ใกล้ชิดกับผมมากยิ่งขึ้น แถมครั้งนี้ ผมกลับอยู่ในอ้อมอกเปลือยเปล่าของพี่เนม ผมตกใจจนดีดตัวออกแล้วตกเตียงลงไป อย่างกับภาพทับซ้อนเมื่อวานไม่มีผิด
“พี่เนม!!! เข้ามาได้ยังไงครับ!!!” ผมตะโกนถามพี่เนมเสียงดังกับความตกใจ เมื่อคืนผมมั่นใจว่าล็อกห้องแล้วแน่ๆ แล้วทำไมพี่เนมถึงเข้าห้องผมมาได้อีก
“อืมมม กุญแจ” พี่เนมตอบเสียงงัวเงีย แหบพร่า
“พี่เอากุญแจมาจากไหนครับ!!!” ผมถามพี่เนมแล้วก็นึกขึ้นได้ บ้าเอ้ยยย พี่เนมเป็นเจ้าของบ้าน ก็ต้องมีกุญแจสำรองของทุกห้องภายในบ้านอยู่แล้ว ทำไมผมถึงไม่คิดข้อนี้นะ
“อืมมม บ้านพี่” พี่เนมลุกจากเตียง แล้วมาฉุดผมที่นั่งอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้น ก้มลงจุ๊บปากผมอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
“มอร์นิ่งคิส” พี่เนมยักคิ้วให้ผม หลังพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องไป ผมเองก็หน้าเหวอ ยืนนิ่งแบบนั้นอยู่สักพัก หลังจากรวบรวมสติได้จึงไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำอาหารเช้า เมื่อถึงเวลาทานอาหารพี่เนมก็เดินเข้ามาภายในห้อง จนผมอดพูดแขวะไม่ได้
“คนเขาล็อกห้อง เพราะไม่อยากให้เข้า ไม่รู้หรอครับ” ผมพูดแล้วยู่ปากจู๋อย่างไม่ชอบใจ
“ก็ห้องนายมันหอมกว่านี่ และยิ่งหอมมากขึ้นเมื่อนายอยู่บนเตียง” พี่เนมพูดแล้วกระตุกยิ้มอย่างที่ชอบทำ แต่กลับทำให้ผมหน้าแดง เพราะในห้องนี้ยังมีป้านุ่มอยู่ด้วยอีกคน ป้านุ่มส่งยิ้มล้อๆ มาให้ผม ยิ่งทำให้ผมอยากโดนโต๊ะทานข้าวนี้สูบเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอด
“พูดอะไร อายคนอื่นบ้างไหมครับ” ผมบ่นพี่เนมเสร็จก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ เมื่อเราทานข้าวเสร็จ ผมเอากระเป๋าเอกสารมาส่งให้พี่เนมเหมือนอย่างทุกๆ วัน ส่วนตัวผมเองก็ให้ลุงชมไปส่งเหมือนทุกที
“วันนี้ไปเที่ยวกันไหมเพื่อนนนน” ตอนนี้ผมอยู่ที่มหาลัยครับ และซันก็เป็นคนเอ่ยปากชวนทุกคนในกลุ่มไปเที่ยว เมื่อเราได้รู้จักกันนานเข้า ความสุภาพที่เรียบร้อยที่เคยมีก็หายไป และแสดงความเป็นตัวเองออกมากันเต็มที่ เมื่อซันชักชวนให้ไปเที่ยวจนผมอดที่จะถามมันไม่ได้
“จะไปเที่ยวไหนอะ”
“ไปดูหนังเว้ย เนี้ยมีหนังใหม่พึ่งเข้าโรง เมื่อ 2-3 วันก่อนนี้เอง เรต 18+ ด้วยนะเว้ยยย” ไอ้ซันพูดแล้วทำหน้าฟิน เมื่อพูดถึงหนังเรตการฉาย 18+
“เรื่องอะไรวะ” เบสถามอย่างสนอกสนใจ เมื่อพูดถึงเรื่องทะลึ่งตึงตัง
“เนี้ยๆ เรื่องนี้” ซันพูดแล้วเปิดภาพบนหน้าจอที่ถูกรีวิวเป็นจำนวนมากในโลโซเชียล
“เนื้อเรื่องน่าสนนะเว้ย ผู้หญิงคนหนึ่ง รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง กำลังจะตาย แมร่งทำทุกอย่างก่อนตายร่วมถึงมี SEX ด้วย เขาบอกว่ามีอะไรกันจริงด้วยนะโว้ยยยย น่าดูฉิบหาย” เมื่อผมได้ฟังเนื้อเรื่องก็พานให้คิดถึงหนังที่ได้ดูไปเมื่อวาน
“อ่อ กูคงไม่ดูนะ พวกมึงไปเหอะ” ผมบอกพวกเพื่อนๆ ไป มันก็หันมาทำหน้างงกันใหญ่
“อะไรวะ ไปกับพวกกูดิ” ซันหันมาโวยวายอย่างไม่ยอม ตามตื๊อจะให้ไปด้วยกันให้ได้
“เออ อะไรวะ ทิ้งเพื่อนหรอมึง” วุฒิเป็นคนพูดขึ้นมาบ้าง เมื่อผมโดนเพื่อนรุมทึ้ง โวยวายน้อยอกน้อยใจ อย่างกับผมเลิกคบพวกมัน เมื่อทนความรำคาญไม่ไหว ก็เลยตัดรำคาญยอมตกลงไปกับพวกมัน
“เออ ไปก็ได้ว่ะ พวกมึงแมร่ง”
“เยส!!!” พวกมันดีใจร้องโวยวายกันยกใหญ่ เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมก็โทรศัพท์ไปบอกพี่เนมทันทีว่าวันนี้อาจจะกลับดึก ไม่ต้องให้ลุงชมมารับ เพราะคงจะให้เพื่อนไปส่งที่บ้าน พี่เนมก็ถามนิดหน่อยว่าจะไปไหน ทำอะไร ผมก็ตอบไปตามความจริง นอกจากนี้ยังบอกพี่เนมด้วยว่าผมเตรียมเมนูให้ป้านุ่มแล้ว พี่เนมสบายใจได้ว่าจะไม่ได้ทานข้าวเย็น พี่เนมก็หัวเราะนิดหน่อยแล้ววางสายไป
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน พวกผม 4 คนก็เดินทางออกจากมหาลัย โดยใช้รถของไอ้วุฒิในการเดินทาง พวกผมไปห้างใกล้ๆ มหาลัยนั่นแหละครับ ซึ่งก็คือห้างเดียวกันกับที่มากับพี่เนมเมื่อวาน พวกเราเลือกรอบฉาย แล้วก็ที่นั่ง เมื่อได้ตั๋วหนังแล้วเราก็พาไปกันไปซื้อน้ำกับขนมอีกนิดหน่อย ก่อนจะพากันเข้าโรงหนัง เมื่อหนังเริ่มฉายผมก็ไม่ค่อยจะตั้งใจดูสักเท่าไหร่ ก็ผมดูไปแล้วนี่น่า ผมก็รู้เนื้อเรื่องหมดแล้วน่ะสิ เมื่อถึงจุดพีคที่ฉายเรต 18+ ออกมา ผมก็ได้ยินเสียงพึมพำที่ด้านข้าง จนต้องหันไปมอง
“อู้ยยยยย ซี้ดดด” ไอ้เบส
“แมร่งงงงง” ไอ้วุฒิ
“ปวดไปหมดแล้วกู” ไอ้ซัน ไอ้พวกนี้มันครางจนผมถึงกับอาย คนรอบข้าง ไม่พอ มือของแต่ละคนมาจับ ขย้ำเป้าของตัวเองไปมา เหมือนกันว่าอยากเต็มที่ ซึ่งทำให้ผมไม่กล้าหันไปมอง แต่ใจกลับห้วนไปคิดถึงเมื่อวาน ที่พี่เนมบ่นว่าผมพาเขามาทรมาน ผมว่า ผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะครับ กว่าจะผ่านช่วงนี้ไปได้ ไอ้พวกนี้ก็แทบจะทนไม่ไหว เมื่อจบฉาก 18+นี้ มันก็พากันชักแถวไปเข้าห้องน้ำเป็นพรวน ส่วนตัวผมก็เฉยๆ นะ ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่แล้ว ผ่านไปสัก 15 นาที พวกมันก็พากันเดินกลับมา ดูโล่งสบายกว่าตอนแรกที่ออกไปมาก
“มึงตายด้านรึเปล่าวะไอ้นาย” ไอ้ซันมันหันมาถามผม เนื่องจากผมไม่ได้ลุกไปช่วยตัวเองแบบพวกมัน
“เออ กูเคยดูแล้วเลยเฉยๆ ว่ะ” ผมกระซิบตอบมันไป
“เอ้า ไม่บอกกูวะ” มันหันมาบ่นผมจนผมมองบนใส่
“ก็กูบอกแล้วว่าไม่มา พวกมึงอะ บังคับกู”
“เออ ก็ได้ พวกกูผิดเอง ไอ้ห่า” มันว่าจบแล้วหันไปดูหนังต่อ จนหนังดำเนินมาถึงท้ายๆ เรื่อง ช่วงที่นางเอกตายและเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้ ทำให้ผมนึกถึงตัวเองที่ร้องไห้ฟูมฟาย จนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าพวกมันจะเหมือนผมไหมจึงหันไปมองเพื่อนๆ ด้านข้าง
“อุ้บส์ ฮะ ฮะ” เมื่อผมหันไปเห็น ผู้ชาย 3 คนนั่งน้ำตานองหน้า น้ำตาหยดติ๋งๆ ไหลมาตามคาง เนื่องจากอินกับหนังมากเกินไป จนผมเผลอหลุดหัวเราะออกไป และกลั้นหัวเราะเต็มที่
“หัวเราะอะไรมึง ตลกมากรึไง ฮึก ฟื้ดดด” ไอ้ซันมันหันมาด่าผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“เออ ตลก ฮะๆ” ผมพูดแค่นั้นแล้วไม่ได้กวนพวกมันอีก จวบจนหนังจบ พวกมันนั่งปาดน้ำตาทิ้งกันคนละทีสองที
“พวกมึงแมร่ง ร้องไห้อย่างกับตุ๊ด ควายยย” ผมอดที่จะด่าพวกมันไม่ได้ เมื่อร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ
“ทำอย่างกับ มึงไม่ร้องงั้นแหละ ฮึก ฮึก” ไอ้เบสย้อนถามผมกลับเสียงปนสะอื้น จนทำให้นึกถึงตัวเองที่ร้องไห้จนต้องซุกอกพี่เนมเพื่อซ่อนน้ำตา
“เออ ร้อง พวกมึงแมร่ง” ผมด่าพวกมันก่อนจะเดินนำหน้ากลุ่มไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน ซึ่งขณะนี้เป็นเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ
เมื่อถึงลานจอดรถก็พบรถที่คุ้นตาจอดอยู่และมีคนยื่นพิงประตูรถก้มหน้ากดโทรศัพท์อย่างเท่และกระชากใจสาวๆ ได้ รวมถึงใจผมด้วย
“หู้ยยยยย ไอ้เหี้ยยย รถอย่างเท่ แม่งยังหล่อสัสอีก ดับราศีกูหมดแล้วววว” ไอ้ซันโวยวายกระซิบเสียงเบา แต่คำว่าหู้ยของมันก็เรียกคนที่ยืนพิงรถอยู่ให้หันมามองได้ คนๆ นั้นเงยหน้าขึ้น แล้วส่งยิ้มกระชากใจมาให้จนใจผมกระตุก
“มึง ไอ้ซัน ดังไปละสัส พี่เขาได้ยินเห็นมั้ยมึง” ไอ้เบสยื่นมือไปตบหัวไอ้ซัน ที่กำลังจะนำตีนเข้าหากลุ่ม จนไอ้ซันลูบหัวตัวเองปอยๆ
“กูว่าเขาจะรู้เพราะมึงพูดนี่ละ ไอ้ห่า” จบคำไอ้ซัน คนๆ นั้นก็เดินตรงมาทางพวกเรา ทำให้เรามองหน้ากันเลิกลัก ยกเว้นผมที่รู้ว่าเขามาทำไม
“จะกลับเลยไหม”

























































