บทที่ 3 สาเหตุที่มา

“อืม ไว้ตอนเย็นผมจะเข้ามาดูคุณอีกที” พี่เนมบอกไว้แค่นั้นแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อผมอยู่คนเดียว ผมก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับเหตุการณ์ที่ผมได้พบเจอมา

ผมเจ้านายครับ ชื่อจริง เจ้านาย พัชรวิทิต อายุ 18 ครับ แม่ของผมบอกว่าพ่อผมตั้งชื่อนี้ให้เพราะผมจะได้เป็นเจ้าคน นายคน ส่วนนามสกุลก็แปลว่า ผู้มีความรู้และแข็งแกร่งดั่งเพชร พ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กครับ ผมยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำให้ผมอาศัยอยู่กับแม่แค่ 2 คน บ้านเรามีสถานะกลางๆ ไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้รวยอะไรขนาดนั้น แต่เราก็ประคับประคองให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน เรามีบ้านหลังเก่าๆ แค่เพียงพอให้อยู่อาศัย หลายคนอาจจะสงสัยว่าผมจะไปทำอะไรที่สุสานวัดนาไพร พ่อของผมถูกฝังอยู่ที่นั่นครับ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้ผมต้องไปที่นั่น

แม่ของผมถูกฆ่า แม้จะไม่ใช่ต่อหน้าต่อตา แต่ผมก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น วันนั้นผมกลับมาจากการสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัย ผมเห็นรถยนต์ที่ไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้าน แม่ของผมคุยกับผู้ชายใส่สูทชุดดำ 2 คน ดูคล้ายกับกำลังโต้เถียงอะไรบางอย่าง และผู้ชาย 2 คนนั้นก็ลากแม่ของผมเข้าบ้านไป เมื่อผมเห็นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปภายในบ้าน ขณะนั้นผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ทำให้ผมรีบวิ่งเป็นเท่าตัว ชาย 2 คนนั้นขึ้นรถ และขับรถออกไปแล้ว พร้อมๆกับที่ผมไปถึงบ้านพอดี แม่ของผมหายใจรวยรินอยู่บนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด ที่ไหลออกมาจากบริเวณช่องท้องและช่วงอก

“แม่!!!! แม่อย่าเป็นอะไรนะ แม่อย่าทิ้งผมไป อยู่กับผม อย่าทิ้งผมไป!!!” ผมกอดแม่ไว้แนบอกและพร่ำร้องบอกให้แม่อยู่กับผม อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว น้ำตาของผมนองหน้าจนมองแทบไม่เห็น ผมไม่เคยมีความกลัวเกิดขึ้นในใจขนาดนี้ ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเท่านี้ ผมกลัวว่าแม่จะทิ้งผมไป ผมไม่อยากให้ท่านไป ไม่อยาก...

“นะ นะ นาย ฟังแม่นะลูก ไป อึก ไปหาพ่อ ที่สุสานนั้น เปิดแผ่นหินออก แค่กๆ แม่คงอยู่กับหนูไม่ได้แล้ว แค่กๆ แม่ยังไม่ได้บอก ไม่ได้บอก แค่กๆ อึก แค่กๆ” ผมได้แต่กอดแม่ และจับมือของแม่เอาไว้ ผมไม่อยากให้ท่านฝืนพูดอะไรอีก ผมกลัวว่าท่านจะไม่ได้อยู่กับผม

“ฮืออออ แม่ไม่ต้องพูดแล้วนะ ฮือออ ผมจะพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่อดทนก่อนนะ ฮึบ” ผมพูดพร้อมกับพยายามจะอุ้มแม่ขึ้นมา ผมจะพาแม่ไปโรงพยาบาลให้ได้ ผมให้แม่ขี่หลังผมและเริ่มเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปทางประตู

“แค่กๆๆ นะ นาย ไม่ทันหรอกลูก อึก แม่รู้ว่าแม่ไม่ไหวแล้ว นะ นายต้องอยู่ อยู่ให้ได้ ตะ ต้องเป็น ผู้มีความรู้ และ และ อึก และแข็งแกร่งดั่งเพชร แค่กๆ แม่รัก แม่รัก ระ” เสียงของแม่ผมขาดหายไปพร้อมๆกับมือที่ตกลงด้านข้าง ทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้เดินออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ

“แม่ แม่ แม่!!! แม่ตอบผมสิ! ฮืออออออออออออ อย่าทิ้งผมไป อย่าทิ้งผมไว้ ไม่!!! อย่าทิ้งผม ฮืออออออออออ” ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากแม่ของผม แม่ของผมท่านได้จากไปแล้ว ผมไม่มีทางได้แม่ของผมกลับคืน พวกคุณลุงคุณป้าที่อยู่ข้างบ้านก็รีบเข้ามาดู เพราะตกใจกับเสียงปืนที่ดังขึ้น แต่มันไม่ทันเสียแล้ว แม่ของผมจากไปแล้ว และท่านจะไม่กลับมาหาผมแล้ว

ผมได้พวกคุณลุงคุณป้าช่วยในการจัดงานศพของแม่ผม งานที่จัดเป็นไปอย่างเรียบง่าย และไม่ได้สวดหลายคืนเท่าไหร่ เราไม่มีญาติที่ไหน จึงมีคนไม่กี่คนที่มาฟังสวดศพ ผมเองไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ผมนอนอยู่ที่วัดเป็นระยะเวลาตลอด 3 วัน 3 คืน นอนเฝ้าแม่ของผมและนอนร้องไห้ทุกคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำลายความสดใสที่ผมเคยมีติดตัวมาตลอดหายไปจนหมดสิ้น เมื่อผ่านพ้นงานศพของแม่ผมไปแล้ว ผมก็กลับบ้านไปจัดการบ้านที่รกเละเทะ และยังมีคราบเลือดของแม่ผมอยู่ ผมเริ่มลงมือทำความสะอาด เช็ดคราบเลือดนั้นออก ยิ่งเช็ดน้ำตาผมยิ่งไหล จนในที่สุดผมทนไม่ไหวและนอนร้องไห้อยู่ตรงคราบเลือดของแม่จนหลับไป เมื่อผมตื่นขึ้นมาทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม ผมรวบรวมสติและเริ่มเก็บกวาดอีกครั้ง กว่าจะกลั้นใจทำให้มันเสร็จไปได้ ผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลอีกต่อไป มีเพียงความนิ่งเงียบและซึมเศร้าที่ถูกแสดงออกมา ผมนั่งทบทวนคำพูดของแม่ ที่ให้ออกไปหาพ่อที่สุสาน ไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน...

เช้าวันถัดมาผมก็เดินทางไปที่สุสานตามที่แม่บอก แต่ระยะทางค่อนข้างไกล ผมไม่มีเงินพอที่จะไปและกลับทำให้ผมต้องเผื่อเงินสำหรับขากลับด้วย ผมจึงเลือกนั่งรถครึ่งทาง และเดินเท้าอีกครึ่งทาง ผมไม่ได้ทานข้าวเลยตลอดทั้งวัน เมื่อต้องมาเดินเท้าระยะไกลแบบนี้ทำให้ผมจะเป็นลมเสียให้ได้ เพราะเดินติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนฟ้ามืด และยังไม่หายเหนื่อยล้าจากการจัดงานศพให้กับแม่ของผม เมื่อผมคิดว่าจะไม่ไหวแล้ว ผมก็เห็นรถยนต์ที่ขับผ่านมาในเวลากลางคืนเช่นนี้ ทำให้ผมรีบร้อนออกไปดักรถคันนั้นไว้ทันที ผมอยากจะขอติดรถเขาไปหาพ่อของผม ขณะที่ผมก้าวขาออกไป ฉับพลันสติของก็ดับวูบลงพร้อมๆกับเสียงเบรกของรถยนต์คันนั้นที่ดังลั่นถนน และผมก็ไม่ได้รับรู้อะไรอีกเลย

เมื่อผมตื่นมา ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล และเป็นห้องพักที่หรูหราเกินกว่าที่คนอย่างผมจะมีปัญญาเข้ามาพักได้ ผมมองไปรอบๆห้องไม่เห็นใคร จึงหันออกไปนั่งมองท้องฟ้าสีครามสดใสนอกหน้าต่างนั้น นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้นั่งดูท้องฟ้าแบบนี้ ผมมองก้อนเมฆหลากหลายรูปแบบที่ค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างช้าๆ ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู จึงผินหน้ากลับไปมองที่หน้าประตู ทำให้เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำสนิท คิ้วหนา ดวงตาคมคาย จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากหนาเป็นรูปกระจับ สวมชุดสูท เรียบหรู เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยรวมที่เป็นเขาเรียกได้ว่าดูดี หล่อ และมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ผมว่าผมเคยเจอคนแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน จึงเผลอจ้องเขานานเกินไป และเขาก็กำลังมองสบตากับผมอยู่ เขาเดินนำของที่ซื้อเข้ามาไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าประตู แล้วนั่งลงบนโซฟารับแขก และเอ่ยทักขึ้น

“เป็นยังไงบ้าง” เสียงของเขานุ่มทุ้มน่าฟัง จากการพูดคุยในวันนี้ จึงทำให้ผมรู้จักเขา ชายที่ชื่อเนม ผู้ที่ช่วยชีวิตผมไว้

ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานก็ผล็อยหลับไป เนื่องจากความอ่อนเพลียของร่างกาย และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเย็นของวัน เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็พบอาหารและยาที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ จึงเริ่มลงมือทานข้าวเย็นเงียบๆ ก็ไม่มีใครอยู่ในห้องนี่น่า ผมทานไปได้สักครึ่งจาน หน้าประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น ผมจึงเอ่ยปากอนุญาตให้เข้ามาได้

“เชิญครับ”

แกร็ก แอดดดดด

เป็นพี่เนมนั่นเองครับที่มา ผมเงยหน้าและส่งยิ้มให้ ก่อนจะยกมือขึ้นสวัสดีพี่เนม

“สวัสดีครับ พี่เนม”

“อืม ทานข้าวอยู่ใช่ไหม งั้นนี่คงไม่จำเป็นแล้ว” พี่เนมพูดขึ้นพร้อมกับชูถุงอาหารที่พกพามาด้วย

“อ่อ ผมทานได้ครับ”

“อืม” พี่เนมพูดแล้วนำอาหารไปจัดใส่จานและวางไว้ตรงหน้าของผม รวมกับอาหารของโรงพยาบาล

“เป็นยังไงบ้าง” พี่เนมถามขณะที่เรากำลังทานข้าวอย่างเงียบๆ

“ดีขึ้นแล้วครับ ได้นอนพักไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกดีขึ้นมากแล้วครับ”

“อืม” พี่เนมพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้าทานอาหารต่อ เมื่อทานเสร็จพี่เนมก็นำจานไปล้างและเก็บเข้าชั้นตามเดิม และนั่งรออยู่ที่โซฟาเฉยๆ ท่าทางของพี่เนมดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เพราะคอและหลังของพี่เนม แนบพิงไปกับพนักพิงของโซฟาอย่างรอคอย ด้วยความสงสัยผมจึงเอ่ยปากถามออกไป

“เหนื่อยมากไหมครับ จริงๆพี่เนมไม่ต้องแวะมาหาผมก็ได้นะครับ ผมเกรงใจ”

“อืม นิดหน่อย”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เชิญ”

“ไงมึง” คุณหมอคนเมื่อเช้าเดินเข้ามาและทักทายพี่เนมอย่างเป็นกันเอง

“เออ ว่ามา”

“ก็ไม่มีอะไรแล้ว อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พรุ่งนี้เช้ากลับบ้านได้” คุณหมอตอบพี่เนมก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม ผมว่าเพื่อนๆพี่เนมต้องหล่อหมดทุกคนแน่ๆเลย เขาถึงบอกว่าคนแบบเดียวกันถึงจะคบกันได้

“อืม กูนัดไอพวกนั้นแล้ว เป็นช่วงสิ้นเดือนนี้ วันที่ 28 มึงเคลียร์คิวไว้เลย” พี่เนมพูพร้อมกับลุกขึ้น และทำท่าจะเดินออกจากห้องไป

“เออๆ เดี๋ยวกูหาคนมาเข้าเวรแทนก่อนแล้วกัน ผับของไอ้ต้องใช่ไหม ที่เดิมใช่ป่ะ”

“เออ ที่เดิม คุณอยู่ได้ใช่ไหม” พี่เนมบอกกับเพื่อนของเขา ก่อนจะหันมาถามผม

“ครับ จะกลับแล้วใช่ไหมครับ สวัสดีครับ” พี่เนมไม่ได้พูดอะไร แต่พยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จึงทำให้ผมรู้สึกง่วงนิดๆ ผมล้มตัวลงนอนและปล่อยใจให้ล่องลอยคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ อ่า ทำไงดี ผมคิดถึงแม่จัง หยดน้ำตากลิ้งตามแก้มผมลงมาและหยดลงไปบนหมอนที่ผมหนุนนอนอยู่ ผมหลับตาลงช้าๆและเข้าสู่ห้วงนิทราไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป