บทที่ 8 เปิดเทอมวันแรกและออกงานครั้งแรก
วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ พี่เนมบอกว่าไม่ต้องปลุกและไม่ต้องคิดเมนูอาหาร ทำให้ผมนอนยาวได้อย่างสบายใจ แต่ก็ไม่มากหรอกครับ ผมตื่นมาในเวลา 7 โมงเช้าของวัน อาบน้ำแต่งตัว แล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำกับข้าวแทน จนถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่เห็นพี่เนมออกมาจากห้อง ผมเลยเดินไปปลุกพี่เนมภายในห้องเพื่อให้มาทานอาหารเช้า แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครอยู่ในนั้น แถมเตียงนอนก็ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย จึงออกเดินตามหาภายในบ้าน ผมเดินเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จนเริ่มจะปวดขาหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอพี่เนมสักที ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ มา จึงเดินตามเสียงเพลงนั้นไป จนสุดท้ายผมก็มาพบพี่เนมอยู่ที่ห้องออกกำลังกาย พี่เนมกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง หันหน้าไปทางสระน้ำ ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงบอล รองเท้าผ้าใบ และผ้าผืนบางพาดอยู่ที่ต้นคอ ห้องนี้เปิดเพลงดังมากและมันมาก คิดว่าคงเพื่อปลุกใจในการออกกำลังกาย ผมส่งเสียงเรียกพี่เนมอยู่ สอง สาม ครั้ง แต่คนตรงหน้าดูท่าว่าไม่ได้ยินสักนิด ผมจึงเดินไปที่เครื่องเล่นเพลง และกดหยุดมัน จนทำให้พี่เนมหันมามอง พี่เนมยอมหยุดวิ่งยืนรออยู่กับที่พร้อมๆ กับผมที่เดินเข้าไปใกล้
“พี่เนม ถึงเวลาอาหารเช้าแล้วครับ”
“กี่โมงแล้ว” พี่เนมถามแล้วยอมลงมาจากลู่วิ่ง หยิบผ้าที่พาดอยู่ที่คอมาเช็ดเหงื่อไคลตามตัว ก่อนจะออกเดิน
“ตอนนี้ 9โมงครึ่งครับ พี่เนมมาออกกำลังกายทุกวันเสาร์ อาทิตย์หรอครับ” ผมถามขณะเดินตามพี่เนมไปพลางๆ เพื่อจัดตารางเวลาของพี่เนมไว้ในหัวคร่าวๆ ให้รู้ว่าแต่ละช่วงเวลาพี่เนมจะไปที่ไหนบ้าง
“เปล่าหรอก ฉันจะออกกำลังกายตอนเช้ากับตอนเย็นวันเสาร์ ส่วนระหว่างวันก็จะพักผ่อนดูรายการทีวี ข่าวสารธุรกิจ อ่านหนังสืออะไรพวกนั้น ส่วนวันอาทิตย์ฉันจะอยู่ที่ห้องทำงานทั้งวัน” พี่เนมตอบกลับมาเหมือนรู้ว่าผมถามเพื่ออะไร ผมก็พยายามจดจำให้มากที่สุด อืมมมมม พี่เนมออกกำลังกายทั้งเช้าและเย็นวันเสาร์ มิน่า ถึงได้มีหุ่นที่เพอร์เฟคขนาดนี้ สงสัยผมคงต้องหาเวลามาออกกำลังกายพร้อมกับพี่เนมบ้าง จะได้มีหุ่นกระชากใจสาวๆ เหมือนพี่เขา
เมื่อเดินมาสักพัก เราก็มาถึงห้องทานอาหาร และเริ่มทานข้าวกัน เมื่อทานเสร็จพี่เนมก็ไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วลงมานั่งดูรายการทีวีซึ่งผมก็นั่งอยู่ข้างกัน แต่บอกเลยครับว่า ผมดูไม่รู้เรื่องเลย เพราะรายการทีวีที่พี่เนมบอก มันไม่ใช่หนัง เพลง หรือรายการตลกแต่อย่างใด กลับเป็นตลาดหุ้นและข่าวสารต่างประเทศ เป็นภาษาอังกฤษบ้าง ไทยบ้าง หรือรายการแนะนำโรงแรม รีสอร์ต แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เทคโนโลยีล้ำหน้า อะไรเถือกนั้น ผมก็นั่งดูอยู่ข้างเขา แต่กลับไม่รู้เรื่องสักนิด จนเผลอหลับไปบนโซฟานั่นแหละครับ
ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ที่รู้คือผมโผล่มาอยู่ที่เตียง ก็คงจะเป็นพี่เนมที่พาผมขึ้นมา ผมหันไปมองนาฬิกา พบว่ามันบ่าย 3 แล้ว จึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำอาหารเย็น เมื่อทำอาหารเย็นเสร็จผมก็กำลังจะออกไปตามพี่เนมมาทานข้าวด้วยกัน พี่เนมก็เดินเข้าห้องทานอาหารมาพอดี เราจึงเริ่มทานอาหารกันเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
“พี่เนมครับ ใครเป็นคนพาผมไปนอนที่ห้องหรอครับ” ผมเอ่ยถามพี่เนมอย่างสงสัยนิดๆ คือผมก็รู้แหละว่าต้องเป็นพี่เนมแน่ๆ ที่พาผมไปนอน แต่การพาไปของเขาเนี้ย พาไปยังไงทำไมผมถึงไม่ตื่น
“ฉันเอง” พี่เนมตอบแล้วสบตามองผม ทำให้ผมอดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ ผมรู้ว่าหน้าผมมันแดงขึ้นเรื่อยๆ อยากจะเอ่ยปากถามออกไปมาก ว่าพี่พาไปยังไงครับ ทำไมผมไม่รู้สึกตัวเลย แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะถาม
“ขอบคุณครับ” ผมบอกขอบคุณพี่เนมเบาๆ และก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อไป เมื่อทานเสร็จก็แยกย้าย จนเวลา 3 ทุ่มผมก็นำนม น้ำ และเครื่องดื่มบำรุงสมองมาให้พี่เนมอย่างเคย เมื่อวางของทุกอย่างเสร็จก็บอกฝันดีพี่เนมและกำลังจะเดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยว” พี่เนมเรียกผมไว้ ทำให้ผมหันกลับมามองเขา
“พรุ่งนี้เวลา 10 โมงเช้า เตรียมตัวออกไปซื้อของกับฉัน”
“ซื้ออะไรครับ” ผมถามแล้วทำหน้างง ก็ของที่จำเป็นต้องใช้ พี่เนมก็ซื้อให้ผมครบหมดแล้ว ยังมีอะไรที่ขาดไปอีก
“ชุดนักศึกษา นายยังไม่มี วันจันทร์ก็เปิดเทอมแล้ว”
“อ้อ เข้าใจแล้วครับ” ผมบอกแล้วพยักหน้าหงึกๆ บอกฝันดีพี่เนมอีกครั้งก่อนจะกลับมานอนที่ห้องของตัวเอง
เช้าวันถัดมาตามเวลาที่พี่เนมบอกไว้ครับ 10โมงเช้าเราก็ออกจากบ้านกัน พี่เนมพาผมไปซื้อชุดนักศึกษา 7 ชุด ผมก็ถามว่าจะซื้อไปทำไมตั้ง 7 ชุด มันมีเรียนแค่ 5 วัน แต่ซื้อเสื้อผ้าไว้ 1 อาทิตย์ ผมก็ย่อมต้องไม่เข้าใจการกระทำของพี่เนมเขา จึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้
“ทำไมซื้อตั้ง 7 ละครับ ผมเรียนแค่ 5 วันเองนะ”
“เผื่อไปทำกิจกรรมที่มหาลัยวันเสาร์ อาทิตย์” พี่เนมบอกผมมาแค่นั้น ผมก็ไม่รู้หรอกครับ ว่ามหาลัยมันมีอะไรแบบนี้ด้วยไหม ก็ผมยังไม่เคยเข้าเรียนนี่ แต่ถ้าพี่เนมสั่งผมก็ไม่ขัดหรอกครับ ถึงผมจะดึงดันไม่เอา พี่เนมก็บังคับผมอยู่ดี
เราซื้อของเสร็จก็เกือบๆ เที่ยงครับ พี่เนมพาผมมาทานอาหารที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ผมก็กินไม่ค่อยเป็น มันมีแต่ของดิบๆ ปลาดิบๆ ผมกินลงไปได้ไม่กี่คำ ก็หันไปหาอันที่มันปรุงสุกแล้ว ไม่ปริปากบ่นอะไร ก็นะ พี่เขาพามาก็ดีแค่ไหนแล้ว อาหารมื้อนี้ผมทานไม่อิ่มหรอกครับ สงสัยกลับบ้านไปอาหารรอบเย็นคงจะโดนผมฟาดเรียบแน่ๆ เมื่อทานเสร็จเราก็เดินทางกลับบ้านกัน พี่เนมให้ป้านุ่มเอาเสื้อผ้าของผมไปซักทำความสะอาด และให้เด็กรีดผ้าเตรียมไว้ให้ผม สำหรับวันเปิดเทอมวันแรก พอตกเย็นถึงเวลาอาหารก็เหมือนเดิมครับ ทานเสร็จก็แยกย้าย ก่อนนอนผมก็เตรียมเครื่องดื่มชุดเดิมให้พี่เนม ก่อนจะกลับมาที่ห้อง อืมมมมม ตื่นเต้นจังเลย
เช้าวันถัดมาเป็นวันแรกที่ผมเปิดเรียน ผมก็ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนทุกที และพี่เนมก็ทำให้ผมใจสั่นทุกทีที่เข้าไปปลุก ผมว่าผมคงจะเป็นโรคหัวใจตายเพราะพี่เนมนี่แหละครับ หลังจากนั้นเราก็ทานข้าวเช้าและเก็บข้าวของออกจากบ้านพร้อมกัน พี่เนมขับอเวนทาดอร์ออกไป ผมก็ขึ้นรถให้ลุงชมไปส่ง เมื่อไปถึง ก็มีพวกพี่ๆ โหวกเหวกโวยวาย เรียกน้องๆ ในคณะให้เข้าไปรวมตัว ผมพึ่งมาเป็นครั้งแรก ก็เลยยังไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน ใช้เวลาเดินหาอยู่สักพัก ถามทางคนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มายืนอยู่หน้าตึกคณะของตัวเอง เห็นพวกพี่ๆ กำลังเรียกน้องๆ ให้เข้าไปนั่งในแถวเพื่อพาเดินรอบมหาลัยและแนะนำตึกเรียนแต่ละจุดให้ ผมก็เข้าไปต่อแถว ลงชื่อ แล้วนั่งรอ คนที่มานั่งต่อผมสะกิดผมเบาๆ ผมจึงหันหน้าไปเป็นเชิงถาม
“มาใหม่หรอ ทำไมตอนรับน้องไม่เคยเห็นหน้า” คนตรงหน้าผม มีผมสีส้มออกน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาคม
คิ้วเข้มพาดเฉียง หน้าเรียวได้รูป นับว่าหล่ออยู่เอาการ
“อื้อ พอดีพึ่งย้ายมาน่ะ เลยมาไม่ทันช่วงรับน้อง” ผมตอบกลับไป ก็นะ ผมอยู่กับพี่เนมอาทิตย์เดียวเอง
“อ้อ ฉันชื่อซันนะ นายล่ะ”
“ผมนายครับ” คนตรงหน้าแนะนำตัวแล้วถามผมกลับ ผมก็แนะนำตัวไปตามมารยาท
“อยู่เซคไหน”
“อืม A อะ” ผมก้มดูตารางเรียนของตัวเอง ก่อนตอบออกไป
“เออ เซคเดียวกัน ดีๆ” ซันบอกได้แค่นั้น เราก็ถูกรุ่นพี่บอกให้ลุกขึ้น เพื่อพาน้องๆ ไปส่งตามตึกเรียน เมื่อมาถึงแล้วก็เริ่มต้นการเรียน ทำให้ผมรู้ว่าซันมีกลุ่มเพื่อนอยู่แล้ว เจอกันตั้งแต่รับน้อง ผมเลยถูกดึงเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้น ในกลุ่มมีด้วยกัน 4 คน คือ ซัน เบส วุฒิ และ ผม เรานั่งเรียนด้วยกัน ทานข้าวพร้อมกัน พอเรียนเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็แนะนำการคิดคะแนน หัวข้อเรื่องที่ต้องเจอ เนื้อหาที่เรียน แล้วปล่อย เพราะฉะนั้นวันนี้จึงไม่มีอะไรมากนัก เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนลุงชมก็ขับรถมารับผมกลับบ้าน พอมาถึงผมก็อาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าครัวไปช่วยป้านุ่มทำอาหาร
เวลาราวๆ 1 ทุ่มครึ่งพี่เนมก็กลับบ้านมา สั่งจัดโต๊ะแล้วขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เป็นปกติ ระหว่างทานอาหารก็ถามเรื่องวันนี้ว่าเปิดเทอมวันแรกเป็นยังไงบ้าง ผมก็ตอบไปตามความจริง หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อน พี่เนมก็ให้โทรศัพท์และโน๊ตบุ๊กผมไว้อย่างละ 1 เครื่อง เพื่อใช้ในการติดต่อกันหรือทำงานส่งอาจารย์ รวมถึงการติดตามข่าวสารในกลุ่มเพื่อนๆ ชีวิตของเราดำเนินมาเรื่อยๆ ผ่านไปประมาณ 2 เดือนกว่า จนถึงช่วงเย็นของวันหนึ่ง พี่เนมโทรมาบอกผมว่าไม่ต้องเตรียมทำอาหาร และให้ผมแต่งชุดออกงาน ซึ่งเป็นชุดสูทแบบทั่วไป แล้วจะมารับตอน 1 ทุ่ม ผมก็งงว่าพี่เนมเขาจะให้ผมไปทำไม แต่ก็ยอมแต่งตัวออกมานั่งรอพี่เนมแต่โดยดี
เมื่อถึงเวลา 1 ทุ่มตรงพี่เนมก็มารับผมออกไปงานเลี้ยง พี่เนมบอกคร่าวๆ ให้ผมฟังว่าเป็นงานเลี้ยงของเพื่อนร่วมธุรกิจ หรือจะบอกอีกแง่ก็คือคู่แข่งกัน แต่ก็ไปร่วมไว้เป็นมารยาท เนื่องจากเป็นการครบรอบการก่อตั้งบริษัท จึงเชิญแขกเข้าร่วมมากมาย ประจวบกับที่ผมทำงานเป็นเลขาส่วนตัวและเรียนคณะบริหาร เลยให้ผมมาลองฝึกการเข้าสังคมไว้พลางๆ เมื่อเรามาถึงงานก็พบว่างานถูกจัดอยู่ในโรงแรมหรูหราตระการตา พี่เนมกับผมเดินเคียงคู่กันเข้างาน เจ้าของงานก็ออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี
“สวัสดีครับคุณนภา ไม่เจอกันนานนะครับ สุขภาพแข็งแรงดีไหมครับ” พี่เนมยกมือสวัสดีคนที่มีอายุมากกว่า ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ 60 กว่าๆ หากแต่ยังสวยสง่า และยังดูกระฉับกระเฉง
“สวัสดีค่ะคุณวรวิทย์ สุขภาพของฉันไม่ค่อยดีหรอกค่ะ อายุก็มากปูนนี้แล้ว ฮะๆ เจ้าลูกชายตัวดีของฉันนี่สิคะ บังคับให้มาออกงาน พบปะผู้คนเสียบ้าง”
“แต่ก็ยังดูสวยสง่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”
“แหม คุณวรวิทย์นี่เอาใจคนแก่เก่งจริงนะคะ ฮะๆ ว่าแต่คนข้างกายนี่ใครหรอคะ” เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอ หญิงชราตรงหน้าก็เลื่อนสายตามายังผมที่ยืนข้างพี่เนม แต่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ เพราะไม่อยากรบกวนการทักทายนี้
“เขาชื่อ เจ้านาย พัชรวิทิต ครับ เขาเป็นเลขาส่วนตัวของผมเอง อายุยังน้อยอยู่ เลยพามาเปิดหูเปิดตา จะได้ฝึกฝนการเข้าสังคม หากเขาปล่อยไก่อะไรไป หวังว่าคุณนภาคงจะไม่ถือนะครับ” พี่เนมพูดแนะนำผมและยกยิ้มนิดๆ
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนอายุมากกว่าอย่างไม่เกี่ยงงอน คุณนภาขมวดคิ้วนิดๆ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น และส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้
“จ้าๆ ไหว้พระเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ” พี่เนมพูดขอตัวก่อนจะผละจากหน้าประตูทางเข้า เพื่อมานั่งภายในห้องจัดเลี้ยง ที่มีชื่อบริษัทแต่ละบริษัทกำกับอยู่บนโต๊ะ
“เขาคือใครหรอครับ” ผมเอ่ยปากถามอย่างสงสัย หากเจ้าของงานนี้เป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันจริง ทำไมการทักทายเมื่อกี้ถึงดูสนิทสนมขนาดนั้นกันนะ
“เมื่อกี้คือ คุณหญิงนภา เดชพิมุกต์ อดีตเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโอแกรนวิลล์ แต่ตอนนี้วางมือแล้วปล่อยให้ลูกชายเขาดูแลแทน คุณหญิงนภามีลูกชาย 2 คน แต่คนพี่ด่วนจากไปก่อน ทำให้คนน้องเป็นกรรมการผู้จัดการแทน แต่ก็บริหารได้ไม่เก่งเท่าคนพี่หรอกนะ บริษัทถึงได้ตกมาอยู่อันดับ 5 ของประเทศแบบนี้”
“แล้วบริษัทของพี่เนมอยู่อันดับที่เท่าไหร่หรอครับ” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะพี่เนมชอบบอกว่า ฉันรวย แต่ผมก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่เขาเลย
“ของฉันหรอ อันดับ 1 ของประเทศ” พี่เนมตอบกลับมาเสียงนิ่ง ไม่มีความตื่นเต้นดีใจแสดงออกมาให้เห็น หรือทำให้รู้สึกว่าโอ้อวดแต่อย่างใด อ่าาาาาาาาาา ผมเข้าใจแล้วล่ะที่พี่เขาชอบพูดว่า ฉันรวย เพราะเขารวยจริงๆ ละนะ หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟ พี่เนมสอนให้ผมรู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหาร สอนใช้มีด ช้อน ซ้อม ที่แตกต่างกัน แก้วไวน์แต่ละแบบ วิธีการจิบไวน์ เป็นต้น ซึ่งพี่เนมสอนมันให้เข้าใจได้ง่ายมาก พี่เนมมีวิธีการพูดอธิบายให้เข้าใจ และเรียบเรียงลำดับมาอย่างดี จนมาถึงการเรียนรู้ชนิดและรสชาติของไวน์แต่ละแบบ แต่เมื่อผมได้จิบบ่อยๆ เข้าทำให้ถึงกับทรงตัวไม่อยู่ ทั้งๆ ที่ลองไปเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
“นาย ไหวไหม” พี่เนมกระซิบถามอยู่ข้างใบหูของผม เมื่อเห็นว่าผมตาลอย และใบหน้าแดงก่ำ เนื่องจากพิษเหล้าที่กินเข้าไป
“โผ้มไหวคร้าบบบบบ” ผมตอบรับพี่เนมไป ผมรู้นะว่าผมเมา แต่ผมไม่ยอมรับหรอก
“พอแล้ว กลับบ้าน” พี่เนมพยุงตัวผมให้ลุกขึ้น แล้วพากันเดินออกจากงานไป เมื่อมาถึงรถ พี่เนมจับผมยัดเข้าไปแล้วเคลื่อนตัวออกจากงานด้วยความรวดเร็ว
.
.
.
“อื้มมมมมมมมมม ร้อน” ผมหันไปมองคนข้างกายที่ดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองออก ผมให้เจ้านายลองจิบไวน์หลายๆ แบบเพื่อเรียนรู้รสชาติว่าแต่ละชนิดแตกต่างกันยังไง คิดไม่ถึงว่าจิบที่ 4 ก็ทำให้เมาเสียแล้ว ผมเองก็ไม่คิดว่าเจ้านายจะคออ่อนขนาดนี้
“อดทนก่อน ฉันจะรีบพากลับบ้าน” ผมหันไปบอกคนข้างกาย ที่ตอนนี้ถอดเสื้อสูทออกจากตัวได้แล้ว และกำลังปลดเนคไท พร้อมเหวี่ยงทิ้งทันที ที่พ้นออกจากคอ ยังไม่พอมือเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก จนเห็นแผงอกขาวๆ และเม็ดเล็กสีชมพูบนตัว จนผมต้องเอื้อมมือไปจับไว้
“อย่าถอด เดี๋ยวไม่สบาย” ผมจับมือคนตัวเล็กไว้ ไม่ให้แกะกระดุมมากไปมากนี้ ซึ่งมันก็ได้ผล หากแต่คนตัวเล็กกลับดึงมือของผมไปสัมผัสตามหน้าตา พวงแก้ม ซอกคอ และจับยึดไว้ซุกในเสื้อของตน ทำให้ผมได้สัมผัสกับเม็ดเล็กๆ บนอกนั้น
“อื้ออออออออออออ เย็นจัง หอมด้วย” เจ้านายพูดแล้วเอาหน้ามาถูไถตามแขนของผมต่อ ผมกัดฟัน ฝืนทนความทรมานที่ตัวเองได้รับ จากการยั่วยุของคนตรงหน้า ผมมั่นใจว่าผมไม่ใช่เกย์ และชอบผู้หญิงจริงๆ แต่ทำไมกับคนตรงหน้านี้กลับทำให้ใจผมกระตุกได้ ทำให้ผมอยากสัมผัสเขามากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางออดอ้อนที่ถูกแสดงออกมาขณะมึนเมา เพียงแค่ไปสัมผัสเม็ดเล็กบนตัวเขา สัมผัสผิวเนียนนุ่มลื่นของเขา ไหนจะดวงหน้าน้อยๆ ที่คอยถูไถตามแขนแกร่งของผมอีก ทำให้แกนกายผมเริ่มแข็งขืน แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรกับผมมากมายนัก
“อดทนหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว” ผมบอกเจ้านายเสียงนิ่งที่สุดเท่าที่ผมจะควบคุมได้ แล้วเหยียบอเวนทาดอร์คู่กายมุ่งตรงกลับบ้านให้เร็วมากที่สุด เมื่อกลับมาถึง เด็กรับใช้ภายในบ้านก็เข้านอนกันหมดแล้ว แต่เปิดไฟตามไรทางเอาไว้เพื่อให้มองเห็นทางเดิน
คนข้างกายผมที่ตอนนี้แทบจะขึ้นมานั่งตักผมได้ บดเบียดตัวเองพักพิงกับแผงอกของผม ปากก็พูดพร่ำแต่คำว่าเย็นจัง หอมจัง จนผมแทบจะคุมสติไม่อยู่ เมื่ออดใจไม่ไหว ผมก้มหน้าลงไปจูบดูดดื่มกับคนร่างเล็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ปลายลิ้นของผมหยอกล้อกับลิ้นเล็กของเด็กไม่รู้ภาษา ที่พยายามจูบตอบกลับมา แต่ก็เป็นในแบบเงอะงะ ยิ่งปลุกอารมณ์ความต้องการของผมให้เพิ่มสูงขึ้น
“ฮืมมมมมมมมมมม” ผมคำรามในลำคออย่างอดไม่ได้ และยิ่งช่วงชิงลมหายใจจากคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
“อึก อาา” เมื่อคนร่างเล็กกำลังจะหมดลมหายใจ มือน้อยๆ ทุบอกผมระรัว เนื่องจากขาดอากาศหายใจ ผมจึงยอมผละถอยแต่โดยดี ผมลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปหาเจ้านายที่อยู่อีกฝั่งของประตู พาเจ้านายไปส่งที่ห้องนอน

























































