บทที่ 2 C.1 [ผมรู้พี่ก็ชอบ]

-Porchay-

“มองไปไกลที่ดวงดาวสุดขอบฟ้าไกล อยากจะไปไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ

ดวงดาราเหมือนไม่มีวันจะพบเจอ อยากให้เธอส่องแสงลงมาพื้นดิน ~”

ผมเปิดตู้แอมป์และคอมพิวเตอร์ดูคอร์ด และพยายามร้องเพลง ‘ก้อนหินละเมอ’ ที่ตอนนี้มันยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวของผม ไม่ใช่เพียงแค่บทเพลง ท่วงทำนองและจังหวะ แต่รวมถึงใบหน้าของผู้ชายคนนึงที่อยู่บนเวที ณ ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งความคาริสม่า หรือ เสน่ห์ดึงดูดที่น่าหลงใหลทำให้ผมไม่สามารถละสายตาออกจากคนผู้นั้นได้แม้แต่วินาทีเดียว ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววความลึกลับ ใบหน้าเข้ารูปกับทรงผมที่ยาวประบ่าแต่ถูกจัดแต่งทรงไว้อย่างดีช่างดูเรียบหรูแต่เต็มไปด้วยมวลพลังงานอันวิเศษที่สามารถสะกดผู้คนจำนวนมากให้หันไปสนใจเขาแต่เพียงผู้เดียว ความสูงร้อยแปดสิบกว่ากับสีผิวขาวเรียบเนียนนั่นนึกถึงทีไรก็ตราตรึงไม่จางหายไปไหน แล้วยิ่งเสียงที่เปล่งออกมาจากเรียวปากเป็นกระจับได้รูปมันช่างไพเราะเพราะพริ้งซะจนผมที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมาดูงาน

โอเพนส์เฮาส์เสียเท่าไหร่ กลับรู้สึกตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจขึ้นมาซะแบบนั้น หัวใจผมเต้นระรัวราวกับกลองชุด สมองผมถูกจูนติดดั่งสายกีตาร์ ความรู้สึกทุ้มเหมือนกับเบสจนแทบจะทะลุออกมา แล้วบทประพันธ์อันแสนหวานก็บรรเลงอยู่ในทั่วทุกโสตประสาทของผมอย่างช่วยไม่ได้ ให้ตายเถอะ! ผมโดนตกเข้าเต็ม ๆ แม่ง! คนบ้าอะไรวะ มันจะเพอร์เฟคไปทุกอิริยาบถขนาดนั้น จมูกรับกับใบหน้า ใบหน้ารับกับปาก ปากรับกับหน้าผาก หน้าผากรับไปยันตีนอ่ะ!!! คิดดู๊!!! นั่นคนหรือพระเจ้าวะ ให้ตายเถอะ...ขนาดผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วผมยังคงจดจำเสียงอันไพเราะและบุคลิกที่สุขุมนุ่มลึกที่น่าค้นหานั่นได้เป็นอย่างดี

เห้อ...เพ้อเจ้อฉิบหาย

ไม่เคยเชื่อเลยว่า ‘รักแรกพบ’ มีอยู่จริงจนกระทั่ง...วันนี้ผมเหมือนเดินเข้าไปตกหลุมพรางและเต็มใจที่จะกระโดดลงไปในกับดักนั่น รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้เขาเปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าแค่ไหน แล้วผมเป็นแค่ก้อนหิน...ที่ดูไม่ได้มีค่าอะไรแต่ผมก็อยากเป็นก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ที่อยู่บนดวงดาวนั้นจัง

เสียงร้องเพลงของเขาเสมือนมนต์คาถา ใบหน้า รูปร่าง และพลังภายในเปรียบเสมือนแรงดึงดูดมันช่างลงตัวจนตอนนี้ผมยังไม่สามารถสลัดเขาผู้นั้นออกจากความคิดได้เลย...พี่นักร้อง : )

“มองจันทราเมื่อเวลามันกลบแสงดาว กลัวทุกคราวเพราะว่าฉันนั้นคือก้อนหิน

กลัวดวงดาวไม่ทอแสงลงกระทบดิน และก้อนหินอย่างฉันคงไม่สวยงาม~”

บ้าจริง! กูเหมือนคนใกล้บ้าเต็มทนยิ่งตอนที่ผมเจอเขาที่หลังคณะแล้วทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เอาจริง ๆ นาทีนั้นผมก็ตัดสินใจได้แล้วว่า...ผมจะจีบผู้ชายคนนั้นให้เป็นของผมให้ได้!

โอ๊ยยยยย...ทำไมหยุดยิ้มไม่ได้วะ!!! แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้สนใจกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยมากนักตอนเขาประกาศชื่อพี่แกให้ขึ้นมาร้องเพลงผมเลยไม่ทันได้ฟังหน่ะสิ มั่วแต่ส่องหนุ่มสาวแจ่ม ๆ ที่เดินไปเดินมาแถวนั้นกับพวกไอ้โอม จนกระทั่งคอร์ดแรกได้ถูกดีดขึ้นมา...นั่นแหละๆๆๆ จังหวะตกหลุมรักเข้าเต็มเปาแล้วตอนนี้ผมก็ไม่สามารถพาสติสัมปรัชญะของตัวเองกลับมาได้อีกเลย

“อยากให้ดาวดวงนั้นรู้ว่า เมื่อดาราส่องแสงฉันดูสดใส อยากให้ดาวดวงนั้นเข้าใจขาดเธอไปตัวฉันคงหมดสิ้นกัน ~”

ปึ่ก!!!

ผมที่ถือกีตาร์ร้องเพลงตีคอร์ดแบบงู ๆ ปลา ๆ ไปเรื่อยๆ ต้องผงะอย่างแรง  หลังนี่ติดกับเก้าอี้โดยอัตโนมัติพร้อมสายตาที่มองไปที่ประตูห้องนอนของตัวเองด้วยความตกใจสุดขีด

“โอ๊ยยยย!!! ไอ้เช่! มึงเบาเสียงได้ปะวะ กูเพิ่งได้นอนไปสองชั่วโมงเองนะเว้ย ไอ้ห่านี่!!! มึงจะจัดคอนเสิร์ตไง๊ ?”

“ฮ…เฮียกลับมานานแล้วเหรอ ?” และคนที่เหมือนเอาไม้หน้าสามมาทุบกบาลผมให้ออกจากภวังค์จนแทบตั้งตัวรับไม่ทันจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...เฮีย เฮียพอร์ช พี่ชายสุดที่รักของผมเอง

“สัส!!! ยังไม่กลับมั้ง เบาเสียงให้ไวเลยนะมึง แล้วนี่กลับจากโอเพนเฮาส์ มึงจะไม่เรียนหมอหรือคณะวิทย์ละเหร๊อ ?” เฮียที่เป็นดั่งพญามัจจุราชพร้อมประทานความตายให้กับคนรอบข้างได้ทุกเมื่อ ทั้งท่าทาง คำพูด และสายตา ไม่ว่าจะใครหน้าไหนต่างก็ยำเกรงเขาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่น้องชายคนเดียวอย่างผม

เฮียผมมันแบบเป็นคนไม่ค่อยกลัวใคร...อีกอย่างผมค่อนข้างจะเกรงใจมันมาก ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น เรามีกันแค่สองคนแล้วมันทำงานหาเลี้ยงผม ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่ซุกหัวนอน แม้กระทั่งโรงเรียนแพง ๆ มันยังจ่ายให้ผมได้เข้าไปเสนอหน้าอยู่กับพวกชนชั้นสูงได้เลย มันโคตรมีอิธิพลต่อชีวิตผมอ่าครับ! เลยแบบค่อนข้างจะเกรงบารมีนิดนึง เวลาจะพูดหรือทำอะไรต้องคิดดีดี ถ้าคิดน้อยหรือเพ้อ ๆ ไปคุยกับแม่ง! โดนด่าสามวันสามคืน เผลอ ๆ ลากผมไปตัดคอเสียบประจานให้ชาวบ้านแถวนี้ได้มารุมประณามเป็นแน่!

“เออเฮีย...ดุริยางคศิลป์ก็ดีนะ”

“ห้ะ ?” มันขมวดคิ้ว กอดอกนิ่งถามผมซ้ำด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรและตัวผมก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาด ๆ เล็กน้อย

“เออๆๆๆ ไปนอนไป เดี๋ยวเลิกเล่นละ” ผมตัดบททุกอย่างเพราะถ้ามันรู้ว่าผมจะไปสายดนตรีได้มีคุยกันยาวแน่ มันบอกอยากให้ผมเรียนหมอหน่ะครับ -“- สภาพกูเนี่ยนะ ? เกรดจะตกไปสองแหล่ไม่สองแหล่ เมิงมาเอาอะไรเป็นหมอ! ทำตัวเป็นป้าข้างบ้านต่างจังหวัดไปได้!  เฮียกู!!!

“เออ! เลือกคณะได้ละบอกกูด้วย”

“ค้าบบบบบบบบ”

ชู้ววว!!~ ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นพี่ชายเดินทำหน้ามุ้ยถอนทัพกลับไปยังห้องนอนมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อกี้เผลอพูดเกริ่น ๆ ไปเพื่อดูท่าทีแต่เหมือนทีนี้ไม่น่าจะสวยเท่าไหร่ เอาไว้คิดทีหน้าทีหลังละกัน ขอทำใจก่อน หุ้วว! ผมใส่แอร์พอด กดเข้าไปที่แอปฟังเพลงและยังคงให้ ‘ก้อนหินละเมอ’ บรรเลงต่อไปราวกับว่าตนเองกำลังติดอยู่ในเขาวงกตแห่งนี้

ตึ่ง!

Summer Zone

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อมีข้อความของใครคนนึงทักมา

Summer Zone : วันนี้เป็นไงบ้าง

อยากสบายให้นั่งรถปอเช่ แต่ถ้าไม่อยากโดนเทให้มานั่งในใจเรา : ดีครับ สนุกดี

Summer Zone : สรุปชอบคณะไหน

อยากสบายให้นั่งรถปอเช่ แต่ถ้าไม่อยากโดนเทให้มานั่งในใจเรา : ดุริยางค์มั้งครับ แหะ ๆ ไม่แน่ใจเลย

Summer Zone : เห่ย! โคตรเท่เลยนะ คณะในฝันเราเลยอ่ะ

อยากสบายให้นั่งรถปอเช่ แต่ถ้าไม่อยากโดนเทให้มานั่งในใจเรา : แล้วทำไมพี่ไม่เรียน ฝีมือระดับพี่สบายอยู่แล้ว

Summer Zone : ปัจจัยหลายอย่าง แต่เลือกทางไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ เนอะ

อยากสบายให้นั่งรถปอเช่ แต่ถ้าไม่อยากโดนเทให้มานั่งในใจเรา : แล้ววันนี้พี่ไลฟ์มั้ยครับ ? จะได้เข้าไปดู

Summer Zone : สองสามวันนี้คงไม่ได้ไลฟ์

อยากสบายให้นั่งรถปอเช่ แต่ถ้าไม่อยากโดนเทให้มานั่งในใจเรา : โอเค อย่าลืมพักผ่อนนะครับพี่

Summer Zone : [ส่งสติกเกอร์ Okay]

ผมวางโทรศัพท์ลงพร้อมกับปิดห้องแชทนั่น ช่อง Summer Zone เป็นช่องที่มีนักร้องใส่หน้ากาก บางทีก็เห็นแค่ร่างเขาครึ่งตัวกับกีตาร์ เขาจะมาไลฟ์สดร้องเพลงแทบทุกวัน ผมบังเอิญเข้าไปฟังเขาตั้งแต่คนดูไม่ถึงสิบคนจนตอนนี้ปาไปหลักพันแล้วครับ ผมให้ดอกไม้เขาครั้งละหนึ่งดอกจากการส่งสติกเกอร์ซึ่งมีมูลค่า 1 บาทถ้วน ถึงจะดูไม่มีราคาเท่าไหร่แต่ผมทำเป็นกิจวัตร จนพี่เขาจำผมได้แล้วทักแชทเข้ามาคุยส่วนตัวเพื่อขอบคุณ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผมดีใจที่พี่เขาไม่เคยลืมผมเลย เราชอบคุยกันเรื่องเพลงจนลามไปถึงสัพเพเหระนี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วแม้พี่เขาจะมียอดคนดูเพิ่มขึ้นขนาดไหนมีแม่ยกประจำห้องที่เปย์หนัก ๆ เขาก็ยังคงเหมือนเดิม ทักผมมาถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เนือง ๆ นั่นทำให้ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของ Summer Zone จนมาถึงปัจจุบันแม้ผมจะไม่เคยเห็นหน้าของเขาจริง ๆ เลยสักครั้งก็ตาม เอาเป็นว่าสำหรับแฟนเพลงแค่นี้ก็รู้สึกมีความสุขมากพอแล้ว แต่ให้ตายเถอะ!!! ทำไมภาพไอ้พี่นักร้องวันนี้มันยังฉายซ้ำฉายซ้อนเข้ามาในหัวอีกวะเนี่ย อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!

ก้อนหินละเมอเปิดวนไปทั้งคืนแน่ ๆ

[วันรุ่งขึ้น]

“ไม่คิดจะเปลี่ยนมหาวิทยาลัยจริง ๆ ด้วยเนาะ” ไอ้โอมบ่นผมในขณะที่พวกเรา กำลังยืนดูดไอติมหลอดสีแดงอยู่แถวลานกิจกรรมอย่างใจจดใจจ่อ

“พี่นักร้องไม่มาเหรอวะ!!!” ผมพูดออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อกิจกรรมนันทนาการกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนานแล้วเพลงก็ถูกขับร้องจนจบไปห้าหกเพลงแต่ก็ไร้เงาของคนที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอเสียเหลือเกิน

“หรือวันนี้เขาไม่มา ?” ไอ้เปาเพื่อนในแก๊งหันมาตั้งคำถามกับผม

“บ้า! ลานกิจกรรมก็อยู่หน้าคณะดุริยางคศิลป์ถึงไม่มาร่วมร้องเพลงยังไงก็ต้องเข้าตึกปะวะ” ผมว่าออกมาอย่างมีความหวังพร้อมมองป้ายคณะด้วยสายตาที่เป็นประกายพราวระยับ

“เดี๋ยวนะ! มึงรู้ได้ไงว่าเขาอยู่คณะนี้” ไอ้โอมโยนไม้ไอติมลงถังขยะแล้วถามผมด้วยความมึนงง

“เอ้า! ไอ้ห่า! ก็เขาร้องเพลงเล่นกีตาร์อยู่เมื่อวาน มึงคิดว่าเขาอยู่คณะทำกับข้าวแง๊ะ ?”

“ไอ้เหี้ยเช่! นี่ลานกิจกรรมทุกคณะแม่ง!ก็มาสันทนาการได้หมด!!!” ไอ้โมเขกหัวผมเข้าให้เต็มแรง

“เออหว่ะ! ทุกคณะก็ร้องเพลงเกือบหมดปะวะ หมอยังมาร้องเพลงเชิญชวนเลย อะไรนะ! รักแท้ รักที่อะไร ตับ ไต ไส้พุงป่ะ เมื่อวานที่พี่หมอคนนึงขึ้นมาร้องเพลงอ่า ฮ่า ๆ”

“หรือมึงจะให้เขาผ่าศพให้ดูอ่ะ!!!”

“แต่พี่เขาก็ทรงเด็กดุปะวะ ดูคล่องอ่ะมึงตอนถือกีตาร์อย่างเท่!!!” ไอ้เปาทำท่า

ดีดกีตาร์แบบพี่นักร้องเมื่อวาน แล้วผมก็ปล่อยให้พวกมันเถียงกันไปเถียงกันมา ส่วนสายตาผมนั้นก็กวาดมองโดยรอบไม่วายเดินไปใกล้ ๆ เวทีที่ขณะนี้คนก็เริ่มวาย ๆ เพราะมีแต่พิธีกรพูดแนะนำสถานที่ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด...

“เห่ย!!! พี่นักร้อง!!!” ผมที่เดินดูลาดเลาอยู่หน้าเวทีก็ไปสะดุดตากับเป้าหมายเข้าอย่างจัง ความออร่าและความโดดเด่นในตัวเขากระแทกตาผมตั้งแต่เท้าเขายังย่างกรายมาไม่ทันจะพ้นมุมตึกเลยด้วยซ้ำ! เหี้ยยยยยย...โคตรไทป์เลยหว่ะ!

“ใครสนใจคณะไหนเดินตามแผนที่ไปได้เลยนะครับ สำหรับใครที่ยังอยากร่วมสนุกอยู่กับพี่ต้นหนคนสุดหล่อ ยกมือ...ยกมือขึ้นเลย มีของรางวัลแจกนะ ใครอยากแสดงความสามารถ ยกมือ!!!”

ด้วยเสียงไมค์ที่ดังทะลุหูซ้ายไปยันหูขวาทำให้ผมตะโกนแข่งกับเครื่องเสียงเท่าไหร่ก็ไม่ชนะ ผมเลยยกมือขึ้นพลางเขย่งเท้าโบกไม้โบกมือหยอย ๆ ให้พี่เขาได้เห็นว่าผมอยู่ตรงนี้แล้วกำลังจะเดินเข้าไปหาด้วยความรวดเร็ว!

“นั่นไง!!! มาแล้ว! ผู้กล้าของเรา!!! ปรบมือครับปรบมือ!” ผมส่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าพี่เขาหันมาสบตากับผมพลางเลิกคิ้วขึ้นราวกับประหลาดใจอะไรบางอย่างเล็กน้อย แน่นอนดิ! วันนี้ผมแต่งหล่อมาเต็มที่อ่ะ ถึงจะใส่ชุดนักเรียนแต่ก็เซตผมโบกแป้ง ฉีดน้ำหอมจนฟุ้งไปสามบ้านแปดบ้านเรียกได้ว่าจัดหนัก จัดเต็มมาอย่างดี! ถ้าความมั่นใจมันมีร้อยอย่างน้อยวันนี้ผมต้องได้ร้อยห้าสิบอ่ะ! วู้วววว~ ทันทีที่ผมกำลังจะสาวเท้าเดินไปหาพี่เขาทันใดนั้นเอง...

“…ห้ะ…อ…อะไร๊” ไอ้พิธีกรที่พูดอยู่บนเวทีที่มีความสูงไม่มาก กระโดดลงมาใช้ร่างของมันขวางหน้าผมไว้ด้วยสีหน้าตื้นตันสุดชีวิต ห...ห้ะ!!!

“ไอ้เช่! ทำเหี้ยอะไรเนี่ย!!!”

รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกลากขึ้นไปบนเวทีเรียบร้อยพร้อมกับพวกเพื่อน ๆ ที่ต่างพากันมายืนอ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยความมึน งง ออกันอยู่ด้านหน้ากันเป็นแถว

“ดูกระตือรือร้นมากเลยนะครับ อยากโชว์ความสามารถอะไรครับเนี่ย”

“ห๊าาาาาาาา”

พิธีกรส่งไมค์ในมือมาจ่อปากผม ทำให้ผมกระพริบตาปริบ ๆ ใส่เขาสองสามทีก่อนจะพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!!!!

“ช็อตซะงั้น ตื่นเต้นเหรอครับ ชื่ออะไรเนี่ยเรา” พิธีกรลูบหลังผมเหมือนพยายามจะผ่อนคลายให้ ผมมองหน้าเขาสลับกับพี่นักร้องที่อยู่ ๆ เขาก็อมยิ้มขึ้นมาแล้วจ้องมาที่ผมเช่นเดียวกัน เอาวะ!!! อย่างน้อยเขาก็เห็นกูละ แต่จะดีมากถ้าตอนนี้คนแม่ง! ไม่เริ่มมามุงกันเยอะขนาดนี้!!! ว้อยยยยย!

“เอ่อ...คือ...ปอเช่ครับ”

“โหวววว...ชื่ออย่างเฟี้ยว! อยากเข้าคณะไหนครับ” แล้วพิธีกรก็อะเลิทฉิบหาย! แดกเอนเนอร์จี้ ดริ๊งค์มากี่ขวดวะเนี่ย! ช่วงนี้ยิ่งใจบาง ๆ อยู่

“เอ่อ...” ผมมองซ้ายมองขวาแล้วชี้ไปที่ป้ายคณะทางด้านหลัง

“ดุริยางคศิลป์ซะด้วย แบบนี้ต้อง...”

แล้วระหว่างที่พิธีกรกำลังรีแอคชั่นกับการเลือกคณะของผมอย่างออกรสออกชาติเสมือนตอนนี้ผมแอดติดคณะนี้แล้ว อยู่ ๆ พี่นักร้องที่ผมจ้องเขาอย่างไม่วางสายตาเขาเริ่มมีทีท่าร้อนรนมองซ้ายมองขวาแล้วกำลังจะขยับตัว เท้าของเขากำลังจะก้าวออกจากบริเวณนี้ผมจึงต้องรีบ...

“พี่นักร้อง!!!” เรียกเขาออกไมค์อย่างสุดเสียงจนเขาชะงักแล้วจ้องมาที่ผมอีกครั้ง

“ห้ะ ?” พิธีกรเองก็เช่นกันเพ่งมาที่ผมพลางทำคิ้วขมวดมุ่นจนผมต้องรีบแก้ต่าง

“อ๋อ เป็นนักร้องครับนักร้อง…ร้องเพลงครับร้องเพลง มา! เพลงขึ้นเลย!!!” ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ กลบความกลัวด้วยความกล้า! ด้านได้อายอดเว้ย!ไอ้เช่!!! ไหน ๆ ตอนนี้พี่นักร้องเขาก็ยืนกอดอกรอฟังผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วจะสายตาใครหน้าไหนก็ไม่สนใจเว้ย! รีบเก็บแต้มทำคะแนนดีกว่า...ผมบอกชื่อเพลงให้พี่ทีมเทคนิคด้านหลังเรียบร้อยก่อนจะสะบัดแขนสะบัดขาไหล่ความประหม่า แล้วดนตรีก็บรรเลงขึ้นมาผมเลยเปล่งเสียงร้องออกไป

‘ผมรู้พี่ก็ชอบผมอย่าปากแข็งอย่าทำอย่างนั้นเลย ผมรู้มันไม่เหมาะสม แต่จังหวะนี้มันต้องเคลียร์ให้ชัดเลย’ ผมโฟกัสไปยังจุดเดียวคือพี่นักร้องที่ตอนนี้ยืนมองผมโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลยทำให้ผมรู้สึกขัดใจเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่ทุกคนในบริเวณนี้ต่างส่งเสียงกรี๊ดมาอย่างหนักจนผมแทบจะฟังเสียงดนตรีไม่ได้ยิน

‘ไม่ต้องทำเฉยรีบมาจ้องตา ไม่ต้องมัวเขินแค่เข้ามาพูดจา ผมรู้พี่ก็ชอบผมผมรู้ว่าพี่ก็ชอบผม’ ผมใส่ท่าทางไปตามเนื้อเพลงและอารมณ์โดยการชูสองนิ้วไปที่ตาของตัวเองแล้วยื่นไปทางเขาเป็นสัญลักษณ์การจ้องมองของกันและกัน ทันใดนั้นเอง...พี่เขาก็รีบเม้มปากแล้วอมยิ้มออกมานิด ๆ จนผมรู้สึกได้ใจเลยยิ้มกว้างออกมาแล้วเริ่มวาดลวดลายการร้องการเต้นให้เข้าจังหวะมากขึ้นกว่าเดิม

‘มันช่างละมุนยิ้มของคุณ ที่ผมหอมที่ผมเคยหยิกตรงแก้มของคุณ เหมือนมีบุญเกิดชาตินึงได้เจอกับคุณ เหมือนผมลงทุนไม่ขาดทุน ได้กำไรจากยิ้มของคุณ มันช่างงดงามในยามเย็น ตอนฝนตกซบอกข้างซ้ายผมมีแค่คุณ’

เสียงกรี๊ด เสียงโห่จากหลากหลายโรงเรียนไม่ได้ดึงดูดสายตาของผมให้หันไปมองกลุ่มคนเหล่านั้นได้เลย พี่นักร้องเอาแต่กัดปากตัวเองแน่น ยิ่งจังหวะผมเล่นหน้าเล่นตาใส่เขาเขาก็ส่ายหัวออกมาดูแล้วน่าเอ็นดูเป็นบ้าเลย กูว่ากูมาถูกทางว่ะ!!!

‘เอาแต่เขินอายเมื่อไหร่จะรักกัน ไม่อยากเป็นน้องชายอยากคุยด้วยทั้งวัน แต่ตอนนี้เอาให้ชัดเอาให้ชัด ทำอย่างงี้พี่จะชอบหรือจะรัก พี่แอบมองผมมาตั้งนาน อย่าชักช้าเดี๋ยวไม่ทันการ’ ทำไมยิ่งเห็นเขาเขินผมยิ่งมีความมั่นใจวะ ผมเขยิบตาหนึ่งทีก่อนจะกระโดดลงไปที่ด้านล่างเวทีให้พวกเพื่อน ๆ ได้โห่แซวแล้วร้องเพลงตามผมกันเป็นแถว

‘ผมรู้พี่ก็ชอบผม อย่าปากแข็งอย่าทำอย่างนั้นเลย ผมรู้มันไม่เหมาะสม แต่จังหวะนี้มันต้องเคลียร์ให้ชัดเลย ไม่ต้องทำเฉยรีบมาจ้องตา ไม่ต้องมัวเขินแค่เข้ามาพูดจา ผมรู้พี่ก็ชอบผม ผมรู้ว่าพี่ก็ชอบผม~’

ผมร้องเล่นเต้นกับเพื่อนอยู่ตรงหน้าเวทีอย่างสนุกสนานจนหมดท่อนฮุกแล้วค่อย ๆ เลียบ ๆ เคียง ๆ เดินไปตรงที่พี่นักร้องอย่างเนียน ๆ ที่ตอนนี้เขาเปลี่ยนจากยืนกอดอกเป็นเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแทนแล้วครับ

‘มารักกันก่อนที่โลกนี้พัง พี่กินผมจะได้เป็นนิรันดร์ ~’ ผมเดินเอียงตัวไปซ้ายทีขวาทีตามทำนองเพลง แล้วเดินวนรอบตัวพี่เขายิ่งสร้างเสียงกรี๊ดดังขึ้นกว่าเดิม แล้วตอนนั้นเองพี่แกก็หลุดยิ้มกว้างจนต้องก้มหน้าก้มตาทำเป็นไม่มองมาที่ผมซะแบบนั้น

‘ให้ผมเดาผมทาย พี่ก็ไม่ได้มองผมแค่น้องชายกว่าจะหากันเจอไหนก็เจอกันแล้วก็อย่าให้แคล้วกันเลย’ เมื่อเห็นว่าแก้มเขากำลังขึ้นสีระเรื่อผมที่แทบจะทนกับความน่ารักของเขาไม่ไหวก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเวทีดังเดิม เพื่อดับความเขินของตัวเองบ้างที่ตอนนี้มันเนื้อเต้นจนแทบจะลงไปแดดิ้นอยู่กับพื้นแล้วครับ

‘ถ้ารักผมจริงอย่าพึ่งทิ้งผมไป พี่น่ารักชิปหายทำหัวใจแถบวายตาย’ ผมชี้ไปที่เขาเป็นตอนที่เขาเงยหน้ายิ้มกว้างส่งมาให้ผมอีกสักหนึ่งที ทำเอาผมแทบตายตามเนื้อเพลงจริง ๆ

‘แย่แล้วยิ้มมางี้พี่ชอบผมแน่แล้ว หน้าตาดีขาวหมวยโดนใจ ตาสระอิอย่าพึ่งไปมีใครก็คงจะดีบอกมาได้ไหม ว่าคุณมีใครในใจแล้วหรือยัง~’

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ผมละสายตาออกจากเขาครู่นึงเพื่อให้ตัวเองมีสติและจับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองที่เต้นรัวกระหน่ำราวกับจะทะลุออกมาให้ใจเย็นลง เพราะพี่นักร้องดาเมจแรงมาก! ผมหันมาเล่นกับเหล่าผู้คนที่สนุกสนานไปกับการแสดงของผม และกำลังจะร้องท่อนฮุกตามกันอย่างพร้อมเพรียง

‘ผมรู้พี่ก็ชอบผม อย่าปากแข็งอย่าทำอย่างนั้นเลย ผมรู้มันไม่เหมาะสม แต่จังหวะนี้มันต้องเคลียร์ให้ชัดเลย ไม่ต้องทำเฉยรีบมาจ้องตา ไม่ต้องมัวเขินแค่เข้ามาพูดจาผมรู้พี่ก็ชอบผม ผมรู้ว่าพี่ก็...อ้าว....ชอบผม’

แต่พอผมละสายตาไปแค่แปบเดียวแล้วกำลังจะหันไปมองเขาเท่านั้นแหละ...หายไปไหนวะ...ฉิบหายละ นี่คาดสายตาไปแค่ร้องท่อนฮุกเล่นกับมิตรรักแฟนเพลงแค่แปบเดียวเองนะเนี่ย!!! โอ๊ยยยยยย! ไอ้พี่นักร้อง! คนหรือนินจาวะเนี่ย!

“ผมรู้พี่ก็ชอบ...ขอบคุณค้าบบบบบบบ” แล้วผมก็ไม่รีรอที่จะยัดไมค์คืนให้กับไอ้พี่พิธีกรที่กำลังเต้นอย่างสนุกสนานข้าง ๆ ผมพลางรีบกระโดดลงจากเวทีแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เกาหัวแกรก ๆ สองสองสามทีหันรีหันขวางแล้วก็พบว่า...ไร้วี่แวว อีกแล้ว!!!

“โอ๊ยยยย!!! กำลังสนุกเลย น้องปอเช่!!!! เอ้อ! กูร้องต่อเองก็ได้วะ...ผมรู้พี่ก็ชอบผม” ผมได้ยินเสียงก่นด่านิด ๆ ด้วยความขัดใจแล้วดนตรีก็ยังเล่นต่ออยู่แบบนั้น จนเพื่อน ๆ ผมก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบตามมา

“ไอ้ห่า!!! เอาพ่อมาฉุดก็หยุดไม่อยู่แล้วจริง ๆ ด้วย แทนที่จะร้องให้มันจบ ๆ ก่อน” ไอ้โอมบ่นออกมาชุดใหญ่

“หายไปไหนแล้ววะเนี่ย!!” ผมว่าออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลสุดฤทธิ์

“ทางซ้าย ทางซ้ายโน้นนน!” ผมมองตามสายตาไอ้เปาไปทางหน้ามอเห็นหลังไวไวที่คุ้นตากำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากมหาวิทยาลัย

“หนีไรวะนั่น” ผมถามด้วยความมึนงงเมื่อเห็นท่าทางพิลึกพิลั่นของพี่แกอีกครั้ง

“มึงมั้ง...เล่นแสดงตัวชัดขนาดนั้นเป็นกูกูก็กลัว เอ้า! ไอ้เช่!!!! โว๊ยยยยย!!!!” ผมไม่ฟังเสียงใครหน้าไหนทั้งนั้น เท้าผมรีบจ้ำอ้าววิ่งตามพี่แกออกไปโดยอัตโนมัติ

[หน้ามหาวิทยาลัย]

แค่ก...แค่กๆๆ ผมยืนก้มตัวเอามือเท้าที่เข่าของตัวเองด้วยความเหนื่อยพลางหอบหายใจถี่ ๆ ที่วิ่งมาจนสุดทางแต่สุดท้าย...แม่ง! หายตัวอีกแล้ว! สรุปเรียนดุริยางคศิลป์หรือวิชาการหายตัวจากวัดเส้าหลินกันแน่วะ เอะอะหาย เอะอะวาร์ป คนหรือกระสวยอวกาศมีจุดจัมพ์เป็นของตัวเองด้วยเนี่ย! แล้วกูอยากรู้ว่าไอ้พี่นักร้องมันจะทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ทำตัวเหมือนคนจะทวงหนี้อะไรมันหนักหนาวะ! ให้ตายเถอะ!!! ลึกลับยิ่งกว่าห้องต้องประสงค์ในแฮร์รี่พอตเตอร์อีกมั้ง ไอ้ห่า!!! แต่ดี! กูชอบ! แม่งเอ้ย!!! ทำงี้ยิ่งใจสั่นเลออออออ บอกตรง ๆ แต่เอาเถอะ...วันนี้ถือว่าได้ทำคะแนนหล่ะวะ พรุ่งนี้ก็ต้องมาใหม่อยู่ดี ต่อให้หมดงานโอเพนส์เฮาส์อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วป่ะว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำไรอยู่ อีกอย่างเอาเวลานี้ไปปรึกษาพวกเพื่อน ๆ ดีกว่าว่าจะรู้ข้อมูลเพิ่มเติมพี่แกได้ยังไง จะได้วางแผนเผด็จศึกกันต่อ เห้อออ...เหนื่อย! ผมดูซ้ายดูขวาอีกนิดหน่อยเห็นว่ายังไงเสียก็ไร้เงาหัวพี่มันอยู่ดี ผมเลยหันหลังเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในมอแต่แล้ว...

“เห่ยพี่” ฝีเท้าผมก็ชะงักฉับพลัน เบรคการเคลื่อนไหวของตัวเองจนหน้าผากผมไปทิ่มอยู่กับแผงอกของคนตรงหน้าจนผมต้องดึงทั้งหัวทั้งสติของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว พ...พี่นักร้อง เห่ย!!! ตายกูตายยยยยย!

“ร้องเพลงจบแล้วเหรอ ?” เขาเอ่ยทักผมด้วยท่าทีเฉยชาพร้อมกับมาดนิ่ง ๆ ที่ดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรเท่าไหร่นัก

“ไม่อ่ะ คนฟังไม่อยู่” ผมตอบแบบกระยิ้มกระย่องด้วยท่าทีที่สดใสจนพี่แกกระตุกยิ้มเบา ๆ

“หึ” จากนั้นเขาก็เบี่ยงตัวหลบผมพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่สนใจอะไรเพิ่มเติมอีก

“เห่ยพี่ จะไปไหนอ่ะ” ผมรีบเอาร่างตัวเองไปขวางไว้ด้วยความว่องไวจนพี่แกต้องหยุดแล้วจ้องผมนิ่ง ๆ สายตาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า จนทุกอย่างรอบตัวเหมือนตกอยู่ในสภาวะแช่แข็ง ไม่อึดอัด ไม่กดดัน และไม่มีความรู้สึกใดๆเลย...

“…”

ผมที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับความเงียบที่ปกคลุมอยู่นาน เลยเอ่ยขึ้นมาด้วยคำถามที่น่าจะดูเป็นมิตรไมตรีพร้อมกับโชว์พาวเวอร์ตัวเองเล็ก ๆ น้อยๆ เพื่อบ่งบอกจุดประสงค์ว่าผมต้องการทำความรู้จักกับคนตรงหน้ามากแค่ไหน

“หิวข้าวป่ะ...เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

พี่นักร้องเลิกคิ้วมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ไม่ได้เป็นสายตาที่เหยียดหยามอะไร อารมณ์ตั้งข้อสงสัยมากกว่า แต่ใครจะสนละครับผมทำได้แค่ยิ้มแฉ่งออกไปเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเดินเข้าร้านอาหาร...ที่ออกจะดู เอ่อ...หรูหรา

ฉ...ฉิบหาย

ผมรีบคลำกระเป๋าตังค์ตัวเองพลางตระหนักได้ว่า เงินในนั้นเหลืออยู่เพียงห้าร้อยเจ็ดสิบสองบาทห้าสิบสตางค์เท่านั้น...น่าจะพอจ่ายค่าข้าวไหมวะ ? แต่ร้านหน้ามอถึงจะดูอลังการแค่ไหนแต่ราคาก็น่าจะจับต้องได้หรือเปล่า เอาวะ!!! โอกาสมาถึงแล้ว! กูจะไม่ท้อ กูจะไม่ถอย กูจะสู้หัวชนฝาเลยทีเดียว!

“จะเลี้ยงป่ะ ?” เขาเปิดประตูรอผมพลางพยักพเยิดหน้าเข้าไปด้านใน

“ค้าบบบ” นาทีนั้นกูไม่สนอะไรแล้วจ้า! ผมสลัดความกังวลได้เป็นปลิดทิ้งก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปแบบไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งนั้น กูจะต้องรู้ชื่อ!!! ที่อยู่!!! เบอร์โทรศัพท์!!! และที่สำคัญกูจะรวบหัวรวบหางจับแม่ง! เป็นเมียให้ได้เลย คอยดู!

ชั้นจะยัดเหยียดความเป็นผัวให้กับแกเองงงง! ไอ้ต้าวน่ารักตะมุตะมิเอ้ย!!!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป