บทที่ 2 EP1 #Grass Flower “รู้สึกดี แต่… เขามีคนข้างกาย”
-Tem-
“หนาวหรือเปล่า...” พี่ไทม์ยื่นมือไปกดเพิ่มอุณหภูมิของแอร์ภายในรถ แม้ว่ารถพี่เขาจะจอดอยู่ไม่ไกล แต่ตัวเราทั้งสองก็เปียกซ่กไปด้วยน้ำฝนที่กระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ยั้ง
“ไม่เป็นไรครับพี่...” ผมรู้สึกเกรงใจขึ้นมาฉับเมื่อรู้สึกได้ว่าเสื้อและกางเกงที่เปียกนั้นกำลังจะเลอะเบาะรถคันหรูราคาแพงของพี่ไทม์
“บนรถพี่ไม่มีผ้าขนหนูซะด้วย ทนหน่อยนะ” พี่ไทม์บอกผมพลางเพ่งมองไปบนถนนอย่างมุ่งมั่น แม้ที่ปัดน้ำฝนจะทำงานอย่างหนัก แต่เส้นทางก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทุกอย่างเป็นสีเทาทะมึน มองอะไรแทบไม่เห็นเลย “ฝนก็ตกหนักซะด้วย...หอเต็มใกล้มหา’ลัยใช่ไหม” พี่ไทม์ถามผม
“...ใช่ครับ”
“ขอไลน์หน่อย” ผมหันมองพี่ไทม์ด้วยความไม่เข้าใจเพราะกลัวว่าตัวเองหูจะเพี้ยน
“ฮะ ? อะไรนะครับ” พี่ไทม์ที่จ้องถนนอย่างไม่วางสายตากลั้วหัวเราะออกมาขำ ๆ
“หมายถึง แอดไลน์พี่มาหน่อย แล้วส่งโลหอพักมาให้พี่ด้วยจะได้ไปส่งถูก” พี่ไทม์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทีสบาย ๆ
“อ๋อ…จริง ๆ ส่งแถว ๆ มหา’ลัยก็ได้นะครับ ที่เหลือผม...” ผมยังพูดไม่ทันจบพี่ไทม์ก็สวนขึ้นมา
“ไอ้เตได้แหกอกพี่แน่ ๆ ยังไงพี่ก็ต้องส่งเราให้ถึงที่ตามคำสั่งคุณเมียเขา” พี่ไทม์ว่าออกมายิ้ม ๆ ผมเองก็แอบยิ้มตามไปด้วย ก็ขึ้นชื่ออยู่นะคนอย่างพี่ไทม์ ที่กลัวพี่เตยิ่งกว่าอะไร เวลาไปกินเหล้าด้วยกันก็เห็นเอาอกเอาใจพี่เตไม่ห่าง คงไม่แปลกหรอกที่พี่เขาจะกลัวเมียขนาดนี้
“ก็ได้ครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าคาดอกของตัวเอง พี่ไทม์เองก็กดคิวอาร์โค้ดที่ไลน์อย่างชำนาญพลางขับรถไปด้วยแล้วยื่นมือถือมาให้ผมสแกน “ผมส่งโลให้แล้วนะครับ” ผมกดส่งโลเคชันพร้อมสติกเกอร์หมีสีน้ำตาลทำท่าคำนับให้ไปหนึ่งตัว
“หึ โอเค” พี่ไทม์เปิดแมปดูแล้วขับรถฝ่าฝนไปอย่างช้า ๆ ผมเองก็ไม่อยากเป็นภาระมากไปกว่านี้จึงช่วยพี่เขาดูทางไปด้วย
“ระวังรถขับสวนเลนนะครับ”
“แถวมหา’ลัย ก็แบบนี้ พวกวินชอบขับสวนเลนบ่อย ๆ ” บรรยากาศภายในรถเลยไม่เงียบและเต็มไปด้วยเสียงของผมกับพี่ไทม์ที่ช่วยดูทางพลางบ่นรถคันอื่นมาเป็นระยะ
“ยิ่งตอนเช้าเวลารีบ ๆ นี่ผมแทบประสาทกิน มีแต่พวกวินมอ’ไซค์เก๋า ๆ ”
“ฮ่า ๆ จริง! ตอนขับรถมาเรียน เคยมีวินมาเฉี่ยวรถพี่ด้วย ตอนแรกวินลงมาจะหาเรื่องพี่เลย แต่โชคดีมีเครื่องด่าแบบไอ้เตอยู่ด้วย วินนี่ขนลุกสำนึกผิดไม่ทันเลย มันด่าเอาตายเลยนะนั่น” พี่ไทม์ว่าพลางขำออกมา
“จริงเหรอครับ...แต่ก็พอนึกภาพออกอยู่” ผมกับพี่ไทม์หัวเราะเมื่อพูดถึงพี่เต ชายร่างบางที่สูงสง่าราวกับนางพญา ผิวพรรณผุดผ่องสไตล์ลูกคุณหนู ท่วงท่ากิริยาดูผู้ดีติดไปทางหยิ่งยโส สายตาเชือดเฉือนดูจิกกัด ใบหน้าติดไปทางสวยมากกว่าหล่อ เมื่อนึกถึงคำว่าพี่เตก็เต็มไปด้วยความเพียบพร้อม เพอร์เฟกต์ ไร้ที่ติ ยิ่งจริตจะก้าน
ทั้งตอนยิ้ม ตอนหน้านิ่ง ตอนโกรธ หรือสิ่งใดก็ตาม ก็เผยออกมาได้อย่างปิดไม่มิด ดูก็รู้ว่าเป็นคนเด็ดขาด และสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน
“ถึงแล้ว” พี่ไทม์ว่าออกมาพร้อมกับเอารถเข้าไปจอดในลานจอดรถหน้าหอผม “โหยย...กว่าจะถึง” พี่ไทม์ว่าพลางถอนหายใจออกมาแล้วบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยขบ แม้ว่าร้านเหล้ากับหอพักผมจะอยู่ห่างจากกันไม่มากนัก แต่ฝนเล่นตกหนักแบบนี้ทำให้ระยะเวลาในการขับ นานกว่าปกติพอสมควร แถมยังต้องใช้สมาธิเพ่งสายตามองถนนหนักมาก นี่ผมเกรงใจจนแทบไม่รู้จะเกรงใจอย่างไรแล้ว
“ขอบคุณนะครับพี่ไทม์” ผมกล่าวขอบคุณแล้วก้มหัวให้เขาด้วยความนอบน้อมพร้อมสีหน้าที่ลำบากใจสุดชีวิต
“ไม่เป็นไร ๆ ” พี่ไทม์ว่าพลางโบกไม้โบกมืออย่างขอไปที
“แล้วนี่บ้านพี่ไกลไหม ตกหนักขนาดนี้ไหวใช่เปล่า” ผมกล่าวออกไปด้วยความเป็นห่วง เพราะฝนมันไม่ท่าทีที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย แถมลมก็แรงขึ้นเรื่อย ๆ
อีกด้วย
“ไกลนะ แถวเจริญกรุงโน่นแน่ะ” พี่ไทม์เงยหน้ามองฝนผ่านกระจก ผมพยายามใช้ความคิดเพราะพี่เขาก็อุตส่าห์ใจดีขับรถฝ่าฝนมาส่งถึงที่ มันก็เหมือนมีบุญคุณแหละครับ จะให้แบบขอลาขึ้นห้องไปเลย โดยไม่ได้ถามไถ่ถึงความปลอดภัยหลังจากนั้นคงไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่ไอ้พอร์ชนะครับที่จะช่างหัวมันไปเสียทุกเรื่อง ผมยิ่งเป็นคนคิดมากแล้วชอบคิดแทนคนอื่นอยู่เรื่อยด้วย
“เอ่อ...งั้น...พี่นั่งแกร็ปไหมครับ จอดรถไว้ที่นี่เดี๋ยวผมดูให้” ผมว่าออกไปแต่นั่นคงเป็นความคิดที่โง่สัด ๆ จนพี่ไทม์หัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ฝนตกขนาดนี้แกร็ปที่ไหนจะรับ อีกอย่างไม่ต่างอะไรจากที่พี่ขับไปเองหรอก เอาเถอะ พี่กลับได้ เราขึ้นห้องไปได้แล้ว อื้อออ...” พี่ไทม์หันซ้ายหันขวาไปที่เบาะหลัง “เอ้า! เอานี่ไป ดีนะเตมันเอาติดรถไว้” พี่ไทม์ยื่นร่มสีดำมาให้ผม นั่นทำให้ผมลำบากใจอีกแล้ว ทำไมเพื่อนของคุณคินน์ คุณคันอะไรของไอ้พอร์ชมันนิสัยดีไม่เหมือนตอนไอ้พอร์ชเอามาเล่าเลยวะ ที่ว่าสันดานเหมือนเทวดากันทั้งโคตรเหงาไม่เว้นแม้แต่เหล่าเพื่อนน่ะ ไอ้พอร์ชมันใส่ไข่ปะวะ เพราะทั้งพี่ไทม์ พี่เต แม่ง! ดีกับผม
ฉิบหาย
“แล้วพี่ล่ะ...” ผมกัดปากด้วยความกังวล
“เอาน่า...ค่อย ๆ ขับไปเดี๋ยวก็ถึงเองนั่นแหละ” พี่ไทม์ว่าออกมาด้วยท่าที
ชิล ๆ ผมเผ้าพี่เขาเปียกไปหมด รวมถึงเสื้อผ้าที่ใส่มาถึงจะดูแห้งไปบ้างแล้วแต่โดยรวมมันก็ชื้นอยู่ดี เอาไงดีวะเต็ม เรื่องเกรงใจคนมึงกำเริบอีกแล้วนะ...แต่อันนี้มันก็สมควรที่จะเกรงอกเกรงใจจริง ๆ นี่ครับ
“เอ่อ...ทำยังไงดี” ผมพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก
“หนาวว่ะ” พี่ไทม์พูดออกมาพร้อมกับเพิ่มอุณหภูมิแอร์ขึ้นไปอีก ทันใดนั้นผมก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาโดยฉับพลัน!
“พี่รอให้ฝนมันซา ๆ สักนิดไหมครับ” ผมว่าออกไป จนพี่ไทม์ยิ้มแล้วหันมามองหน้าผม
“ในรถนี่น่ะเหรอ...” พี่ไทม์ถามพร้อมสีหน้าที่ดูจะคัดค้านเล็กน้อย
“ในรถก็ได้ เดี๋ยวผมนั่งรอเป็นเพื่อน...” ผมยิ้มแฉ่งออกมาเพราะคิดว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
“บ้า! ขึ้นไปเถอะ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวก็ป่วยหรอก” พี่ไทม์ที่ดูไม่ร้อนรนอะไรก็ฮัมเพลงออกมาพร้อมกับเอานิ้วเคาะพวงมาลัย อย่างชิล! เวลานี้ยังชิลได้อีกเหรอ ในหัวกูนี่คิดหนทางให้พี่เขากลับบ้านอย่างปลอดภัยที่สุดจนไมเกรนจะขึ้นละเนี่ย
“งั้นขึ้นไปรอที่ห้องผมไหม ? พี่จะได้เปลี่ยนเสื้อด้วย” ผมพูดออกไปอย่างไม่คิดอะไร เพราะห้องผมก็เหมือนแลนด์มาร์กให้พวกเพื่อน ๆ เข้าออกกันได้ตามใจอยู่แล้ว แต่พี่ไทม์กลับชะงักแล้วยกยิ้มออกมาแวบหนึ่ง แต่ผม...ไม่ได้คิดมากอะไร
“ถ้าพี่ไม่รังเกียจอะนะ” ผมพูดต่อท้ายด้วยเสียงอ่อนลง เพราะคิดว่าพี่เขาอาจจะไม่ชินกับหอเล็ก ๆ ของนักศึกษา แล้วผมดันสะเหล่อยื่นข้อเสนอให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านบน ซึ่งเสื้อผ้าที่พี่เขาใส่อยู่นี้ก็เป็นแบรนด์หรูระดับไฮเอนด์ ส่วนตัวผมใส่เสื้อผ้าที่สุดแสนจะธรรมดา ไม่รู้ว่าพี่เขาจะคิดแบบว่า...เขาไฮโซขนาดนี้จะไปคลุกคลีกับห้องหอเด็กกระโหลกอย่างผมได้ไง วู้ววว!!! ทำไมคิดมากขนาดนี้ละวะเต็ม
ความคิดมากนี้แหละครับที่ไอ้จอมชอบด่าผมบ่อย ๆ
“อื้ม เอาสิ” ประโยคนั้นพร้อมรอยยิ้มของพี่ไทม์ทำให้ผมโล่งใจ พี่เขาดูติดดินดีนี่หว่า ไอ้พอร์ชก็มาสปอยล์ไว้ซะเวอร์! ชนิดที่ผมคิดไปแล้วว่าคนแบบพวกพี่เขาเดินดินกินข้าวแกงไม่ได้อ่าครับ
ไอ้พอร์ชนี่แม่ง! เวอร์ฉิบหาย!
…
..
.
-[ห้องเต็ม]-
“ห้องเล็กหน่อยนะครับ แล้วก็... เอ่อ...รกด้วย” ผมพูดดักทางด้วยความถ่อมตนไว้ก่อน ถึงพี่เขาจะไฮโซขนาดไหน แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เสื้อชื้นแล้วเป็นปอดบวมตายปะวะ
“อื้ม”
พอผมขึ้นมาจนถึงชั้นสิบแปด ก็ตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าห้อง 033 แล้วผมก็แตะคีย์การ์ดเข้าห้องทันที
“เข้ามาก่อนนะครับ” ผมว่าออกมาแล้วถอดรองเท้าไว้บนชั้น พี่ไทม์ที่ตามหลังมาก็ทำตามเช่นเดียวกันพลางสอดส่ายสายตามองสำรวจไปทั่วห้อง
“เลือกหอได้ดีเลยนะ กว้างดี ไม่รกด้วย” พี่ไทม์ถือวิสาสะเดินไปยังโซนห้องนั่งเล่น แล้วดูของตกแต่งโง่ ๆ ที่ผมซื้อมาตั้งให้ฝุ่นจับเล่น ๆ “ราคาไม่ได้ถูกเลยนี่
พ่อแม่เอาใจใส่น่าดูเลยนะ” พี่ไทม์ว่าออกมาพลางยิ้ม
ใช่ครับ! หอพักนี้แทบจัดว่าดีที่สุดในซอยหอเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัด ถึงจะดูตามคนไม่ค่อยทัน ชอบทำตัวเอ๋อ ๆ มึน ๆ แบบที่พอร์ชกับจอมบอก แต่บ้านผมที่ต่างจังหวัดก็ถือว่าพอมีฐานะ พ่อแม่เลยให้รถเก๋งมาใช้และให้อยู่ที่
ดี ๆ แบบห้องพักแห่งนี้ได้ ถึงมันจะเล็กแต่มันก็ถูกแยกโซนไว้อย่างดี แถมแยกห้องนั่งเล่นกับห้องนอนอีกด้วย ก็จัดว่าตัวผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอะไร แต่ก็เกรงใจพ่อกับแม่อยู่ไม่น้อย
“พี่ตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาเสื้อมาให้” ผมบอกพี่ไทม์ที่ตอนนี้ไม่ได้สนใจผมสักเท่าไหร่ เขาเอาแค่จดจ้องอยู่กับชั้นหนังสือการ์ตูนที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบนั่น ผมเลยเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อเลือกเสื้อให้พี่ไทม์
“เฮ้ย! อ่านเรื่องนี้ด้วยเหรอ ?” พี่ไทม์ตะโกนถามผมจากห้องนั่งเล่น
“หืมมม ? อะไรนะครับ” ผมที่ง่วนอยู่กับการหาเสื้อยืดไซซ์ใหญ่ ที่ดูแล้วพี่ไทม์น่าจะใส่ได้ เพราะตัวพี่เขาใหญ่กว่าผมเยอะ แถมมัดกล้ามยังแน่นอีกด้วย
“อ่านการ์ตูนเรื่อง Vamps ด้วยเหรอ” พี่ไทม์ตะโกนเข้ามาอีกรอบ
“ใช่ครับ แต่มีไม่ครบทุกเล่มนะ” ผมตะโกนกลับ แล้วหยิบเสื้อออกมา พร้อมผ้าขนหนูอีกหนึ่งผืน
“พี่ก็ชอบอ่าน มีครบทุกเล่มด้วย เอาเปล่าเดี๋ยวให้ยืม”
ผมเดินออกมาหาพี่เขาแล้วยื่นเสื้อและผ้าขนหนูให้
“โอ๊ยย ไม่เอาหรอกพี่ เกรงใจครับ เดี๋ยวหนังสือพี่เละ ผมซวยอีก” ผมพูดอย่างเกรงใจ เพราะเข้าใจคนชอบอ่านหนังสือดี ผมยังเฝ้าทะนุถนอมหนังสือผมทุกเล่มแทบตาย ไอ้จอมชอบดอยไปอ่านละทำหายทำเลอะบ่อย ๆ จนหลัง ๆ ผมเลิกให้มันยืมและหงุดหงิดทุกครั้งที่มันดูแลหนังสือผมไม่ดี หนังสือนี่จัดว่าเป็นของรักของหวงผมเลยนะ ไม่มีใครอยากให้คนอื่นมายืมของที่รักไปหรอก
“เฮ้ย! พี่เอามาให้เรายืมได้จริง ๆ นะ” พี่ไทม์รับของจากมือผมไปแล้วพูดออกมาด้วยความไม่คิดมาก
“เกรงใจพี่ ผมไม่ชอบยืมของของคนอื่นอ่า กลัวพัง” ผมว่าปัดพร้อมสีหน้าจริงจัง
“อะไร เป็นโรคขี้เกรงใจหรือไง” พี่ไทม์เลิกคิ้วใส่ผม
“ช่ายยยยย ไม่ชอบยุ่งกับของของใครอ่าพี่” ผมว่าพลางเดินไปที่ตู้เย็นแล้วเปิดเอาน้ำดื่มมาให้พี่เขา
“แล้วแบบนี้พี่ยืมเสื้อเราได้เหรอ เกรงใจตามเลยเนี่ย” พี่ไทม์กลั้วหัวเราะเบา ๆ
“เฮ้ย! ได้ดิ ผมไม่ได้คิดมาก พี่ก็อุตส่าห์มาส่ง ตอบแทนไง” ผมวางน้ำดื่มพร้อมแก้วลงบนโต๊ะและเลื่อนไปให้พี่เขา
“ไม่ได้คิดว่าเป็นบุญคุณอะไร” พี่ไทม์พูดออกมาเบา ๆ แล้วเขาก็...
ถอดเสื้อที่ชื้นฝนออกมาหน้าตาเฉย ผมถึงกับก็รีบเสสายตาไปมองทางอื่น ไม่ใช่เขินหรืออายอะไรนะครับ เพราะไอ้พอร์ช ไอ้จอมแม่งก็แก้ผ้าล่อนจ้อนนอนที่นี่บ่อย แถมผมยังเป็นนักกีฬาว่ายน้ำอีก อยู่คณะที่แม่ง! มีแต่ชายล้วน แต่ไม่รู้ทำไมด้วยความที่ในสมองผมมัน Judge พวกคุณคินน์ไปแล้ว เลยนึกไม่ถึงว่าจะติดดินแล้วทำตัวสบาย ๆ ได้ขนาดนี้อะนะ เพราะเห็นพอร์ชเล่าว่า คุณคินน์ของมัน เปลี่ยนเสื้อผ้าทีบอดี้การ์ดวุ่นวายไปทั้งบ้าน ยืนนิ่งไม่ต้องทำอะไร กระดุมไอ้คุณคินน์ยังไม่ติดเองเลย ต้องมีคนติดให้ มันว่างั้น
“พอใส่ได้ไหมครับ” พอพี่ไทม์สวมเสื้อที่ตัวใหญ่ที่สุดในตู้ผมเข้าไปมันก็ดูรัด ๆ แน่น ๆ แต่ก็ดูดีไปอีกแบบ แล้วพอดีตัวเขามาก ๆ
“ได้อยู่...อะ!” พี่ไทม์ยื่นเสื้อของตัวเองที่ถอดออกเมื่อกี้ให้ผม ซึ่งผมก็รับเอาไว้อย่างงง ๆ “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ พี่ฝากเราซักด้วยละกัน” พี่ไทม์พูดจบก็รินน้ำในแก้วแล้วยกดื่มเข้าไป
“หื้มมม…” ผมที่ยังงง ๆ อยู่ก็ส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อะไรกัน ก็หน้าเราดูเกรงใจพี่ซะขนาดนั้น ถ้าคิดว่าเป็นบุญคุณก็ฝากซักให้ด้วย รอบนี้จะได้หายกัน”
“งั้นเหรอครับ” ผมมองเสื้อพี่ไทม์ในมือตัวเองแล้วเผลอพูดออกไปอีกแล้วทำให้พี่เขาหัวเราะในลำคออีกรอบ
“หรือปกติไม่ซักผ้าให้ใคร ? งั้นไม่เป็นไร” พี่ไทม์ทำท่าจะดึงเสื้อเขาออกจากมือผม
“อ๋อ! ซักได้ครับพี่ เดี๋ยวผมซักให้นะ” ผมรีบชักมือกลับ แล้วยิ้มเขิน ๆ “ว่าแต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมซักเครื่องได้ไหมครับ ? ” พี่ไทม์ขำอีกแล้ว ไม่รู้จะอะไรนักหนาจนผมทำหน้ามุ่ย ขมวดคิ้วทันที “ก็คนมันไม่เคยมีเสื้อ Gucci ใส่นี่ ซักไปละเสียทำไง”
“ฮ่า ๆ แสดงว่าปกติไม่เคยซักผ้าให้ใครเลยสินะ”
“ผมอยู่คนเดียวก็ซักแค่เสื้อผ้าของตัวเองสิ แถมเสื้อผมแพงสุดก็ไม่เกินสามสี่พัน ปั่น ๆ รวมกันในเครื่องแป๊บเดียวก็แห้งแล้ว”
“อ๋อเหรอ...” พี่ไทม์ยิ้มกว้างออกมาแล้วยืนขึ้นพร้อมกับยื่นมือเข้ามาที่หน้าผม แล้วใช้นิ้วคลึงหัวคิ้วผมที่ขมวดกันเป็นปมให้คลายลงเบา ๆ จนผมเหวอไปเล็กน้อย “ฮ่า ๆ ไม่ต้องทำคิ้วผูกโบว์แบบนั้นก็ได้ ซักแห้งครับซักแห้ง แต่พี่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร จะปั่น ๆ รวมกับเสื้อผ้าของเต็มก็ได้” ผมผละตัวออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้ารับ แล้วตั้งใจไปหยิบไม้แขวนเสื้อ เพื่อแขวนเอาไว้ไม่ให้รามันขึ้น แต่ทันทีที่คลี่เสื้อของพี่ไทม์ออก กลิ่นหอมเตะจมูกก็ตลบอบอวลขึ้นมาทันที
“เสื้อพี่หอมจัง” ผมว่าออกไปตามความคิด
“แอบดมเสื้อพี่เหรอ ? ” ประโยคนั้นทำเอาผมหันไปมองพี่ไทม์ที่ทำหน้าล้อ ๆ ผมอยู่
“ปะ...เปล่าครับ มันเตะจมูกขึ้นมาเลยเนี่ย” ผมสะบัด ๆ เสื้อพี่แกสองสามที “พี่ใช้น้ำหอมอะไรเหรอครับ ? ” ด้วยความที่มันหอมมากจนผมรู้สึกชื่นชอบก็เลยถามออกไป
“เตมันปรุงให้อะ สูตรเฉพาะ รายนั้นชอบปรุงน้ำหอมใช้เอง” พี่ไทม์ตอบแล้วลุกขึ้นไปแหวกผ้าม่านดู
“โห...พี่เตนี่เก่งจังเลยนะครับ” ผมพูดออกไปด้วยความชื่นชม
“หึ...มันรอบคอบต่างหาก...” พี่ไทม์พูดเสียงเบาก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ฝนเริ่มซาละ” ผมยื่นหน้าออกไปมองตาม
“จริงด้วย เดี๋ยวผมลงไปส่งนะครับ” พี่ไทม์พยักหน้ารับแล้วหยิบกุญแจรถขึ้นมาแล้วเดินตรงไปที่ประตู
“ว่าแต่หนังสือการ์ตูนเราอะ ไม่อยากอ่านภาคต่อเหรอ” พี่ไทม์ใส่รองเท้าพลางพูดกับผม
“อยากสิครับ แต่หาซื้ออยากมากเลย”
“มันมีร้านหนังสือการ์ตูนลับอยู่ใน MRT จตุจักร ว่าง ๆ ลองไปดูสิ พี่ก็ได้ของแรร์จากที่นั่นเยอะ” พี่ไทม์ลุกขึ้นยืนจากการใส่รองเท้า แล้วผมก็เปิดประตูให้
“จริงดิพี่ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปหาซื้อดีกว่า” ผมตาลุกวาวด้วยความดีใจ ที่ของสะสมของผมใกล้จะเต็มชั้นเข้าไปทุกที
“เดี๋ยวส่งโลให้ มีไลน์กันแล้วนี่”
“ขอบคุณค้าบบบบบ” ผมลากเสียงยาวด้วยความสดใส แล้วลงไปส่งพี่เขาที่ด้านล่างพร้อมกับร่ม ผมพูดขอบคุณอีกครั้ง และยืนกางร่มรอรถพี่เขาขับออกไปจนลับสายตา
เอ้า! ไอ้ห่าเต็ม ลืมคืนร่มพี่ไทม์ว่ะ มึงนี่นะ!!!
ไว้คืนพร้อมเสื้อละกัน เฮ้ออออ...พี่ไทม์ก็นิสัยน่ารักดีนี่หว่า แถมยังใจดีกว่าที่คิดอีกด้วย
:)
