บทที่ 5 EP3 #Chamomile “ผ่อนคลาย สบายใจ” (1)

-Tem-

ผมรู้สึกว่าตอนนี้ ชีวิตผมช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ผมไม่สามารถหาทางออกกับเรื่องนี้ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความโลภในตัวผมถึงชนะความถูกต้อง รู้ทั้งรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี แต่ผมก็ไม่อาจหักห้ามใจได้เลยแม้แต่น้อย

“เอ่อ...”

ผมไม่รู้เลยว่าสองทางเลือกที่ผมมีอยู่ตอนนี้ ผมควรจะเลือกสิ่งที่ถูกใจ หรือว่าสิ่งที่ถูกต้อง ? ถ้าถูกใจแต่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด ถึงจะมีความสุขก็เป็นความสุขแบบเต็มไปด้วยความกังวลมากมาย และนั่นก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่หากเลือกความถูกต้อง แน่นอนว่าผมต้องเผชิญกับความเศร้า ความเจ็บปวดทรมาน แต่ผมเชื่อว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปได้

ผมไม่ควรรู้สึกสับสนแบบนี้ และไม่ควรต้องเอาเรื่องบ้าบอนี้มาหนักใจ เพราะ... มัน ไร้ สา ระ!

โอ๊ยยยยย!!! แต่ถึงแบบนั้นผมก็ตัดใจไม่ได้จริง ๆ

“เราจะปล่อยให้เขารู้สึกแบบนั้นไม่ได้! ไม่ได้แน่ ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้คือรับผิดชอบชีวิตเขา! ลีอากับเทียร์ รอเต็มตัดสินใจแป๊บหนึ่งนะ” ผมมองหนังสือการ์ตูนในมือหกเล่ม ด้วยสายตาเว้าวอนสุดชีวิต ใช่ครับ!!! ผมกำลังหนักอกหนักใจกับหนังสือการ์ตูนที่วางหน้าเคาน์เตอร์เตรียมรอคิดเงิน แต่ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ เพราะอีกใจหนึ่งก็ต้องเอาไปซื้อหนังสือเรียนตามที่บอกกับแม่เอาไว้ TT’

“น้องครับ สรุปยังไงครับ” พี่พนักงานที่รอคิดเงิน มองผมอย่างเซ็ง ๆ แต่ผมก็ไม่ได้สน เพราะเอาแต่จ้องหน้าปกการ์ตูนเรื่อง Vamp ที่สีสันมันล่อตาล่อใจผมเสียเหลือเกิน

เอาไงดี ซื้อการ์ตูน หรือหนังสือเรียน ? ถ้าเป็นหนังสือเรียนมันก็ดูจำเป็นมาก ๆ ครั้นจะไปขอยืมไอ้พอร์ชกับไอ้จอมก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะมันสองคน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องซื้อหนังสือเรียนไปเข้าคลาสด้วย ไม่นะ! ทำไมกูไม่เลือกคบเพื่อนที่มันตั้งใจเรียนกว่านี้วะ! กูจะได้เอาตังค์ไปซื้อความสุขกูบ้าง แล้วหนังสือเรียนเล่มนั้น แม่ง! ก็เสือกใช้ทำรายงานส่งอาจารย์อาทิตย์นี้ด้วยดิ แม่งเอ๊ย!

“เราจะทิ้งเหล่าแวมไพร์ให้โดดเดี่ยวเหรอ ให้พวกเขาสู้อยู่คนเดียวไม่ได้นะเว้ย!! แต่เดี๋ยวก่อน! แม่ให้เงินมึงมาซื้อหนังสือเรียนนะเว้ย! แต่เรียนมากไปก็เครียด แม่น่าจะเข้าใจ ปะวะ! หรือ ๆ เราลองบอกไอ้จอมกับไอ้พอร์ชไหม เผื่อฟลุกแล้วมันอาจจะซื้อก็ได้ แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยที่สุดในชีวิตกูเลยนะ ยืมหนังสือเพื่อนคนอื่นเหรอ ไม่ได้ดิ กลุ่มอื่นก็ใช้ทำรายงานเหมือนกันอ่าาาา”

“เอ่อ...น้องครับ...ช่วยขยับหน่อยนะครับ เชิญครับ” ผมถูกพี่เขาใช้มือดันให้มายืนหลบข้าง ๆ เคาน์เตอร์ แล้วร่างผมก็ทำตามโดยอัตโนมัติ แม้ผมจะไม่ได้เงยหน้าแล้วเอาแต่จ้องหนังสือตาไม่กระพริบเลยก็ตาม

“เอาเล่มนี้ครับ...” ผมได้ยินเสียงแว่ว ๆ จากคนที่ต่อคิวคิดเงินอยู่ข้างหลังผม แต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไร แต่แล้วจู่ ๆ มือใครจากไหนไม่รู้ก็มาคว้าหนังสือจากมือผมลงไปกองรวมกับหนังสือของเขาอย่างถือวิสาสะ “แล้วก็เล่มนี้ด้วยครับ”

หาาาาาา!! ผมรีบเงยหน้าไปมองไอ้คนที่มาฉกฉวยเอาหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดของผมไปเป็นของมันหน้าตาเฉย ใครใช้ให้มึงมาแย่งของ...

“พี่ไทม์! มาได้ไง” ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคนรู้จักมายืนอยู่ในระยะประชิด

“ฮ่า ๆ พี่ยืนอยู่ข้างหลังตั้งนานแล้ว เต็มนั่นแหละเป็นอะไร” พี่ไทม์หัวเราะผมออกมายกใหญ่ จนผมหัวเราะแห้ง ๆ ออกไปด้วยความเก้อเขิน เชี่ย! พี่เขาจะหาว่ากูบ้าปะวะ แล้วพี่ไทม์ก็โน้มหน้าลงมาจ้องหน้าผมใกล้ ๆ ก่อนจะดีดหน้าผากผมเบา ๆ แล้วพูดล้อ ๆ “...เต็มปะเนี่ย”

“แหะ ๆ” ผมลูบหน้าผากตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าพี่ไทม์กำลังยื่นบัตรเครดิตเพื่อคิดเงิน

“หกร้อยยี่สิบบาทครับ”

“เฮ้ย! พี่ไทม์” จังหวะนี้ทั้งพนักงานและพี่ไทม์ไม่มีใครฟังผม พี่ไทม์เองก็กำลังเซ็นใบเสร็จจ่ายเงิน ส่วนพนักงานก็กำลังง่วนกับการแพ็กหนังสือ

“ไม่เอาพี่ ผม...ผมไม่ได้จะซื้อเล่มนั้นนนน” ผมรีบร้องปฏิเสธโดยทันที

“แยกถุงด้วยนะครับ” พี่ไทม์วางปากกาแล้วยิ้มให้พนักงานโดยไม่สนใจผม

“พี่ไทม์! ไม่เอาาา!!” ผมรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน พี่ไทม์รับถุงหนังสือมาจากพนักงานก็รีบดันหลังผมออกไปให้พ้นโซนเคาน์เตอร์ทันที

“เออน่า...ไปกัน ข้างหลังเขารอจะจ่ายเงินแล้ว” พี่ไทม์ลาก ๆ ถู ๆ ผมจนเรามาถึงหน้าร้านหนังสือจนได้ พี่เขายื่นถุงหนังสือให้ผม แต่ผมก็รีบร้องทักด้วยใบหน้าไม่เข้าใจขั้นสุด

“พี่มาซื้อให้ผมทำไม” ผมรีบดันมือพี่เขาออกไป แล้วส่ายหน้ายกใหญ่

“ถ้าขืนปล่อยเต็มยืนอยู่ตรงนั้น คนข้างหลังที่รอจ่ายเงินได้ด่ากราดเต็มแน่” พี่ไทม์ชี้ไปที่แถวคนต่อคิวที่ยาวเหยียดให้ดู จนผมรู้สึกผิดและคิดว่าตัวเองทำบ้าอะไร

อยู่วะ!

“แหะ ๆ ลืมอ่าา ยืนนานไหมอ่า” ผมไม่รู้ตัวจริง ๆ นี่ครับ มันเผลอเข้าไปในความคิดของตัวเองนานไปหน่อย

“โคตรนาน”

“จริงดิ”

“หึ เอาเหอะ เอาไป” พี่ไทม์ยังคงยัดเยียดหนังสือให้ผม แต่ผมก็สู้กลับรีบบอกปัดไปไม่ยอมหยุดเช่นกัน

“ไม่เอาจริง ๆ พี่ ผมเกรงใจ” ผมพูดจริง ๆ นะ คือ...มันยังไง ๆ อยู่ที่พี่เขาจะมาซื้อของให้ผม จริง ๆ เราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แม้พี่เขาจะเคยขึ้นไปบนห้องผมแล้วก็ตาม แต่นั่นมันเหตุสุดวิสัยนี่ครับ เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เอาเหอะ! แต่ถึงอย่างไรยังไงผมก็ไม่รับหรอก ขนาดไอ้พอร์ช ไอ้จอมยังไม่เคยซื้อของให้ผมแพงขนาดนี้เลย “ไม่เอาจริง ๆ พี่ ไปเอาเงินคืนเถอะ”

“รับไปเถอะน่า”

“แต่มันแพงนะพี่”

“ใครบอกว่าพี่ให้ฟรี เต็มต้องเลี้ยงข้าวพี่”

“ห้ะ!” ผมร้องออกมาเสียงดังพลางสบถในใจแล้วใกล้จะร้องไห้เต็มทน ฉิบหายละกู! ระหว่างค่าหนังสือกับค่าข้าวอะไรแพงกว่ากันวะ “ผมไม่มีตังค์หรอก” ผมมองไปรอบ ๆ ห้างฯ แล้วรีบบอกพี่ไทม์ จริง ๆ ก็มีแหละ แต่ผมไม่อยากใช้เงินเกินงบประมาณที่ตัวเองตั้งไว้นี่ครับ ตั้งใจจะประหยัด เพราะไม่อยากรบกวนทางบ้านเยอะ

“เฮ้ย! ลูกชิ้นปิ้งไม้เดียวก็อิ่มแล้ว” พี่ไทม์รีบพูดขัดความคิดของผม แต่ก็ทำเอาผมแปลกใจอีกรอบ

“พี่เนี่ยนะ”

“เออสิ” ผมส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็พี่แกเล่นแต่งแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้ อย่างน้อยก็เอ็มเคละมั้ง แต่เป็ดจานหนึ่งก็ปาไปสามร้อยละปะวะ “พี่เห็นตลาดนัดอยู่ข้าง ๆ ไปกันไหม”

“…” ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไม ๆ คนอย่างผมถึงตกอยู่ในสถานการณ์ต้องตัดสินใจอยู่เรื่อย แต่ดูเหมือนไอ้คนข้าง ๆ ไม่ปล่อยให้ผมได้หนักใจนาน มันก็ลากผมไปอีกแล้ว!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป