บทที่ 8 EP3 #Chamomile “ผ่อนคลาย สบายใจ” (4)

ผ่านเวลาไปสักพัก บอกเลยว่าผมไม่ได้เมาจริง ๆ แต่แค่ฤทธิ์ของมันไปกระตุ้นต่อมความพูดมากให้มากกว่าปกติเท่านั้นเอง แต่ไอ้เบียร์แค่ไม่กี่ทาวเวอร์

ทำอะไรผมไม่ได้หรอก พวกผมดื่มกันป่าเถื่อนกว่านี้อีก แค่นั่งดื่มที่ลานเบียร์อย่างมากก็แค่ทำให้คุยสนุกขึ้นเท่านั้นเอง

“ผมกลับได้จริง ๆ ” ผมรีบบอกพี่ไทม์ที่คะยั้นคะยอจะไปส่งผมให้ได้

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“โหยยย แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว พี่กลับไปเถอะ หอผมอยู่ใกล้ ๆ ”

“เอาเหอะ วันนี้พี่ว่าง ไปส่งแค่นี้เอง”

“ผมนั่งรถเมล์แป๊บเดียวถึงเลย พี่นั่นแหละกว่าจะถึงบ้านอีก” แม้เราจะพูดคุยสัพเพเหระกันนานหลายชั่วโมง แต่ด้วยความที่เป็นพี่ไทม์ก็ไม่ได้ทำให้ผมเกรงใจเขาน้อยลงเลย

“งั้นพี่นั่งรถเมล์ไปด้วย” พี่ไทม์ว่าพลางเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงชิล ๆ

“แล้วรถพี่ล่ะ”

“พี่มากับบ้านเต ตอนแรกว่าจะเรียกแท็กซี่กลับ” แท็กซี่ ? พี่ไทม์เนี่ยนะ เออ!! เขาดูชิลจริงด้วยว่ะ ไอ้พอร์ชเคยบอกว่าปกติคุณคินน์อะไรของมันแทบจะเดินเองไม่ได้เลย บอดี้การ์ดแทบอุ้ม ! ผมเลยติดภาพเป็นแบบนั้นรวมถึงคนรอบตัวเขาด้วยมั้ง ไอ้ห่ารากนี่! ก็ฝังหัวพวกกูมาเกิ๊นนน! “แต่นั่งรถเมล์ก็ดีเหมือนกัน พี่ไม่ได้นั่งนานแล้ว” แต่พี่ไทม์ก็เกินคาดไปหน่อยแฮะ ต่างกันกับไอ้คุณคินน์มากอะไรมาก แล้วพี่ไทม์เขาไม่ใช่มาเฟียเหรอ ? ไม่ต้องมีบอดี้การ์ดมาตามอุ้มแบบคุณคินน์ของไอ้พอร์ชหรอกเหรอ ?

“เอ่อ...คือ...” ไม่รู้จะพูดไงว่ะ กำลังตกใจกับความชิลเกิ๊น ที่เหนือความคาดหมายของพี่เขา แล้วเป็นเพื่อนกันจริงปะ ? หรือยังไง งงนะเนี่ย!

“เอางี้! พี่จะไปเอาเสื้อด้วย เต็มซักให้พี่แล้วใช่ปะ”

“มีร่มด้วยที่ผมไม่ได้คืน” เอ้า! สรุปผมจะให้พี่เขาไปส่งเหรอ หรืออะไร ? กูเริ่มไม่เข้าใจตัวเองละ

“เออ ตั้งสองอย่างแน่ะ งั้นพี่ไปเอาละกัน”

“เฮ้ยพี่! เอาจริงดิ” แล้วไม่ทันขาดคำ พี่ไทม์แม่ง! ก็ดึงมือผมขึ้นรถเมล์ที่จอดตรงหน้าป้ายพอดิบพอดี

“ไปเร็วววว”

-บนรถเมล์-

แล้วเมื่อขึ้นมาบนรถผมก็เกิดเกรงใจพี่ไทม์ขึ้นมาเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง ก็ทำไม๊ ทำไม รถเมล์รอบเที่ยงคืนมันถึงอัดแน่นไปด้วยคนขนาดนี้วะ! ให้ตายเถอะ

“คนมันเยอะ จับแขนพี่ไว้ละกัน” เหมือนความคิดผมเสียงดังไปหน่อย ทันทีที่รถออกแล้วผมไม่ทันได้ตั้งตัว ใบหน้าของตัวเองก็ไปกระแทกกับอกพี่ไทม์เข้าอย่างจัง แถมพี่ไทม์ที่เกาะราวไว้ก็คว้าเอวผมไปโอบ อาจจะด้วยความตกใจจากแรงกระชากรถ หรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้ให้ตายเถอะ! ผมเอาหน้าออกจากตัวพี่ไทม์ไม่ได้ เพราะคนมันเบียดแล้วเซกันมากองอยู่ที่ผมอะดิ แม่งเอ๊ยยย!!! อยู่ตรงประตูทางออกพอดีด้วย...ผมพยายามสูดหายใจเข้าเพื่อตั้งสติแล้วดึงหน้าตัวเองออกมา แต่...กลิ่น...กลิ่นนี่มัน...น้ำหอมของพี่ไทม์ที่ผมสูดเข้าปอดเต็ม ๆ เจือไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์เบา ๆ ทำไมรู้สึกว่ามัน หอมกว่าครั้งที่แล้ววะ ถึงจะเป็นกลิ่นเดิมก็เหอะ แต่ครั้งนี้มันชัดจนผมรู้สึกว่าตัวเองเมา และมึนจนสติหลุดไปได้ง่าย ๆ จนกระทั่ง...

“แอบดมพี่อีกแล้วเหรอ” พี่ไทม์พูดพลางหัวเราะในลำคอ ผมรีบดึงตัวเองกลับมาอย่างไว แล้วเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น

“บ้าเหรอ คนมันเยอะ”

“วันศุกร์ก็แบบนี้แหละ...แต่จะดมต่อก็ได้นะ พี่ไม่ว่า” ผมเงยหน้ามองพี่ไทม์ด้วยสายตาเชิงตำหนิ พอเริ่มคุยกันเยอะ นั่งเมาด้วยกันมันก็กวนตีนผมไม่หยุดเลยครับทีนี้ แต่กูไม่ใช่โรคจิตนะเว้ย!! “ล้อเล่น...ป้ายหน้านี่ใช่ปะ” ผมพยักหน้าตอบรับ พอรถจอดที่หน้าป้าย เราสองคนพร้อมคนอีกโขยงหนึ่งก็กรูกันออกและกรูกันเข้า จนพี่ไทม์ต้องเอามือจับไหล่ผมทั้งสองข้างจากทางด้านหลัง แล้วตัวผมก็ถูกดันจนแผ่นหลังติดกับร่างของพี่ไทม์ รู้ตัวอีกทีพี่เขาก็วาดแขนทั้งสองข้างมาล็อกคอผมไว้แล้วเราก็พากันเดินเข้าไปในซอยหอของผม

“เราไม่ต้องจ่ายตังค์เหรอ”

“รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนน่ะ”

“ภาษีเมื่อร้อยปีที่แล้วเหรอ ? ทำไมรถเก่าจัง ฮ่า ๆ ” พี่ไทม์พูดออกมาอย่างขำขัน ในจังหวะนั้นเองที่ผมก็หัวเราะไปด้วย จู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ...คือเราสองคนยังอยู่กันท่าเดิมน่ะ พี่ไทม์ยังคง เอ่อ...กอดคอผมจากทางด้านหลัง แม้ว่ากลิ่นกายพี่แกจะหอมเตะจมูกจนทำผมเคลิ้ม แต่นาทีนี้ผมตัวแข็งทื่อเพราะทำอะไรไม่ถูก แล้วพี่ไทม์คงรู้สึกได้เหมือนกันว่าผมเดินเกร็ง ๆ เขาเลยคลายอ้อมแขนออกจากตัวผม แล้วเลื่อนมือไปขยี้หัวผมแทน

“…” ผมหายใจโล่งอกเบา ๆ แม้พยายามจะไม่คิดมาก แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่ดี

“หอเรานี่เวลาเดินก็ไกลเหมือนกันนะเนี่ย” พี่ไทม์พยายามพูดสัพเพเหระไปด้วย จนเราเดินอยู่ในสภาพที่ปกติสักที พี่เขาอาจจะเมา ๆ กรึ่ม ๆ ไม่คิดไรมาก ช่างมันเถอะ

-ห้องเต็ม-

“จะว่าไปก็มึนเหมือนกันนะเนี่ย” พอเปิดเข้าไปในห้องพี่ไทม์ก็ตรงดิ่งเข้าไปที่โซฟาแล้วล้มตัวนอนยาวลงไปทันที ผมไม่ได้คิดมากอะไรที่พี่เขาขึ้นมาบนห้อง เพราะปกติเพื่อนผมก็ทำประจำ

“โอเคปะพี่” ผมถามพลางถอดรองเท้า แล้วเดินเข้าไปที่โซนครัว

“ไม่ได้ดื่มเบียร์นาน เอาเรื่องเหมือนกันนะ” พี่ไทม์เอามือวางไว้ที่ศีรษะของตัวเอง ผมเห็นแบบนั้นก็กดเปิดสวิตช์กาน้ำร้อนแล้วรอน้ำเดือด ระหว่างนั้นผมก็เดินเข้าไปในห้องนอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อพี่เขาที่ซักเรียบร้อยแล้วออกมา

“เสื้อวางตรงนี้นะพี่” ผมบอกพี่ไทม์ที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ แล้ววางเสื้อไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ โซฟา ก่อนตัวผมจะเดินไปที่ห้องครัวแล้วรินน้ำร้อนใส่แก้ว ผสมน้ำเย็นในตู้เย็นเข้าไปให้มันกลายเป็นน้ำอุ่น แล้วจัดการเปิดตู้เก็บของในครัวที่อยู่เหนือศรีษะหยิบเอากล่องชาคาโมมายล์ออกมา

“พี่ไทม์ดื่มนี่ก่อนนะ” ผมชงชาเสร็จก็เดินเอาออกมาให้พี่ไทม์

“หืมมม หอมจัง” พี่ไทม์หรี่ตาขึ้นมามองเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“ชาคาโมมายล์น่ะ เผื่อจะดีขึ้น”

“มันช่วยเหรอ ? ”

“ไม่แน่ใจ น้ำอุ่นน่าจะช่วยได้ แต่คาโมมายล์ช่วยให้หลับฝันดี” ผมบอกเท่าที่ผมรู้ แล้วผมก็หามาให้เท่าของที่มีอยู่ในห้องด้วย

“แค่นี้ก็ฝันดีแล้ว” พี่ไทม์ว่าออกมานิ่ง ๆ ผมยิ้มเล็กน้อย แล้วเขาก็ค่อย ๆ จิบชาทีละนิด แต่ประโยคนั้นก็ทำเอาผมนิ่งอึ้งไปได้สักแป๊บ แต่มันคงไม่มีอะไร พี่ไทม์มันก็พูดไปตามประสาคนเฟรนด์ลีทั่วไป ๆ นั่นแหละ

“ขอสูบบุหรี่นะ” พี่ไทม์วางแก้วชาลง แล้วเดินไปเลื่อนประตูกระจกตรงระเบียงให้กว้าง ๆ

ผมไม่ได้ว่าอะไร เห็นพี่แกยืนพิงกับขอบประตูระเบียงแล้วเป่าควันออกมาท่าทางกำลังผ่อนคลายน่าดู ส่วนผมก็ทิ้งตัวเองลงนั่งกับโซฟาแล้วกดโทรศัพท์ ตอบข้อความเพื่อน ๆ แล้วเลื่อนดูคลิปตลก ๆ บนหน้าฟีดไปเรื่อย ๆ

“ดูอะไรอยู่อะ”

ผมที่สนุกไปกับการไถหน้าฟีด อ่านอะไรขำขันไปอยู่นั้นก็ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าพี่ไทม์มันสูบบุหรี่เสร็จแล้ว และตอนนี้มันก็มายืนค้ำหัวผมในระยะประชิด แถมยังเอามือสองข้างคร่อมร่างผมไว้ โดยมันโน้มตัวลงมาใช้มือเกาะไปกับพนักโซฟา จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองมันอย่างตื่น ๆ ด้วยความตกใจ แต่...ผมต้องเก็บความรู้สึกนั้นให้ลึกลงไปในความรู้สึกแทบจะทันที เมื่อสายตาเราประสานกันเพียงชั่วขณะ แล้วหัวใจผมก็เริ่มเต้นระรัวด้วยความรู้สึก...อะไรก็ไม่รู้ ที่ผมก็ไม่เข้าใจ

อาจจะเป็นเพราะ...กลิ่นกายที่ยังคงเตะจมูกผมอย่างไม่ยั้ง ผสมด้วยแอลกอฮอล์ เจือด้วยกลิ่นบุหรี่ที่มันยิ่งทำให้กลิ่นน้ำหอมที่ตลบอบอวลนั้นโดดเด่นขึ้นมา จนเหมือนเป็นมนต์สะกดทำให้แน่นิ่งไม่สามารถละสายตา หรือ ละออกจากความหอมที่เร่งเร้าให้รู้สึกกระวนกระวายภายในใจได้สักวินาทีเดียว

“…” แม้แต่ลมหายใจอ่อน ๆ ที่รินรดอยู่บนใบหน้าผมก็ยิ่งทำให้รู้สึกสั่นไหว จน...สติหลุดไปชั่วขณะ จนกระทั่ง...

“เอ้า!” เขายกยิ้มให้ผมก่อนจะถอดเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นร่างกายที่ขาวกำยำ และกลิ่นก็ฟุ้งกว่าเดิม และชัดเจนมากจนผมเบลอเมื่อไอ้พี่ไทม์มันเอาเสื้อตัวนั้น แปะไว้บนหน้าผม แล้วมันก็หัวเราะออกมา

“อ…อะไร” ผมที่เริ่มได้สติก็หยิบเสื้อพี่ไทม์ออกมาจากใบหน้า แล้วถามด้วยความไม่เข้าใจ

“ซักให้ด้วย” พี่ไทม์ว่าออกมาแล้วหยิบเสื้อตัวที่ผมเตรียมไว้ให้แล้วหยิบขึ้นมาใส่

“อ...อะไรนะ” ผมมองเสื้อในมือตัวเองกับหน้าพี่ไทม์ด้วยความงงงวย

“เดี๋ยววันหลังมาเอา” พี่ไทม์ยิ้มกว้างให้ผมแล้วยีหัวผมไปหนึ่งทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์บนโซฟาของตัวเอง แล้วเดินไปนั่งที่ประตูทางออกพลางใส่รองเท้า

“อ…อื้อ” ผมตอบรับด้วยความไม่เข้าใจเหี้ยอะไรสักอย่าง “ด...เดี๋ยวไปส่ง” ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“ไม่ต้องหรอก พักผ่อนเถอะ...”

“อ…โอเค” ผมเกาหัวตัวเองพลางตอบรับ

“ไว้วันหลังพาพี่ไปทะเลหน่อยนะ...” พี่ไทม์ยืนขึ้นตัวตรงหลังจากใส่รองเท้าเสร็จแล้วก่อนจะหันมามองผม “ทะเลของเต็ม พี่อยากไป” พี่ไทม์ยิ้มกว้างให้ผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็พยักหน้ารับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แล้วก็ไม่เข้าใจมาก ๆ ด้วย

“ไปละ”

ผมจะเอ่ยคำลาพี่แกบ้าง แต่เขาก็ออกไปจากห้องเสียก่อน ทิ้งให้ผมนิ่งอึ้ง แล้วคำถามมากมายก็ประเดประดังเข้ามาในหัวไม่หยุดหย่อน พี่ไทม์มันเมาปะวะ ? หรือมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ? หรือว่ามัน... โอ๊ยยยยยย!!!! ผมโคตรไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างเลย ขอให้เป็นเพราะทั้งผมและทั้งมัน เมาเถอะ จะได้ไม่ต้องหาคำตอบอะไรให้มากมาย แล้วอะไรที่เราไม่เข้าใจก็อย่าไปทำความเข้าใจเลย เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องเข้าใจหรอก แต่!!!

“ตัวพี่ไทม์มันทำไมหอมขนาดนั้นวะไอ้เหี้ย!!!” ผมเผลอคิดถึงกลิ่นกายนั้นขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงหยุดนึกถึงไม่ได้ แล้วผมก็ซุกหน้าลงไปกับหมอนบนโซฟา แล้วแดดิ้นทันที เพื่อขจัดสิ่งที่ไม่ควรระลึกถึงออกไป

ให้ตายเถอะ!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป