1
หกเดือน
มันแค่หกเดือนเท่านั้น แต่ทั้งร่างกายและจิตใจกลับรู้สึกราวกับว่ามันนานเป็นปี หกเดือนที่ต้องกินอาหารห่วยๆ อาบน้ำรวมกับเด็กผู้ชายคนอื่น ทำกิจกรรมกลุ่ม แล้วก็คุยกับนักจิตวิทยาเรื่องความรู้สึกของเรา
ความรู้สึกงั้นเหรอ?
น่าสมเพชสิ้นดี แถมยังเป็นการลงโทษอีกต่างหาก
แต่สถานพินิจมันควรจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ ถ้าไม่ใช่การลงโทษที่แสนสาหัสซึ่งออกแบบมาเพื่อกักขังเด็กหลงทางที่เป็นภัยต่อสังคม? สังคมอันสูงส่งนั่นน่ะ
'ของของแก' ผู้คุมพูดพลางยื่นถุงกระดาษใบเล็กผ่านช่องกระจกที่กั้นเราสองคน
ผมใช้มือที่ช้ำรอยคว้าถุงใบนั้น รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คุมที่จับจ้องมา ในถุงมีโทรศัพท์ นาฬิกา และกระเป๋าสตางค์ของผม ผมเหลือบมองผู้คุมเป็นครั้งสุดท้าย สังเกตเห็นแววตาดูแคลนและหงุดหงิดของอีกฝ่าย
ผมทำเรื่องเลวร้ายลงไป
แต่ผมก็ไม่ได้รับโทษอย่างที่ควรจะเป็น
พวกเขารู้ ทุกคนรู้ แต่นี่แหละคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีเงินมหาศาลและมีทนายที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง...โลกมันต่างออกไปสำหรับคนอย่างผม
ผมยิ้มแล้วชูนิ้วกลางให้พวกเขา ทำให้ผู้คุมอีกคนฟาดเข้าที่ท้ายทอยผมอย่างแรง แต่ผมก็ยังยิ้มต่อไปขณะที่ถูกลากออกมาข้างนอก
แสงแดดแรกในรอบสามวันหลังจากถูกขังเดี่ยวทำเอาผมแสบตา ผมต้องหรี่ตาเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความสว่างของโลกภายนอกกำแพงปูนนั่น ผู้คุมยังคงลากผมไปยังทางออกขณะที่ความสนใจของผมถูกดึงไปที่เด็กหนุ่มในสนามที่กำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ ซึ่งบางคนก็กำลังมองมาที่ผม
ผู้คุมแทบจะผลักผมทะลุประตูที่นำไปสู่ลานจอดรถ ผมได้ยินเสียงเขาถ่มน้ำลายลงพื้นก่อนจะปิดประตูรั้วแล้วเดินจากไปพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำ
'แกไม่เปลี่ยนไปเลยนะ'
ผมหันไปตามเสียงแล้วก็พบว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมกำลังยืนพิงรถที่จอดอยู่
'เคนจิ' ผมเอ่ย รู้สึกว่ารอยยิ้มของตัวเองกว้างขึ้น
เพื่อนวัยเด็กของผมรีบเดินเข้ามาดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่น กลิ่นที่คุ้นเคยของเขาโชยมาปะทะจมูก ทำให้ความทรงจำตอนที่ไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียนหรือทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาหลังจากการต่อสู้โต้รุ่งหวนกลับคืนมา
'ชินพนันไว้ว่าแกจะแยกพวกเราไม่ออก' เขาพูดพลางผละออกพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
'ก็แค่ต้องจำว่าคนไหนขี้เหร่กว่ากัน' ผมแกล้งแหย่ ทำให้เขาหัวเราะลั่น
'คิดถึงแกว่ะ' เขาพูดพลางสบตาผม
'กูก็เหมือนกัน' ผมยอมรับ พลางสำรวจเสื้อผ้าสีดำสบายๆ กับแจ็กเก็ตสีขาวของเขา นอกจากผมสีแพลทินัมแล้ว แจ็กเก็ตตัวนั้นก็ดูโดดเด่นที่สุด หนังของมันเรียบและใหม่เอี่ยม ราวกับว่าเขาพยายามจะเรียกร้องความสนใจ แต่ผมรู้จักเคนจิดีเสียยิ่งกว่าใคร...เขาก็แค่เป็นพวกคลั่งความสมบูรณ์แบบเรื่องเสื้อผ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เขาเปิดประตูรถแล้วผายมือให้ผมเข้าไป
'กูขับเอง'
เคนจิไม่เถียง เขาแค่โยนกุญแจให้แล้วก็ขึ้นรถไป ผมหันกลับไปมองลานอึกทึก เห็นเด็กหนุ่มสองคนกำลังยืนพิงรั้วอยู่ ฮิตากิกับอาเคมิเป็นเพื่อนเพียงสองคนของผมตลอดหกเดือนที่ผ่านมา พวกเขาคือคนที่ยอมอดนอนเพื่อให้ผมนอนหลับได้ และเป็นคนกระทืบคนอื่นเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไรนอกจากจ้องมองท้องฟ้าสีครามหย่อมเล็กๆ นอกหน้าต่าง
พวกเขายกมือขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ผมทำแบบเดียวกันโดยรู้ดีว่าถ้าไม่มีพวกเขาทุกอย่างคงจะเลวร้ายกว่านี้มาก ผมรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าอีกไม่กี่เดือนพวกเขาก็จะได้ออกจากนรกขุมนี้แล้ว
ผมขึ้นรถแล้วเริ่มขับออกไป
'อย่างแรกเลยนะ เราจะแวะร้านตัดผมก่อน ผมแกดูไม่ได้เลย' เคนจิบ่นพลางสางมือผ่านผมเผ้ายุ่งเหยิงของผม 'สภาพแบบนี้ทำตระกูลเฮบิขายขี้หน้าหมด' เขาแกล้งว่าอย่างขบขัน
ผมไม่จำเป็นต้องส่องกระจกก็รู้ว่ามันดูแย่แค่ไหนหลังจากที่ต้องสระมันด้วยสบู่ก้อนมาหลายเดือน หรือจากการตัดผมห่วยๆ ของฮิตากิเวลาที่มันยาวจนทิ่มตา
'กูซื้อเสื้อผ้าใหม่มาให้ เผื่อแกอยากเปลี่ยน' เขาพูดพลางเหลือบมองเสื้อยืดเรียบๆ กับกางเกงยีนส์เก่าๆ ของผม 'เปลี่ยนก่อนไปเจอพ่อแกนะ อยู่มาตั้งหลายเดือน อย่าให้ดูเหมือนเด็กข้างถนนสิ' เขาแนะนำพลางเอื้อมไปหยิบถุงที่เบาะหลัง
ผมขับรถต่อไปโดยไม่มองเขา
'แล้วก็มีโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้ด้วย ของแกมันตกรุ่นแล้ว' เขาพูดก่อนจะโยนโทรศัพท์เครื่องเก่าของผมออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ 'กูเซฟทุกอย่างที่แกต้องใช้ไว้ให้แล้ว แล้วก็สำรองรูปจากคลาวด์ไว้ให้ด้วย' เขาอธิบายพลางโชว์โทรศัพท์เครื่องใหม่ให้ดู ผมไม่ได้ละสายตาจากถนนเลย
ผมขับรถมาได้ชั่วโมงหนึ่งแล้ว เราใกล้จะถึงเมืองของเรา และผมก็รู้ดีว่าต้องทำอะไรเมื่อไปถึงที่นั่น
'แกโอเคไหม' เคนจิถามเมื่อสังเกตเห็นว่าผมนั่งเงียบ
'กูยังมีเวลาก่อนจะไปเจอเขา จนกว่าจะถึงตอนนั้น อย่าให้ใครมายุ่งกับกู' ผมสั่งพลางวางข้อศอกพิงขอบประตู
'แน่ใจเหรอ? พวกเราซื้อเหล้าแล้วก็สั่งอาหารจากร้านโปรดของแกมานะ' เขาพูดพลางมองผม 'แล้วแกก็ต้องไปเจอสมาชิกใหม่กับทบทวนหน้าที่ในสัปดาห์นี้ด้วย' เขาเสริมพลางขยับตัว
'พรุ่งนี้ค่อยทำ วันนี้อย่าให้ใครมายุ่งกับกู' ผมย้ำพลางหันไปสบตาเขา ดวงตาของผมมืดมนไม่ต่างจากของเขาเลย
'ถ้าแกต้องการแบบนั้น' ในที่สุดเขาก็ยอม
'กูไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องห่วง' ผมยืนยันขณะที่เราเข้าใกล้ทางเข้าเมืองของเรา
หกเดือนที่ผมต้องจากชีวิต จากเมืองของผม จากทุกสิ่งที่ผมรู้จัก เกลียดชัง และรักใคร่ ผมสงสัยว่าสิ่งเหล่านั้นจะยังคงอยู่หรือไม่ และสิ่งใดที่ผมเคยรัก...ที่ผมนับจากนี้ไปจะต้องเริ่มเกลียดชัง











































