เหนือและนอกเหนือกว่า
ผมหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินออกจากห้องเฮงซวยนั่น โคตรโมโหเลยว่ะ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย แล้วผมจะอยู่กับไอ้เอเมอร์สันได้ยังไงถ้ามันยังหาเรื่องงี่เง่าไม่เลิกแบบนี้ แล้วผมจะเรียนรู้อะไรได้ถ้าต้องมาเรียนกับไอ้ปัญญอ่อนนั่น ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันจะฉลาดขนาดนั้น มันต้องโกงข้อสอบแน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ
โรงเรียนนี้ต้องมีติวเตอร์คนอื่นสิ ให้ตายเถอะ—ต้องมีเด็กปีหนึ่งที่ฉลาดกว่ามันแน่ๆ ทางเลือกสุดท้ายของผมจะเป็นไอ้เอเมอร์สัน เบ็คเก็ตต์บ้านั่นไม่ได้เด็ดขาด มันจะเป็นไปไม่ได้หรอก โลกยังไม่แตกตอนนี้ซะหน่อย
ผมล้วงกระเป๋า ทำหน้าบึ้งตึงขณะเดินกระทืบเท้าออกจากล็อบบี้ ตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าจะโดดเรื่องบ้าๆ ที่แลงดอนสั่งให้ทำคืนนี้ ผมจะไม่ทนนั่งอยู่ในห้องนั่นแน่ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะจับหัวไอ้เบ็คเก็ตต์โขกกำแพงเข้าสักวัน
วิ่งตอนเย็น ใช่เลย นั่นแหละที่ผมต้องการ ระบายอารมณ์ซะหน่อย ทำให้หัวโล่งๆ กระทืบเท้าลงบนลู่วิ่งให้หนักจนเสียงอื้ออึงในหัวมันเงียบไป ผมเริ่มเดิน
แน่นอนว่าเท้าเจ้ากรรมของผมดันพาผมตรงมาที่สนามฟุตบอลจนได้ ผมถอนหายใจขณะมองออกไปยังอัฒจันทร์ที่ว่างเปล่า
แต่แล้วผมจะไปที่ไหนได้อีกล่ะ สนามคือชีวิตของผม เป็นมาตลอด และผมก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป
ผมออกตัววิ่งเต็มฝีเท้าบนลู่วิ่ง ไม่กี่อึดใจต่อมา ผมก็เจอเข้ากับลุคและคอนเนอร์
ทั้งคู่ชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นผม
“โย่ว เพียร์ซ!” ลุคทักพร้อมกับโบกมือ คอนเนอร์ยิ้มอย่างเกียจคร้านแล้ววิ่งเหยาะๆ มาอยู่ข้างๆ
“มีไรวะ” ผมถาม เสียงยังคงห้าวเพราะเพิ่งทะเลาะมา
“เกมแรกอีกประมาณสองเดือนนะเพื่อน โค้ชกำลังไล่บี้ทุกคนอยู่ พวกเราเลยออกมาวิ่งกันแป๊บๆ” ลุคยิ้ม ยิ้มแบบเบี้ยวๆ หน่อย “มึงก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะโบร ไม่มีใครอยากเห็นมึงนั่งข้างสนามหรอก”
“เออ” คอนเนอร์หัวเราะเบาๆ พูดจาไม่ค่อยเป็นคำ—คงจะเมากัญชาเหมือนเคย “เพื่อน มึงจะพลาดนัดนี้ไม่ได้นะเว้ย นี่มันระดับรัฐนะเว้ย ระดับรัฐ!”
“กูไม่พลาดหรอก” ผมตอบกลับไปอย่างหัวเสียหน่อยๆ ผมรู้ดีฉิบหายว่ามันเป็นระดับรัฐ เหมือนทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมใจกันย้ำเตือนเรื่องนี้จนหูผมจะแฉะอยู่แล้ว “กูพร้อมแน่”
“ดี” ลุคพูดพลางตบหลังผมโดยไม่ทันสังเกตว่าผมอารมณ์ไม่ดี “เออ คืนนี้มีปาร์ตี้สำหรับเด็กปีหนึ่ง ห่างจากนี่ไปไม่กี่ไมล์ มึงเอาปะ หน้าใหม่ๆ หุ่นใหม่ๆ... ถ้ามึงอยากจะเสียบหีใหม่ๆ บ้างนะเพื่อน นี่แหละโอกาสเลย”
คอนเนอร์หัวเราะแล้วส่ายหน้า “ลุค โบร—กรองหน่อยเพื่อน เขาก็มีเรื่องให้คิดเยอะพออยู่แล้ว”
ผมแสร้งหัวเราะแล้วส่ายหัว ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรที่ผมไม่อยากทำไปมากกว่าการไปอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงดังๆ กับคนเมาๆ อีกแล้ว พระเจ้าช่วย อย่าให้ผมเจอแมนดี้เลย “ไม่ล่ะ ขอบาย แต่พวกมึงไปสนุกกันเถอะ”
ผมวิ่งผ่านพวกเขาไป ไม่สนใจเสียงหัวเราะกึ่งเมาของลุค ขณะที่ทั้งคู่เดินต่อไปตามทางของตัวเอง
วินาทีที่ผมเริ่มวิ่งบนลู่อีกครั้ง คำพูดของพ่อก็ดังก้องอยู่ในหัวเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ผสมปนเปไปกับคำพูดของโค้ชราวกับซิมโฟนีหลอนประสาท คำเตือนที่บิดเบี้ยวซ้ำไปซ้ำมาในหัว ขีดข่วนสมองของผมอย่างเจ็บปวด ผมกัดฟัน สบถกับตัวเองเบาๆ แม้แต่ในหัวของผมเองก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว
ผมไม่มีทางได้รับความช่วยเหลือในการทำให้แคลวิน เพียร์ซ ใจอ่อนลงได้เลย ผมรู้ว่าท่านไม่เชื่อ แต่แม่เลี้ยงของผมเกลียดผม ส่วนซิลเวสเตอร์ พี่ชายต่างแม่ของผม ก็จะโผล่มาแค่ช่วงวันหยุดเท่านั้น
ผมโทษพ่อไม่ได้ ท่านผลักดันให้ผมเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด เพียงแต่... ท่านผลักดันผมหนักเกินไป และผลักไสผมไปสู่ความบ้าคลั่ง ผมไม่สามารถแม้แต่จะกะพริบตาโดยไม่นึกถึงสิ่งที่ผมกำลังจะสูญเสียไป
ผมทำได้ดีมาตลอด ในสิ่งที่พ่ออยากให้ผมทำ ใช่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผม นอกจากนี้ผมก็อยากทำมันอยู่แล้วด้วย ผมคงจะเลือกมันด้วยตัวเองอยู่ดี เพียงแต่พ่อของผมเลือกมันก่อน เพราะท่านห่วงใยผม และที่สำคัญกว่านั้น ท่านอยากให้ผมประสบความสำเร็จ
ผมวิ่งจนขาเริ่มปวดแต่ก็ไม่ได้ฝืนตัวเองมากเกินไป เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงพอถึงตอนเช้าผมก็ต้องกลับมาวิ่งบนลู่นี้อีกครั้ง
ผมหอบฮักๆ ย่อตัวลงเพื่อพักหายใจ ผมจะปล่อยให้ความพยายามทั้งหมดของผมสูญเปล่าไปเพราะข้อสอบไม่กี่ฉบับไม่ได้เด็ดขาด ผมต้องหาติวเตอร์คนใหม่ให้ได้ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เบ็คเก็ตต์
เขาน่าโมโหชะมัด แถมยังขี้เก๊กเกินความจำเป็นอีก เขาเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาพูดเรื่องชีวิตของผมในขณะที่ชีวิตของมันเองเละเทะเป็นบ้า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากหน้าโง่ๆ เฮงซวยของมัน
ผมต้องอยู่กับหมอนั่นอยู่แล้วและก็ทำอะไรกับเรื่องนั้นไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากทุกอย่างแล้ว หอพักนั้นคือที่ที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้ ผมจะไม่รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้—ผมไม่อยากเสี่ยงให้คณะกรรมการวินัยตัดสินว่าผมผิดแล้วโดนบังคับให้ย้ายออกแทนที่จะเป็นเบ็คเก็ตต์—และผมก็รู้ว่ามันก็จะไม่รายงานเหมือนกัน แต่ผมยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้
ผมรู้ว่าโค้ชเก็บกุญแจสำรองของห้องล็อกเกอร์ไว้ที่ไหน ผมเลยไขเข้าไปข้างใน ผมหยิบผ้าขนหนูแห้งผืนใหญ่มาสองผืน ลากม้านั่งสองตัวมาวางชิดกัน ผมปูผ้าผืนหนึ่งลงบนเตียงเฉพาะกิจของผม ปิดไฟสว่างจ้าเพื่อไม่ให้ใครเห็นแล้วเข้ามาดู ผมไม่จำเป็นต้องใช้มันด้วยซ้ำ ผมใช้เวลาอยู่ในนี้บ่อยพอๆ กับเวลากินข้าว ผมเดินกลับไปแล้วเอาผ้าขนหนูอีกผืนมาห่มตัว
ลำพังในความมืดมิดและความเหนื่อยล้า ความกลัวที่ผมพยายามกดมันเอาไว้ก็พลุ่งพล่านขึ้นมา และผมก็หลับตาแน่นเพื่อต้านทานหยาดน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลทะลักออกมา ฉิบหาย ผมจะไม่ร้องไห้ มันยังไม่สิ้นหวังซะหน่อย ยังไม่ใช่ตอนนี้
เสียงเล็กๆ ในหัวของผมยังคงไม่ยอมเงียบไป ถ้าฉันทำไม่ได้ล่ะ
เป็นความคิดที่เจ็บปวด เพราะถ้าฉันทำไม่ได้จริงๆ ล่ะ ถ้าฉันแค่ไม่ฉลาดพอที่จะสอบผ่านล่ะ ปีที่แล้วฉันก็พยายามแล้ว และตอนนี้ฉันต้องพยายามให้หนักขึ้นเป็นสองเท่าเหรอ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า
แล้วฉันจะทำอย่างไรถ้าสิ่งที่ฉันรักถูกพรากไปจากฉัน เพราะข้อบกพร่องของตัวฉันเอง






















































































































