บทที่ 19 หมาน้อยชอบกินเผ็ด

ห้องรับรองแขกพิเศษ

ภายในห้องบรรยากาศดีมาก โอ่โถงโล่งสบาย มีกลิ่นหอมอ่อนของกำยานและมวลดอกไม้สีสดใส ที่ถูกจัดวางอย่างประณีตและลงตัว จางหย่งคอยอารักขาอยู่ด้านนอก ภายในห้องนั้นจึงมีเพียงแค่คนสองคนที่มองตาอ่านความคิดกันไปมา

"ท่านว่า/เจ้าว่า" พอนึกจะเอ่ย กลับพูดออกมาพร้อมกัน ทุกอย่างจึงวนเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

"เจ้าพูดก่อนสิ"

"ท่านเถอะ คำพูดข้ามิได้สำคัญอะไร"

"ก็ได้ เจ้า...คิดกับข้า อย่างที่เลี่ยงหรูพูดจริง ๆ หรือ!"

"...!!?"

"ฮึ นั่นสินะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร เฮอะๆ" ซั่วหยางหัวเราะแก้เก้อ ทั้งๆ ที่เอ่ยถามไปด้วยใจอยากรู้จริงๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกเวลาสักเท่าไหร่

"ท่านเองก็ไม่ต้องฝืนใจแสดงว่ารักข้ามากเช่นนั้นก็ได้ ข้าไม่ค่อยชิน"

"อ้อ ก็ฝืนนิดหน่อย ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก ฮ่าๆ"

นางก้มหน้า ลดสายตากดต่ำเมื่อได้ฟังคำตอบของเขา สะกิดใจให้ร่างใหญ่รู้ได้ทันทีว่าเขาพูดผิดอีกแล้ว ซั่วหยางเบือนหน้าหลบ แล้วแอบดึงสีหน้าบ่นพ้อให้ตัวเองแบบไร้เสียง ก่อนจะหันมาปั้นหน้ามายิ้มดังเดิม

"ขออนุญาตขอรับ อาหารมาส่งขอรับ"

เหมือนว่าเสี่ยวเอ้อจะมาได้จังหวะพอดี ซั่วหยางยังคงตีหน้าตึงเมื่อมีผู้อื่นอยู่ด้วย แต่เมื่อเสี่ยวเอ้อคนนั้นเดินออกไปเขาจึงกลับมาทำตัวตามสบายดังเดิม

"ลองชิมนี่ดู คิดว่าเจ้าคงชอบ"

ซั่วหยางคีบผักย่างโรยพริกให้กับนาง แล้วมองจ้องรอคำตอบ อย่างกระตือรือร้น

"เป็นอย่างไร อร่อยหรือไม่"

"เพคะ" นางเอ่ยตอบเขาด้วยคำสั้นๆ สีหน้านิ่งเรียบ

"ไม่เอาน่า อย่าทำโทษข้าเช่นนี้สิ ถามคำตอบคำเช่นนี้ข้าอึดอัดนะ" คำตัดพ้อของเขาทำให้ซีเวยถอนหายใจยาว แล้วขยายคำพูดให้ยาวขึ้นอีกนิด

"ก็อร่อยดีเพคะ แต่ถ้าเพิ่มพริกอีกนิดจะอร่อยมาก"

"ข้าไม่ได้หมายถึงอาหาร ข้าแค่อยากให้เจ้าพูดกับข้าเหมือนเดิม ได้หรือไม่"

"เพคะ"

คำวิงวอนของเขาเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะนางยังคงพูดเพียงประโยคสั้นๆ เช่นเดิม

"เอาหละ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด กินเยอะๆ ก็แล้วกัน"

ทั้งสองลงมือจ้วงกินอาหารบนโต๊ะคำโตแก้มตุ่ย เพราะไม่มีใครอยากเอ่ยปากคุยกับใคร นางกินหนึ่งคำ เขากินสองคำ นางกินสามคำ เขากินสี่คำ ทั้งห้องเงียบเชียบมีเพียงเสียงเคี้ยวกลืนและเสียงคุยกันเบาจากห้องด้านข้าง

แม้ซีเวยจะไม่มีวรยุทธหรือวิชาหูหมาป่าเช่นเขา แต่นางก็ได้ยินห้องข้างคุยกันค่อนข้างชัด พวกเขากำลังเจรจาซื้อขายผักดังการซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบปกติ แต่ที่ต่างออกไปคือราคาที่เขาซื้อได้นั้นมันช่างถูกมาก ซึ่งสวนทางกับราคาผักในท้องตลาด ที่ทั้งหายากและมีราคาแพง

"ราคารับซื้อถูกขนาดนี้ เช่นนั้นก็ทำกำไรมหาศาลเลยนะสิ หากชาวบ้านซื้อหาได้ในราคานี้ก็คงจะดีไม่น้อย" ซีเวยเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยกับเขา แต่นางก็ยังคงพูดแบบไม่มองหน้าเช่นเดิม

"ราคาตามท้องตลาดปัจจุบันนับว่าเป็นราคาที่เที่ยงธรรมที่สุดแล้ว ด้วยกรมการค้าเป็นฝ่ายจัดซื้อผักจากนอกด่านแล้วนำเข้ามาจำหน่ายให้ชาวบ้านในราคาที่เรียกว่าแทบจะไม่มีกำไรเลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็หนักไปที่ต้นทุนค่าขนส่ง จึงทำให้ผักดูแพง"

"ปลูกสิเพคะ ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกผักกินเอง น่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่าการที่จะต้องหาเงินเพื่อมาแลกกับผักที่ราคาสูงเกินความจำเป็นเช่นนั้น ทางพระคลังหลวงก็จะได้ไม่ต้องคอยโอบอุ้มภาระตรงนี้ด้วย"

"ไม่มีใครอยากปลูกกินหรอก ภาษีที่ดินทำกินกำหนดให้ส่งเข้าหลวงมากถึง 3 ใน 4 ส่วนเช่นนั้น ผู้ใดทำก็ล้วนแต่เหนื่อยเปล่า"

"แก้สิเพคะ"

"หากมันง่ายเช่นที่เจ้าพูดก็ดีสิ เรื่องนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อนจึงทำให้จัดการได้ยาก"

"จัดการได้ยากไม่ได้แปลว่าจัดการไม่ได้ ข้าพูดถูกหรือไม่"

"อืม เจ้าพูดถูก ไม่ผิดเลยสักนิด แต่คิดๆ ไปแล้ว ข้าว่าตำหนักตงหยาง ยังมีพื้นที่พอที่จะปลูกพริกได้อยู่นะ" คำพูดนี้เหมือนว่านางจะสนใจ สายตานางมองเขาอย่างตั้งคำถาม

"ต้องจ่ายภาษี 3 ใน 4 หรือไม่"

"ถ้าเจ้าทำพริกย่างหอมๆ แบบเมื่อคืนให้ข้ากินด้วย ก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว"

"อืม เช่นนั้นรีบกินเถอะ ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์ ยิ่งปลูกเร็ว ท่านก็จะได้กินเร็ว" ซีเวยกลับมามีสีหน้าร่าเริงดีใจอีกครั้ง นางคีบอาหารให้เขาจนพูนจาน คำพูดที่เขาทำให้นางโกรธงอน นางก็ลืมมันไปจนสิ้น…..

ห้องอักษรตำหนักตงหยาง

จดหมายคำสั่งลับถูกอ๋องสามเปิดอ่าน มันเป็นจดหมายจากวังหลวง ที่สั่งให้แม่สื่อเฟ้นหาสาวงามมาเข้าร่วมคัดเลือกเป็นพระชายารอง โดยระบุคุณสมบัติไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นบุตรีของขุนนางขั้น 5 ขึ้นไป แม้สตรีหม้าย ก็เข้าร่วมได้ ขอเพียงเชี่ยวชาญการเอาใจบุรุษ เพราะอ๋องสามนั้นเป็นผู้ไม่ปิดกั้นถือตัว

"ฮึ เหมือนข้าถูกเร่ขายอย่างไงอย่างงั้น"

"เช่นนั้น พระชายารองกับฮองเฮา ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า มิได้มีความเกี่ยวพันกัน" จางหย่งเสนอความคิดเห็น

"มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ซีเวยนางอาจจะถูกหยิบยกมาเป็นเครื่องมือของฮองเฮา โดยที่นางไม่รู้ตัวก็ได้ จางหย่ง หยิบสำเนาคัดรายชื่อเด็กที่ต้องถูกส่งไปโซ่วโจวเมื่อ 6 ปีก่อนมาให้ข้าที"

"พ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อซั่วหยาง เปิดดูข้อมูลที่ถูกคัดไว้ ก็ปรากฏมีชื่อของเฉินซีเวยในนั้น นั่นแสดงว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง บิดานางไม่ต้องการที่จะส่งบุตรีไปตามคำสั่ง หากขัดขืนก็มีโทษไม่ต่างกัน พวกเขาจึงคิดอุบายให้นางเกิดสภาวะทางจิต ที่ไม่อาจเรียนรู้วิชาใดได้ จึงให้หมอลู่ออกใบรับรองการรักษาเพื่อขอผ่อนผันถ่วงเวลา แต่ในเมื่อนางยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผย เขาก็ยินดีที่จะช่วยนางปกปิดต่อไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป