บทที่ 2 ตอนที่ 2 ตีสุนัขให้ดูเจ้าของ
"ฮ่าๆ ตีนางอีก เอาให้หนัก เอาให้แรง" เลี่ยงหรูยืนหลับตาพริ้ม เสพฟังเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างสุนทรี
"เท่านี้ก็พอแล้ว ถือเสียว่าเป็นการตักเตือน"
ฮูหยินใหญ่แห่งจวนแม่ทัพย่นคิ้วมุ่ย เสียงทุ้มที่กล่าวตอบนางมานั้น ช่างไม่คุ้นหูเอาเสียเลย
"ท่านแม่ ข้าต่างหากที่เจ็บ พยุงข้าที"
เลี่ยงหรูลืมตาขึ้นมาพบว่า เป็นลูกสาวตนที่นั่งกองอยู่กับพื้นด้วยพลังปราณ เมื่อหันไปอีกด้านก็พบเจอกับบุรุษร่างใหญ่ทรงสง่า นัยน์ตาดำขลับเต็มเปี่ยมไปด้วยบารมีและอำนาจ ท่าทางน่าเกรงขาม มือของเขากำคว้าข้อมือน้อยของเจ้าสาว แล้วดันนางให้หลบอยู่ด้านหลังตน
"อัยหยา! เหตุใดจึงเป็นเจ้าเล่า เจินเอ๋อร์ ลุกขึ้นเร็วลูก"
เฟยเจินลุกขึ้นมาปัดเนื้อตัว แล้วกวาดสายตาดุใส่บ่าวไพร่ที่ไม่ได้ความทั้งหลาย พร้อมขู่ตัดเบี้ยของทุกคน ก่อนจะหันหน้ามาตั้งท่าท้าชนกับบุรุษร่างใหญ่ แต่แม้นางจะวางก้ามเดินชิดจนเกือบชน เขาก็ไม่ถอยย่นให้นางแม้แต่ก้าวเดียว นางจำต้องก้าวถอยออกมาด้วยระดับสายตาที่ต่างกันมาก
"จะ เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายข้าถึงในจวน" เฟยเจินพยายามวางท่าขู่ ข่มซ่อนเก็บความกลัวเอาไว้ในใจ
"เจ้าคงจะเป็นคุณหนูรอง เฉินเฟยเจินสินะ"
"ใช่ ข้าคือบุตรีสุดที่รักของแม่ทัพใหญ่เฉิน เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะเจ้าคนพาล ว่าเจ้าคือใคร ข้าจะได้ฟ้องท่านพ่อได้ถูก"
"ข้าก็แค่องครักษ์เล็กๆ ของท่านอ๋องสาม ที่มานี่ก็เพื่อจะมารับพระชายารอง หากเจ้าติดใจจะเอาเรื่องข้า ที่เข้ามาขวางสิ่งที่เจ้ากำลังจะทำ ก็ลองไปฟ้องบิดาเจ้าดูสิ"
"หา! คนตำหนักอ๋องหรือ"
สองแม่ลูกดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้รู้ว่าผู้ที่มาถึงนั้นคือใคร คำท้าทายของเขาแท้จริงคือคำขู่กลับ เพราะหากบุรุษผู้นี้แพร่งพรายเรื่องที่พวกนางรุมทำร้ายพระชายาอ๋องออกไป ซึ่งเทียบเท่าการลบหลู่บารมี ก็คงไม่ส่งผลดีต่อตระกูลเป็นแน่
"อ๋อ พี่ชาย เรื่องนี้ท่านอย่าได้ใส่ใจเลยนะ มันเป็นการเข้าใจผิด ข้ากับท่านแม่กำลังอบรมพี่สาวที่ไม่ค่อยรู้ความเท่าใดนัก ให้ปฏิบัติดีก่อนเข้าสู่รั้ววัง เป็นเพียงการขู่ตักเตือนกันในครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนา จะทำร้ายอันใดเลย"
สองแม่ลูกยิ้มสู้ เปลี่ยนสีหน้าในทันที แต่สายตาของบุรุษนั้นกลับมองจ้องไปที่ท่อนไม้ใหญ่ในมือ เฟยเจินจึงรีบโยนทิ้งหลักฐานออกไปให้ไกลตัว เพื่อให้ตนไร้ความผิด
"เรื่องอบรมนาง คนในวังจะจัดการเอง ไม่ต้องลำบากพวกเจ้าหรอก"
ดังแสงสว่างสาดส่องมายังพื้นดิน นานเท่าใดแล้ว ที่ซีเวยไม่เคยได้รับการปกป้อง แม้จะเป็นการคุ้มครองจากคนแปลกหน้า แต่มันก็ทำให้นางซาบซึ้งจนน้ำตาเอ่อคลอ
"ไม่เป็นไรใช่ไหม"
เจ้าสาวคนงามส่ายหน้าเบา มองเขาด้วยท่าทางที่แสนเชื่อง
"เจ้าไม่ต้องกลัว ตราบใดที่มีข้าอยู่ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง"
แม้เป็นเพียงประโยคง่ายๆ ไม่กี่คำแต่ก็ทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยที่แห่งใหม่ที่จะไป ก็คงไม่เลวร้ายดังบ้านเดิมที่ทนอยู่ในทุกวันนี้
บุรุษหนุ่มกวักมือ เรียกให้คนที่รออยู่ด้านนอก นำของไหว้ผู้ใหญ่หลายหีบที่เตรียมมาด้วย เข้ามาไว้ในจวน เขาปรายหางตาเย็นเยียบกลับมามองที่สองแม่ลูกนั่นอีกครั้ง
"จงจำไว้ ตีสุนัขให้ดูเจ้าของ ตอนนี้ก็เลยเวลามามากแล้ว ข้าขอตัว"
บุรุษหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม แล้วจูงแขนลากตัวเจ้าสาวออกไปจากจวนเสียดื้อๆ ปล่อยให้สองแม่ลูกยืนงงกับพฤติการณ์ประหลาดที่คนตำหนักอ๋องทำ เมื่อเขาก้าวข้ามประตูจวนออกไป คนในจวนจึงได้เริ่มหายใจกันอีกครั้ง
"เฮ้อ! ไปเสียที คนของอ๋องสามผู้นี้ ทำตนไร้อารยธรรมยิ่งนัก องครักษ์ยังวางท่าขนาดนี้ แล้วท่านอ๋องสามเล่า จะดิบเถื่อนวางอำนาจขนาดไหน"
"พวกเขาไปแล้วก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ อย่าใส่ใจเลย ไม่ว่าอ๋องผู้นั้นจะโหดร้ายแค่ไหน นั่นก็คือชะตาของนางไม่เกี่ยวกับเราแล้ว เราไปนับของที่อ๋องโหดนั่นส่งมากันดีกว่า"
"จริงด้วย ไข่มุกเม็ดงาม มันคือสิ่งที่จะช่วยเยียวยาใจข้าได้ดีที่สุด"
................
"ถึงแล้ว ลงมา" เสียงทุ้มของบุรุษคนเดิม ร้องบอกคนในเกี้ยว เขารอนางอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ จึงนึกไปว่านางคงจะแอบหนีไประหว่างทาง จึงเร่งเปิดม่านรถเข้ามาดู
สตรีหน้าเป็นยิ้มกว้างตอบรับ ก่อนจะเอ่ยทักทายเขาด้วยภาษาที่ชวนปวดหัว
"วั่ง! วั่งๆๆ! แฮร่"
"จิ๊ พระชายารอง เจ้าจะเห่าดังเช่นสุนัขไร้บ้านเยี่ยงนี้ไม่ได้ เห็นแก่หน้าพระสวามีของเจ้าด้วยเถิด"
"วั่งๆๆ"
"ประชดที่ข้าพูดเช่นนั้นหรือ ช่างเถอะ จะเห่าจะกัดก็เรื่องของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าต้องลงแล้ว"
ซีเวยส่ายหน้าเบา พร้อมกัดฟันขู่แยกเขี้ยวงามจากปากเล็กๆ ของนาง มันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย กลับดูน่าขันน่าเอ็นดู จนบุรุษร่างใหญ่ผู้นั้นต้องเผลอยิ้มน้อยที่มุมปาก
"ฮึ ไม่ลงใช่ไหม ได้"
ว่าที่พระชายาตัวน้อยถูกอุ้มพาดไว้บนบ่ากว้างของร่างใหญ่ เขาอุ้มหิ้วนางโดยไม่ใส่ใจกำปั้นน้อย ที่กระหน่ำทุบตีลงบนหลังเขาเลยสักนิด
"วางข้าลงนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะ..."
"จะอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะ"
ร่างบางสงบนิ่งบนไหล่เขาได้ครู่หนึ่ง ทางฝ่ายบุรุษร่างใหญ่ก็ครุ่นคิดรอดูว่านางจะเล่นอะไรอีก เพราะดูเหมือนว่าเขาเริ่มจะสนุก การได้เล่นสบายๆ แบบไม่คิดอะไรซับซ้อนกับคนไม่ใส่ใจโลกเช่นนาง แต่แล้ว...
ฉึกๆ!
