บทที่ 4 Chapter 1 ผีรุ่นแรก [3]
การผ่าตัดช่วยชีวิตผมใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง และทุกอย่างก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี จะเหลือก็แค่เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือผมยังคงมองเห็นร่างของตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าหัวใจของผมจะยังคงเต้นอยู่ในอกด้านซ้ายของร่างกาย แต่เพราะอะไรผมถึงยังไม่สามารถกลับเข้าร่างของตัวเองได้สักที
“หมอ”
และแล้วผมก็ต้องหันไปเรียกร่างสูงที่ยังยืนอยู่ในชุดกาวน์สีขาวอีกครั้ง หลายชั่วโมงมานี่ถ้าผมเรียกหมอแล้วกลายเป็นเงินสิบบาท ผมคิดว่ามันอาจจะรวมกันได้หลายพันบาทแล้วก็ได้
“จากที่หมอตรวจอย่างละเอียด รวมถึงได้ดูผลเอ็กซเรย์ร่างกายของคนไข้ทั้งหมดแล้ว หมอคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ”
คำพูดจากปากหมอทำเอาผมอยากจะร้องไห้ หมอโกหกพ่อกับแม่ของผมไปแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อถ้าผมยังต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่แบบนี้ มันต้องเป็นเรื่องน่าห่วงสิ น่าห่วงมากๆ เลยด้วย
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ แล้วนี่อีกนานมั้ยคะกว่าลูกดิฉันจะฟื้น”
ผมจะฟื้นได้ยังไงล่ะแม่ ผมกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้เนี่ย ยืนอยู่ข้างๆ แม่นี่ไง แม่หันมามองผมสิ (- - “)
“เรื่องนั้นหมอเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้นะครับ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของคนไข้จะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน แต่ยังไงซะหมอก็อยากให้คนไข้ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจจะใช้เวลานานหน่อยเพราะว่าเคสแบบนี้หมอเองก็เพิ่งจะเคยเจอ”
“เคสแบบนี้...หมายความว่ายังไงครับหมอ” พ่อผมรีบถาม แต่อย่าคิดว่าพ่อถามเพราะห่วงผมล่ะ ท่านถามเพราะกลัวว่าผมจะนอนโรงพยาบาลผลาญเงินท่านต่างหาก
“หมอยังอธิบายชัดเจนไม่ได้ครับ แต่ก่อนหน้านี้คนไข้หัวใจหยุดเต้นไปแล้วเกือบห้านาที แต่อยู่ๆ หัวใจของคนไข้ก็กลับมาเต้นอีก บอกตรงๆ นะครับว่าหมอเองก็เกือบคิดว่าเขาเสียชีวิตแล้วเหมือนกัน”
“โถ ลูกแม่”
แม่ครับ อย่าร้องไห้ ผมยังไม่ตาย >O<
โธ่เว้ย! นี่ผมจะทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยรึไงนอกจากยืนฟังพวกเขาคุยกัน พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยิน คนได้ยินก็ทำเป็นไม่สนใจแบบนี้มันน่าหงุดหงิดชะมัด
“หมอ”
จนแล้วจนรอดก็จบลงที่อิหรอบเดิมนั่นคือผมเดินเข้าไปใกล้ๆ หมอ แล้วเขย่าแขนหมอเบาๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วถ้าเกิดว่าต้องการอะไร ให้พยาบาลเรียกผมได้ตลอดเวลา เดี๋ยวผมจะแจ้งพยาบาลไว้ให้อีกที”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ” แม่ผมรีบบอกแล้วยิ้มให้หมอ
แม่มองหมอด้วยสายตาเป็นประกายอย่างมีความหวังก่อนจะเดินตรงเข้าไปลูบหัวร่างของผมที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ผมได้แต่หันไปมองภาพนั้นทั้งน้ำตา ก่อนจะต้องรีบปาดมันออกเมื่อรู้สึกว่าคนข้างๆ เริ่มขยับตัวเตรียมพร้อมที่จะออกเดิน
ผมเดินตามหมอออกมาด้านนอก เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่ผมจะยืนมองร่างของตัวเองอยู่แบบนั้น ผมต้องหาทางกลับเข้าสู่ร่างของตัวเองให้ได้ และผมคิดว่างานนี้ผมต้องหาคนช่วย
“หมอ”
“นายจะเดินตามฉันมาทำไม” ร่างสูงหันมาถามพลางถอดเสื้อกาวน์พาดเอาไว้ที่พนักพิงเก้าอี้ เมื่อเราเดินมาถึงห้องทำงานของหมอ (ผมเดินตามมา หมอไม่ได้ชวน ฮ่าๆ)
หมอยกข้อมือของตัวเองขึ้นมาแล้วก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือเรือนหรูก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แต่ก่อนที่ผมจะได้ขยับริมฝีปากเพื่อตอบคำถามของหมอ เสียงโทรศัพท์ของหมอก็ดังแทรกขึ้นมาซะก่อน
“ครับแม่”
สรุปว่าแม่ของหมอโทรมา ผมไม่ควรจะเสียมารยาทอยู่ฟังสินะ แต่จะให้เดินไปไหนล่ะ ในเมื่อผมไม่รู้จะไปไหน
ผมหันหลังให้หมอที่กำลังคุยโทรศัพท์ เลือกจะเดินมานั่งที่โซฟารับรองเพื่อรอเวลา นี่มันเกือบจะตีสามแล้ว ผมเหลือเวลาอีกเท่าไหร่กัน เขาว่ากันว่าถ้าคนเราตายแล้ว จะต้องมีคนมารับไม่ใช่เหรอ หรือมันจะเกี่ยวกับที่ผมยังไม่ตาย แต่ถ้าผมยังไม่ตาย แล้ววิญญาณผมหลุดออกมาจากร่างได้ยังไง ยิ่งคิดผมก็ยิ่งปวดหัว
“ขอโทษครับแม่ แต่พอดีผมมีเคสด่วน ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทจริงๆ”
อ่า...ไม่ได้อยากจะได้ยินเลย แต่ว่าหมอพูดเสียงดังเอง ช่วยไม่ได้นี่นา
“ครับแม่”
อ้าว...สั้นแบบนั้นผมจะปะติดปะต่อเรื่องได้ยังไงล่ะหมอ
เฮ้อ ช่างเถอะ เรื่องของตัวเองผมยังเอาไม่รอดเลย จะอยากรู้เรื่องของคนอื่นไปทำไมกัน
