บทที่ 25 EP 04 เจ้ากรรม นายเวร [1]
SILAA STUDIO
“พี่ศิลาคะพี่ศิลา” บีบีวิ่งกระหืดกระหอบตามผมออกมาจากสตูฯ ดึกป่านนี้แล้วเราเพิ่งจะแยกย้ายกันกลับ คนอื่นๆ เพิ่งจะขับรถออกไป เหลือผมกับบีบีที่เดินออกมาเป็นสองคนสุดท้าย
“ว่าไง จะติดรถพี่ไปลงบีทีเอสเหรอ ขึ้นรถสิ”
“เปล่าค่ะ วันนี้พี่ชายแวะมารับ แต่พี่ศิลาลืมนี่ค่ะ” บีบียิ้มกว้างพร้อมกับยื่นซองสีขาวในมือเธอให้ผม ทำเอาผมเบิกตาโพลง
“ไม่ต้องตกใจค่ะพี่ บีไม่ได้จะลาออก แต่นี่เป็นเช็กค่าตัวน้องนายแบบเมื่อวันเสาร์น่ะค่ะ บีเตรียมไว้ให้ตั้งแต่บ่ายแล้วแต่มัวแต่เคลียร์บัญชีเดือนนี้จนลืมให้พี่ไปเลยค่ะ”
ฟู่~
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ตกใจแทบแย่คิดว่าผมจะเสียพนักงานดีๆ อย่างบีบีไปเสียแล้ว
“รับไปสิคะ น่าเสียดายที่วันนั้นบีไม่ได้มา ยัยตังเมเม้าธ์ให้ฟังว่าน้องน่ารักมาก แถมนิสัยก็ดีด้วยใช่มั้ยคะพี่ศิลา” น้ำเสียงของบีบีฟังดูกระตือรือร้นและสนอกสนใจไอ้โอบเป็นพิเศษ คงเพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาเธอได้ยินคนอื่นๆ พูดถึงไอ้โอบกันไม่หยุด
“อืม” ผมตอบสั้นๆ พลางรับซองเช็กมาจากบีบีอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้ลำบากใจที่จะพูดถึงไอ้โอบและก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจที่จะบอกว่ามันเป็นแบบที่บีบีและทุกคนพูดถึง เพราะยังไงซะตัวตนของไอ้เด็กปากเสียอย่างไอ้โอบก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ส่วนเรื่องเช็กที่เป็นหน้าที่หลักของบีบีเพราะเธอเป็นพนักงานบัญชีของบริษัท แม้ว่าไอ้โอบมันจะบอกว่าไม่รับค่าตัวเป็นเงินแต่ยังไงเสียผมก็ต้องจ่ายให้มันอยู่ดี ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองอยากติดค้างอะไรกับมันทั้งนั้น ส่วนเรื่องเดทบ้าบออะไรของมันเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลังจะดีกว่า
“งั้นบีกลับเลยนะคะพี่ศิลา พี่ชายมารับพอดี พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”
“อืม ขอบใจมากนะบี” ผมบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับไปมองรถคันที่เพิ่งจะขับมาจอดเลยออกไปไม่ไกล รอกระทั่งบีบีขึ้นรถคันนั้นแล้วคนขับๆ ออกไปผมถึงได้เดินมาขึ้นรถของตัวเอง
เฮ้อ ผ่านไปอีกหนึ่งวันแล้วสินะ หลายวันมานี้ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ที่ใกล้จะได้เวลาเปิดตัว ทั้งเรื่องจัดโปรโมชั่น การวางแผนการโปรโมท การลงโฆษณา แพ็คเกจจิ้งรวมถึงระบบร้านค้าออนไลน์ที่ต้องให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ เล่นเอากินข้าวไม่ตรงเวลามาเกือบทั้งอาทิตย์
สตาร์ตรถได้ผมก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำ แล้วก็อดจะก้มมองซองเช็กในมือไม่ได้ โชคดีที่คืนนี้ผมตั้งใจจะแวะไปหาไอ้จอมทัพที่ร้านมันอยู่แล้วพอดี เดี๋ยวถือโอกาสนี้เอาเช็กให้ไอ้โอบด้วยเสียเลยก็แล้วกัน
นึกถึงไอ้เด็กนั่นแล้วผมก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ นี่ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะต้องพูดกับมันยังไงมันถึงจะยอมรับเงินค่าตัว พนันกันได้เลยว่ามันต้องไม่ยอมรับแหงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจริงจังกับเรื่องเดทอะไรของมันแค่ไหน หรือเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเพราะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับการมาช่วยเป็นแบบให้ผมในวันนั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก ผมรู้ว่าไอ้โอบมันเป็นเด็กมีน้ำใจและไม่คิดเล็กคิดน้อย มันคงไม่ได้คิดว่าสิ่งที่มันอยู่คือการทำงานที่ใครหลายคนเรียกมันว่าอาชีพด้วยซ้ำ ติดตรงที่เด็กผีอย่างมันพูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่องอีกทั้งยังชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากได้ตลอด
Rrrr~
“ครับแม่” ผมกดรับสายผ่านบลูทูธก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวขึ้นทางด่วน สายตามองตรงไปเบื้องหน้าที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรถมากมาย ย้อนแย้งกับคำว่าทางด่วนเสียจริงๆ
[อยู่ไหนน่ะศิลา ช่วงนี้ยุ่งมากล่ะสิ หายหน้าหายตาไปเลย ไม่แวะกลับมากินข้าวที่บ้านเลยนะเรา] เสียงกระเง้ากระงอดของแม่ทำให้ผมอดจะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาแม่มักมองว่าผมยังเป็นเด็กที่ต้องคอยโทรตามกลับบ้านเสมอ แม้ว่าตอนนี่อายุของผมจะเลยเลขสามมาแล้วก็ตาม
“ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อยครับแม่ ใกล้จะเปิดคอลเลคชั่นใหม่แล้ว แต่ตั้งใจว่าอาทิตย์หน้าจะแวะกลับไปหาแม่อยู่เหมือนกันครับ” ผมบอกยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี
[ลูกพูดจริงหรือว่าแค่โกหกให้แม่ดีใจเล่นกันล่ะ รอบนี้หายไปหลายวันจนพ่อของลูกยังเอ่ยปากถามหาเลยนะตาศิลา]
“ผมจะโกหกแม่ทำไมล่ะครับ ฝากบอกพ่อด้วยนะครับว่าผมจะรีบเคลียร์งานแล้วกลับไปหาท่านแน่นอน”
[ดีมาก ว่าแต่ลูกจะมาวันไหนล่ะ เผื่อว่าแม่จะ…]
“ผมยังไม่แน่ใจเลยครับแม่ เอาเป็นว่าผมขอเก็บเป็นความลับไว้ไปเซอร์ไพรส์แม่แล้วกัน”
[ตาศิลานี่ ฟังแม่พูดให้จบก่อนไม่ได้รึยังไงกันนะลูกคนนี้]
“ผมรู้ครับว่าแม่จะพูดอะไร แต่แค่นี้ก่อนนะครับ พอดีผมขับรถอยู่ รักแม่นะ แล้วเจอกันครับแม่” ผมตัดบท พูดจบก็รีบกดวางสายในทันที แม้ริมฝีปากจะยังยิ้มได้แต่ก็อดจะถอนหายใจทิ้งท้ายเพราะความหนักใจไม่ได้อยู่ดี
จะมีเรื่องอะไรเสียอีกล่ะถ้าไม่เรื่องลูกสะใภ้ที่แม่พยายามจะส่งเทียบเชิญบรรดาลูกสาวของเพื่อนแม่มาแนะนำให้ผมรู้จัก ซึ่งที่ผ่านมาผมก็พยายามจะรักษาน้ำใจของแม่และเลือกจะปฏิเสธผู้หญิงเหล่านั้นอย่างมีมารยาทกับทุกคนมาตลอด จนตอนนี้เริ่มจะหมดมุกแล้ว อีกอย่างคือตอนนี้ผมมีเวลาคิดเรื่องนั้นเสียที่ไหนกัน ลำพังแค่กินอาหารให้ตรงเวลาผมยังทำไม่ได้เลย แล้วผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแลลูกสาวชาวบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไงให้แม่เข้าใจเรื่องนี้สักที พูดมากเดี๋ยวก็งอนใส่ผมอีก
