บทที่ 9 EP 01 เข้าทาง [6]
พี่ศิลาจิปากแล้วคอยแต่จะส่ายหัวไปมาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น แต่เชื่อสิว่าตั้งแต่ที่เขานั่งลงตรงนี้ ไม่ว่าจะคุยกับผมหรือไม่ได้คุย สายตาของเขาจะมองผมหรือไม่ได้มอง แต่ทุกครั้งที่เราพูดคุยกัน เขาก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเขาอยากจะไล่ผมไปไกลๆ เลย หรืออาจเป็นเพราะผมคุ้นชินกับท่าทีและสีหน้าของคนรอบกายที่มักจะเป็นแบบนี้กับผมกันแทบทุกคนก็ไม่รู้
“พี่ศิลาครับ”
ขอหยอดอีกสักหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวผมต้องรีบไปบริการลูกค้าคนอื่นแล้ว
“อะไร”
“ถ้าผมอยากได้พี่เป็นแฟน ผมต้องทำคะแนนยังไงครับ”
“ทำใจเถอะไอ้โอบ” พี่ศิลาบอกเสียงเข้ม เขาทำทีเป็นขึงขังขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนอาการกลั้นขำของตัวเอง อาการส่ายหัวไปมาติดๆ กับหลายๆ ครั้งนี่แปลว่าเขาน่าจะเสียอาการมากทีเดียว
“นี่มึงยังไม่เลิกแซวไอ้ศิลาอีกเหรอวะไอ้โอบ” พี่จอมทัพเดินเข้ามาพอดี เขานั่งลงที่เก้าอี้สูงตัวข้างๆ พี่ศิลาแล้วมองผมกับพี่ศิลาสลับกันไปมาอย่างนั้นสักพักก่อนจะถอนหายใจ
“แหม พี่ทัพก็ นานๆ ทีผมจะมีโอกาส”
“แต่ที่กูเห็น คือมึงฉวยโอกาสตลอดต่างหาก ไปๆ มีอะไรก็ไปทำ ไม่ต้องมาเฝ้า เบื่อขี้หน้ามึง” พี่จอมทัพสะบัดมือไล่ ผมไหวไหล่ใส่เขานิดหน่อยก่อนจะผละตัวออกมา เขาไล่แล้วนี่ จะให้ผมอยู่ทำไม เอาเป็นว่าคืนนี้แซวไปได้หลายดอกแล้ว เห็นรอยยิ้มของพี่ศิลาแล้ว น่าจะเป็นอีกคืนที่ผมนอนหลับฝันดี
Rrrr~
โทรศัพท์มือถือของผมสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง ทันทีที่ผมหยิบออกมาแล้วเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาผมก็อดจะถอนหายใจไม่ได้
“เจ้าหนี้มึงโทรมารึไง”
“ทั้งชีวิตกูมีแค่เจ้าหนี้หัวใจ พี่ศิลาเขานั่งคุยกับพี่ทัพอยู่แค่นี้มึงไม่เห็นเหรอ เขาจะโทรหากูทำไม” ผมแกล้งว่า พูดจบก็แยกเขี้ยวใส่ไอ้อินเทลก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาเพราะบริเวณบาร์เสียงเพลงจะค่อนข้างดัง ลูกค้าเริ่มนิ่งแล้ว ให้ไอ้อินเทลมันเฝ้าบาร์ไปคนเดียวนั่นแหละ กวนตีนผมดีนัก
“ฮัลโหล”
[นายสะดวกคุยกับพี่รึเปล่าโอบ] โทรมาทั้งที่รู้ว่าผมยังไม่เลิกงานก็ยังจะกล้าถาม
“ครับ”
[พรุ่งนี้โอบว่างรึเปล่า พี่อยากนัดเจอโอบสักหน่อย มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วยน่ะ เราไม่ได้เจอกันมาสองเดือนกว่าแล้วนะ]
ไม่รู้เหมือนกันว่าผมควรจะดีใจรึเปล่าที่เขาจำได้แม้จะเป็นเพียงแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เป็นผมต่างหากที่ไม่เคยใส่ใจจะจำมันเลยสักครั้ง
“ก็ได้ครับ พี่อยากให้ผมไปเจอที่ไหน”
[เอาเป็นร้านอาหารที่เราชอบก็แล้วกัน หรือว่าอยากเปลี่ยนร้านล่ะ เราเลือกก็ได้ พี่ตามใจ]
“ร้านเดิมก็แล้วกันครับ ผมไม่เรื่องมากหรอก” ผมบอกเซ็งๆ รู้ตัวอีกทีผมก็เดินออกมาทางหลังร้านเสียแล้ว กำลังเดินเตะก้อนหินเล็กๆ ที่พื้นเล่นฆ่าเวลาอยู่ ถึงจะรู้ตั้งแต่แรกว่าเขาจะโทรมาคุยเพียงแค่ไม่นาน แต่ก็ไม่อยากให้ฟังเขาพูดเฉยๆ ให้สมองมันฟุ้งซ่าน
[พูดอะไรแบบนั้นกันล่ะ ว่าแต่เราสบายดีใช่มั้ย]
“ครับ สบายดี แต่ผมว่าเดี๋ยวมีอะไรเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้ดีกว่าครับ ผมยังทำงานอยู่ เกรงใจเจ้านาย” ผมโกหกเพราะอยากจะวางสาย จริงๆ คือไม่ได้อยากจะรับตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าปฏิเสธสายของเขาเลยสักครั้งเดียว
[อืม เอาแบบนั้นก็ได้ เวลาเดิมนะโอบ พี่จะรอ]
“ครับ สวัสดีครับพี่” ผมบอกสั้นๆ พูดจบก็เป่าปากยาวทีเดียว
“อุ้ย!” หันมาอีกทีถึงได้เห็นว่าพี่ศิลายืนอยู่ด้านหลัง เหมือนว่าเขาจะเพิ่งจะเดินออกมา ทว่ากลับไม่เห็นพี่จอมทัพเดินตามเขาออกมาด้วย
“จะกลับแล้วเหรอครับ” ผมฉีกยิ้มกว้างพลางเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม
“เออ มึงโอเคนะ”
เขาถามแล้วมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาเป็นใส่ใจยังไงชอบกล
“พี่ศิลาเป็นห่วงผมเหรอครับ” ผมรีบถามแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม
“กูห่วงรถกู มึงเตะก้อนหินกระเด็นไปโดนรถกูเมื่อกี้ นี่ถ้ามึงไม่หันมาหรือว่าหยุดเตะ กูก็กำลังจะเตะมึงพอดี”
“โธ่ ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจ” ผมว่างอนๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ อีกรอบ “ว่าแต่ทำไมคืนนี่พี่รีบกลับจังครับ ไม่ได้รอรับพี่จอมทัพกลับพร้อมกันตอนปิดร้านหรอกเหรอ”
“ตอนแรกก็ว่างั้น แต่กูมีธุระนิดหน่อยเลยจะกลับก่อน”
“อ้าว แล้วพี่จอมทัพเขาจะกลับยังไง”
“แท็กซี่เยอะแยะ หรือไม่มันก็โทรให้คนที่บ้านขับรถมารับก็สิ้นเรื่อง” พี่ศิลาบอกเสียงเข้ม
“จริงสินะครับ ผมก็ลืมคิดเรื่องนั้นไปสนิทเลย ถ้างั้นผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนจะถูกพี่ทัพหักเงินก็แล้วกันนะครับ พี่ศิลาขับรถกลับดีๆ นะครับ ผมเป็นห่วง”
“เดี๋ยวไอ้โอบ”
“ครับพี่” ผมรีบหันกลับไปทันทีที่พี่ศิลาเรียกเอาไว้ เขาช้อนตามองผมแต่ยังเอาแต่เงียบ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พลอยทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี
หรือว่าเขาจะว่าอะไรเรื่องที่ผมชอบแซวเขารึเปล่านะ?
