บทที่ 9 ผู้ชายข้างห้อง
เสร็จจากพิธีการเคลื่อนย้ายศพไปยังวัดบ้านเกิด ซึ่งถูกจัดการโดยบลูทั้งสิ้น นอกเหนือจากหมอนนท์ ผู้ช่วยเพชร และคนอื่นๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ในเครือเดียวกันอาสาช่วยแล้ว ก็มีคุณคอปอีกคนนี่แหละที่ยังคงมองอยู่ห่างๆ เขากะจะไปในคืนสุดท้ายและวันเผาทีเดียว เพราะไม่ได้เป็นญาติหรือเป็นอะไรกันกับหมอบลู ความละอายกระดากเลยเข้าแทรก ทั้งอันที่จริงไม่ต้องไปก็ได้ ทว่า กลับซ้ำให้คุณคอปรู้สึกไม่สบายใจไปอีก ซึ่งอาการนี้ เกิดขึ้นเพราะอะไร เขาเองก็ยังไม่รู้...
“ ถามกูทุกอย่าง กูเป็นแฟนน้องเขาหรือไงวะ “
โจ๊กบ่นอุบ ตามประสาคนปากเสีย หลังเริ่มรำคาญที่คุณคอปเทียวไปเทียวมาสืบเรื่องของหมอบลูไม่หยุด สร้างความระแคงใจให้แก่เขาไม่น้อย อยู่ดีๆเพื่อนเขาอยากจะรู้เรื่องราวของสาวข้างห้องขึ้นมาซะงั้น ทั้งๆที่หมอบลูเองก็ใช่ว่าจะเพิ่งไปอยู่ หรือเพิ่งจะสนใจ ไอ้อาการแบบนี้ชักไม่ธรรมดา
“ กูมีหน้าที่ถาม มึงมีหน้าที่ตอบ “
แถมเอือมระอาด้วยกับความชอบแถของเขา
“ เฮ้ย ไอ้คอป ถามจริง ทำไมมึงไม่ไปถามเขาเอง แต่เลือกที่จะมาถามกู กูไม่ใช่ญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของเขานะคร้าบบบบ “
“ ก็ถ้ากูมีความกล้าพอ กูจะมาหามึงเหรอ ไอ้ฟัค! “
ประโยคหลังคุณคอปยกมือเตรียมโบก แต่ต้องลดลงเพราะโจ๊กหลบ เปลี่ยนเป็นถอนหายใจรัว เขาเองก็เริ่มเซ็งตัวเองเหมือนกัน
“......”
“ มึงรู้จักกับน้องชายเขานี่หว่า มึงก็น่าจะรู้ “
ตั้งแต่วันนั้น ที่พาหมอบลูเข้ามาในห้อง ก่อนหล่อนจะออกไปพร้อมอารมณ์เข้าใจผิด คุณคอปก็นอนไม่หลับอีกเลย
“ รู้จักไอ้บอล?? ก็ไม่ได้หมายความว่ากูต้องรู้ประวัติพี่สาวมันนี่หว่า ไอ้นี่ชักจะเอาใหญ่ “
โจ๊กยังคงบ่น ลุกเดินไปหยิบเครื่องมือช่างเตรียมซ่อมรถอย่างเคย คิดว่าทำไปคุยไปน่าจะมีประโยชน์กว่า ดีกว่านั่งมองหน้ากันเฉยๆเป็นไหนๆ
“ เอ้อ..แต่ล่าสุดน้องชายเขาเสียนะเว้ย “
“ อืม อันนี้กูรู้ “
“ อ่าว มึงรู้แล้วมาถามกูอีกทำไม “
“ กูแค่จะมาเอาพิกัดบ้านเขาจากมึง เพราะกูจะไปงานศพน้องเขาด้วย “
เคร้ง!
แต่คงไม่ได้ทำการทำงานดีหรอก ถ้าโจ๊กยังมือไม้อ่อนทำเครื่องมือหลุดหล่นเต็มพื้นแบบนี้ พร้อมกับยืนอ้าปากเหวอ เป็นโพรงกลมพอดีที่จะให้แมลงวันบินเข้าไปไข่เป็นฝูง พลันแค่นหัวเราะทีหลัง “ นี่หูกูพังไปแล้วรึวะ เฮอะ มึงพูดอะไรออกมาไอ้คอป เอาใหม่ ขออีกที“ คุณคอปชะงักกลางคัน ในท่านั่งสบายเฉิบช่วงแรก กลายเป็นการทิ้งฝ่าเท้าเหยียบพื้นเสียงดังแทน เขาเกลียดมากกับคำแซวที่ทำให้ตัวเขานั้นเสียฟอร์ม ขมวดคิ้วมองโจ๊กตาขวาง
“ อย่ากวนตี.......”
“ ฮ่าๆๆ พระเจ้า....มึงชอบน้องเขาหรือวะ “
หลังโจ๊กเดินมานั่งข้างๆ และคิดว่าวันนี้คงต้องหยุดงานสักวัน เตรียมปิดอู่ไปสละโสดให้เพื่อน
“ เอาอะไรมาพูด “
ทว่า ไอ้เพื่อนปากแข็งคนนี้ของเขา มันไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือน่ะสิ นอกจากไม่ยอมรับไม่พอ แถมยังขี้เก๊กอีกต่างหาก
“ น่า..ไอ้คอป กับกูมึงไม่ต้องมาปกปิดหรอก “
“.............”
หันมองหน้าโจ๊กอีกครั้งอย่างช่างใจ ทำปากอมลมเสมือนครุ่นคิด
“ มึงไม่บอกกู กูไม่ช่วยนะ เอาดิ “
“ เฮ้อ....”
ถึงขั้นถอนลมหายใจปร๋อ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“.........”
ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น
“ ไม่รู้ว่ะ กูก็ไม่รู้อารมณ์ตัวเองเหมือนกัน รู้แค่ว่า เผลอหลุดเรื่องงานเมื่อไหร่ หน้าเขาชอบลอยมาแทรกทุกที ตอนนี้กูปวดหัวไปหมดแล้ว ...”
“ ห๊ะ....”
“ กับหน้าตอนที่กูทำเขาร้องไห้ล่าสุด “
“...........”
ที่เงียบไม่ใช่ว่าโจ๊กหลับ แต่ว่าโจ๊กช็อก อ้าปากค้างไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าประโยคน้ำเน่าเหล่านี้จะออกมาจากเพื่อนที่จัดว่าใจแข็งที่สุดในสามโลกของเขา
“ ให้ตาย....เถอะ ...มันมีล่าสุดด้วยเหรอวะ งั้นก็แสดงว่าก่อนหน้านี้ มึงทำเขา...”
“ อืม เขาร้องไห้เพราะกูมาครั้งนึงแล้ว”
“ ไอ้คอปปปปป “
ร่างบางสวมใส่ชุดสีต่างจากทุกวัน ยืนตระหง่านเต็มความสูงมือถือธูป หล่อนไม่เคยเดินออกจากหน้าศพบีมเกินสิบนาทีสักครั้ง ดวงตาแดงก่ำไร้เครื่องสำอางประทุมผิว หน้าใสเนียนสะอาดหมดจด เว้นก็แต่ตรงปลายจมูกที่มันแดงวาว เกิดรอยช้ำเพราะร้องไห้ไม่หยุดไม่หย่อน วันนี้เป็นคืนสุดท้าย ที่ร่างบีมจะอยู่บนโลก หมอบลูเหมือนจะยังทำใจไม่ได้ หลายครั้งที่ระลึกถึงแล้วใจมันสั่น บ่อยครั้งที่สมองสั่งให้ย้อนวันเวลาซ้ำๆ แล้วเรียกน้ำตาออกมาทุกทีไป
“ บลู ..พักบ้างเถอะ เดี๋ยวจะแย่ไปอีกคนนะ “
หมอนนท์คือหนึ่งมิตรสหายที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมโศก คอยให้กำลังใจกับหล่อนมาตลอด วันนี้แขกเยอะเป็นพิเศษ และก็เห็น คนที่ควรจะทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ใช่แต่หมอบลูแค่คนเดียว ทว่า ยังมีพ่อเลี้ยงบีม แม่แท้ๆ และพี่ชาย รวมถึงเหล่าญาติห่างๆ ของหล่อนด้วย ถึงแม้บางทีดูเหมือนทำเพื่อเอาหน้าก็เถอะ โดยเฉพาะอิงอรที่ร้องแทบขาดใจ เสมือนจะตายแทนให้ได้ หลังจากรู้ว่าบีมทำประกันเอาไว้เยอะ
“ บลูพักไม่ได้หรอกหมอนนท์ มันไม่ใช่นิสัยบลู “
“ มันเกี่ยวอะไรกับนิสัยล่ะ ร่างกายเหนื่อยก็ควรพัก “
“ กี่โมงแล้ว “
สิ่งที่หมอนนท์บอกมันคือความห่วงใยหล่อนรู้ แต่ทว่า มันไม่ใช่เวลา เธอเลยเลี่ยงที่จะไม่สนใจฟัง ดื้อตาใสอย่างนั้น หันไปถามผู้ช่วยเพชรข้างๆ ทำคนร่างสูงส่ายหัวเอือมระอาไม่เบา
“ จะทุ่มนึงแล้วค่ะ “
“ อืม วันนี้สวดอภิธรรมศพเป็นคืนสุดท้าย ...”
“ ค่ะ พรุ่งนี้...”
“ ฮึก...”
“ เอาอีกแล้วบลู ร้องอีกแล้ว “
หมอนนท์ขมวดคิ้วเป็นระลอก ตั้งแต่ศพมาถึงทำพิธีกรรม จนกระทั่งถึงคืนสุดท้าย เขาส่ายหน้าต่อความดื้อรั้นและโศกเศร้าของหล่อนมาหลายรอบแล้ว
“ เพชรว่าคุณหมอไปนั่งก่อนดีกว่านะคะ “
ผู้ช่วยออกความเห็น ขณะสายตาหล่อนตอนนี้สอดส่องไปยังน้องชายตัวดีของหมอบลู กะว่ารอบนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่หล่อนจะตักเตือนในฐานะเพื่อนสถาบันเดียวกัน กับความไม่เอาไหนของเขา ซึ่งไม่ค่อยช่วยเหลืออะไรไม่ว่า แต่กลับไปนั่งเล่นไพ่ หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นเกลียดชัง โดยที่เพชรประกาศิตต่อตัวเองไว้แล้วว่า จะไม่สนใจใยดีเขาอีกต่อไปเลย
.....ไม่อยากจะเชื่อ ว่าหมอนี่เคยเป็นแฟนเรา เอาอะไรคิดวะตอนนั้น ดีแล้วแหละที่เลิก ดีแล้วจริงๆ...
ขบคิดกัดปากจนรู้สึกเจ็บ ความละอายที่ถาโถมเข้ามาหาหล่อนตอนนี้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบอลจะเคยเป็นแฟนหล่อน ในสมัยมัธยมต้น และรู้สึกดีไม่น้อย ที่ตัดขาดกันซะได้
...เลว...
“ เพชรพาหมอบลูไปนั่งเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะทำแทนเอง “
หมอนนท์อาสา ขณะหมอบลูหย่อนคิ้วโค่ง
“ แต่ว่า...”
“ ไม่เอาน่า อย่าดื้อแบบนี้สิ บลูควรจะมีลิมิตบ้างนะ ไม่ใช่หักโหมแบบนี้ เป็นถึงหมอน่าจะรู้“
พลันมาก้มหน้าสลดเอาทีหลัง เมื่อหล่อนถูกเพื่อนร่วมงานอาชีพเดียวกันตำหนิ ณ เวลานี้อย่าว่าแต่แรงจะทะเลาะกับใคร แค่เรี่ยวแรงจะเถียงยังไม่มีเลย ยอมทำตามที่หมอนนท์สั่ง แต่โดยดี จนกระทั่งถึงที่นั่งพักสงบสติอารมณ์ กลับต้องช้อนตาขึ้นมองใหม่เพราะเสียงนี้
“ หมอบลู คนนั้นใครหรือคะ “
“ คะ?? ”
หันไปตามเสียงของผู้ช่วยเพชร ก็เห็นผู้ชายคู่นึงแต่งตัวดูดี ในคราบสูทสีดำดูสุภาพและให้เกียรติทั้งชุด ลงมาจากรถ ก่อนจะเดินมุ่งหน้ามาทางตน ทีแรกหล่อนไม่รู้หรอกว่าคือใครหากไม่สังเกต เพราะดวงตาที่ปรือเมื่อยหนักจนแทบจะปิด แต่ทว่า พอแพ่งมองให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นแหละ ถึงกับตกใจเผลอยืนเต็มความสูง จนคนข้างๆยังงง
“ นั่นมัน...”
“..........”
“ หมอนั่น ไอ้ผู้ชายข้างห้อง! “
