บทที่ 2 องค์หญิงเผ่ามาร

แดนปีศาจ ตำหนักองค์หญิงสิบเอ็ด

ภายในดินแดนปีศาจ แผ่นฟ้าถูกบดบังด้วยม่านหมอกสีม่วงแดงลอยวนอย่างน่าหวาดหวั่น เสียงคำรามของสัตว์ปีศาจในป่าด้านหลังตำหนักดังแผ่วเหมือนคำสาปที่ไม่เคยเงียบลง ตำหนักขององค์หญิงสิบเอ็ดตั้งอยู่บนยอดผา บนยอดหลังคาประดับด้วยโคมไฟโลหิตซึ่งลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีดำที่ไม่มีวันดับ

คืนนี้โคมทุกดวงสว่างเหมือนรับรู้ความเป็นตายของเจ้าของตำหนัก

ภายในห้องบรรทม ประตูไม้สีดำสนิทถูกเปิดอ้า หมอกสีม่วงคละคลุ้งมาจากเตียงประดับม่านผ้าทับทิมที่กระตุกไหวตามแรงดิ้นของสตรีผู้หนึ่ง

องค์หญิงสิบเอ็ดในอาภรณ์สีแดงเข้มร้องกรีดด้วยเสียงแหลมบาดหูเหมือนถูกบีบคอจากสิ่งที่มองไม่เห็น ร่างของนางบิดเกร็ง มือกำผ้าปูเตียงจนเล็บแตกเป็นเลือด เส้นเลือดสีม่วงคล้ำผุดขึ้นทั่วลำคอและแขนเหมือนเถาวัลย์ปีศาจแผ่ขึ้นทีละเส้น

“องค์หญิง! ได้โปรดอย่าขยับเพคะ!” ต้าลู่ สาวใช้คนสนิทตัวสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ทั้งคืน

กลางห้องหมอปีศาจหลายคนวิ่งวุ่น วัตถุควันหอม กล่องยา และยันต์สีเลือดถูกโยนเกลื่อนบนพื้น เพราะทุกอย่างที่ใช้ไป ล้วนไร้ผลต่ออาการของนาง

ด้านนอกห้องยิ่งวุ่นวายกว่าเดิม เสียงรองเท้ากระทบพื้นหิน เสียงทหารตะโกนห้าม และเสียงโกรธเกรี้ยวของบรรดาองค์ชายปีศาจทั้งสิบพระองค์

“สิบเอ็ด! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ถอยไป! ปล่อยให้ข้าเข้าไป!!”

“องค์ชาย! ห้ามเข้าเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นคำสั่งขององค์หญิง!”

“ข้าสั่งให้พวกเจ้าถอยไป!!”

เสียงคล้ายโซ่เหล็กสะบัดดังเฉียดหูทหาร รัศมีปีศาจเข้มข้นแผ่กราดจนอากาศสั่นสะเทือน แต่องครักษ์คงทำตามคำสั่งขององค์หญิงไม่ยอมหลีกทาง

บนเตียงองค์หญิงสิบเอ็ดกระอักเลือดสด ๆ พุ่งออกมาอีกครั้ง เสียงของนางแหบต่ำจนแทบไม่เหมือนเสียงของมนุษย์ เลือดที่ไอออกมาเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำก่อนจะไหลซึมไปตามรอยแตกบนผ้าปูเตียง

“องค์หญิงเพคะ ทรงอย่าขยับอีกเดี๋ยวเลือดจะ…”

“ข้า เจ็บ ต้าลู่ ข้าเจ็บเหลือเกิน…”

คำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดหัวใจคนในห้องทุกคน องค์หญิงสิบเอ็ดมองประตูที่ปิดกั้นพี่ชายของนางทั้งสิบด้วยสายตาสั่นไหวและสิ้นหวัง

“ให้พวกเขาเข้าไป”

เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างเย็นเยียบ  ราชาปีศาจก้าวเข้ามาด้วยความน่าเกรงขาม ทำให้ปีศาจทุกตนในห้องเงียบงันทันทีเหมือนโลกหยุดหมุน เขามองไปยังเตียงเพียงครั้งเดียว แววตาคมสีแดงเลือดว่างเปล่า ไร้อารมณ์ราวกับมองสตรีแปลกหน้า มิใช่บุตรแท้ ๆ ของตน

เหล่าองค์ชายทั้งสิบกรูเข้ามาตามหลังทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกปนความโกรธเกลียดตัวเองที่ช่วยน้องไม่ได้

“สิบเอ็ด! พี่อยู่ตรงนี้!”

“น้องข้า…อย่าหลับ! ข้าขอร้อง…”

“พี่จะหาทางรักษาเจ้าให้ได้!”

แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นโหดร้ายเกินจะรับได้ ร่างของน้องสาวกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนสี เส้นเลือดสีม่วงคล้ำผุดขึ้นทั่วลำคอและแขนเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

องค์หญิงสิบเอ็ดฝืนลืมตาขึ้น มองพี่ชายของตนด้วยดวงตาที่ไม่เหลือประกายแห่งชีวิต เมื่อสายตาเหลือบเห็นราชาปีศาจผู้เป็นบิดาแท้ ๆ ยืนมองตนอย่างไร้ความรู้สึก นางก็หัวเราะเย้ยตนเองเสียงเบาหรืออาจเป็นเสียงร้องไห้ ไม่มีใครรู้แน่ชัด

แม้ในวาระสุดท้าย…ท่านก็ยังเฉยชาเช่นนี้หรือ

ข้า…เป็นลูกของท่านจริงหรือไม่…

นางอยากถามแต่ไร้เรี่ยวแรงจะขยับริมฝีปาก ลมหายใจสุดท้ายของนางเต็มไปด้วยความตัดพ้อ ความเจ็บปวด และความอ้างว้างที่สะสมมาตลอดทั้งชีวิต

จนกระทั่ง…ร่างขององค์หญิงสิบเอ็ดที่เคยดิ้นรนอย่างเจ็บปวดทรมานค่อย ๆ สงบลงไปพร้อมกับการจากไปของนาง เสียงร่ำไห้ของผู้คนในตำหนักพลันขยายใหญ่จนแทบกลืนทุกสิ่ง เสียงสะอื้นของข้ารับใช้ในตำหนักที่สูญเสียผู้เป็นนายดังก้องไปทั่วตำหนัก

องค์ชายทั้งสิบล้อมวงกันรอบเตียง บทบาทชายผู้เคยไร้ความอ่อนโยนหายไปในพริบตา เหลือเพียงชายหนุ่มที่กอดร่างไร้วิญญาณของน้องสาวไว้แน่น

องค์ชายหนึ่งมือหยาบจากการถือหอก แขนข้างหนึ่งพันรอบเอวขององค์หญิง ดึงร่างน้องไว้ชิดอกเหมือนกลัวว่าหากปล่อยมือเพียงวินาทีเดียว นางจะเลือนหายไปมากกว่าเดิม น้ำเสียงเขาสั่น

“อย่าไปนะ อย่าไป สิบเอ็ดลืมตาสิ พี่ชายสั่งให้เจ้าลืมตา”

องค์ชายสาม สายตาที่เคยวางแผนและคำนวณกลับสั่นไหวจนเห็นได้ชัด เขาใช้มือเช็ดเลือดที่คั่งบนมุมปากของน้องสาว พลางกระซิบด้วยน้ำเสียงขาดใจ

“สิบเอ็ดพี่ชายขอโทษ ขอโทษที่พี่ชายทำอะไรให้เจ้าไม่ได้เลย”

ราชาปีศาจที่สูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวปรายตามองร่างไร้วิญญาณที่อยู่ในอ้อมกอดบุตรชาย ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจเพราะนี่คือสิ่งที่เขารอคอยมาตลอดห้าร้อยปี

“ท่านไม่เสียใจบ้างหรือไง ถึงไม่เอ็นดูนางแต่นางก็เป็นบุตรสาวท่าน”

“เหตุใดจึงยิ้มเช่นนั้นท่านไม่เสียใจบ้างหรือไง ต่อให้ตลอดมาท่านไม่โปรดปรานนาง แต่สิบเอ็ดก็เป็นบุตรสาวของท่าน!”

หนึ่งในองค์ชายเห็นท่าทีไร้หัวใจขอบิดาก็จับดาบหันไปท้าทาย ราชาปีศาจกลับเพียงปรายตามองด้วยสีหน้าเย็นชาและเอ่ยคำตอบที่แฝงไปด้วยความลับบางอย่าง

“นางเกิดมาเพื่อเป็น ร่างถ่ายโอนรองรับคำสาปจากพวกเจ้า เหตุใดข้าต้องเสียใจในเมื่อนางทำหน้าที่ของนางได้ดีเช่นนี้”

“ท่านหมายถึงอะไร”

“รู้แค่ว่านางตายเพื่อให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่”

ราชาปีศาจกล่าววาจาอันเย็นชาดุจคมมีดจบก็สะบัดชายอาภรณ์ยาวพลิ้ว เดินออกจากห้องบรรทมที่ปกคลุมด้วยความโศกเศร้าอย่างไร้เยื่อใย ประตูไม้สีดำสนิทค่อย ๆ เปิดออกตามแรงผลักของเขา เสียงคร่ำครวญปานหัวใจถูกฉีกกระชากของเหล่านายบำเรอนับร้อยผู้ภักดีต่อองค์หญิงสิบเอ็ดดังขึ้นพร้อมกัน ราวสายน้ำไหลเชี่ยวที่อัดแน่นด้วยความสิ้นหวังและความเจ็บปวด

ราชาปีศาจหยุดยืนเพียงชั่วอึดใจ หันใบหน้ามองเหล่าบุรุษด้วยดวงตาเยียบเย็นที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ แววตานั้น…มีเพียงความรำคาญและไม่พอใจที่เสียงร่ำไห้รบกวนความคิดของเขาเท่านั้น ดวงตาคมเหลือบมองคล้ายเตือนให้หยุดร้องไห้และเลิกทำเสียงน่ารำคาญนั่นเสียที

ในสมองของราชาปีศาจภาพในอดีตผุดขึ้นอย่างชัดเจน วันที่บุตรชายทั้งสิบของเขาต้องคำสาปที่มีชะตาที่โหดร้ายจะมีอายุเพียงห้าร้อยปีไม่อาจยืนยาวไปกว่านั้นแม้เพียงวันเดียว

เขายังคงจดจำได้ดี…ความสิ้นหวังที่ตัวเขาอาจไร้ทายาทสืบสกุล เขาเฝ้าหาวิธีแก้ไขทุกเส้นทาง ฝ่าแดนปีศาจ อสูร เทพ และแม้แต่แดนต้องห้ามจนเกือบแลกด้วยชีวิต กระทั่งพบว่ามีเพียงวิธีเดียวแก้คำสาปคือหาผู้รับคำสาปแทนได้ แต่เงื่อนไขคือต้องเป็นผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน

มุมปากของราชาปีศาจกระตุกขึ้นน้อย ๆ เมื่อนึกถึงความหลังอันเย็นชานั้น

ในเมื่อนางกล้าสาปบุตรชายข้า…เช่นนั้นก็ให้บุตรสาวของนางเป็นผู้รับมันไป

เมื่อบุตรสาวคนเล็กของเขาถือกำเนิดขึ้น โลกทั้งใบของมารดาเด็กน้อยพังทลายในพริบตา เขาปลิดชีพนางด้วยมือตนเอง ก่อนจะบอกความจริงทั้งหมดว่าลูกที่นางให้กำเนิดจะถูกใช้เป็นที่รองรับคำสาปเพื่อแลกชีวิตขององค์ชายทั้งสิบ

องค์หญิงสิบเอ็ดเติบโตมาด้วยชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว นางไม่เคยรู้ว่าวันใดจะเป็นวันสุดท้าย กระทั่งวันนี้…คำสาปได้เบ่งบานสมบูรณ์ในเลือดเนื้อของนาง

และนางก็ตาย…ตายเพราะคำสาปของมารดานาง

ราชาปีศาจก้าวผ่านธรณีประตูอย่างเฉยชา เสียงร่ำไห้เบื้องหลังเริ่มเบาบางลงทุกครั้งที่เขาย่างกายเดินห่างออกมาจากตำหนักบุตรสาว เขาหยุดชะงักฝีเท้าก่อนจะหันกายไปมองตำหนักองค์หญิงสิบเอ็ด

“อย่าโทษข้าเลย หากเจ้าไม่ตาย…บุตรชายของข้าก็ต้องตาย ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่ข้าให้เจ้ามีชีวิตที่ดีถึงห้าร้อยปี หรือหากคิดจะโทษ ก็จงโทษแม่ของเจ้าที่เอ่ยคำสาปนั้นเพื่อทำลายข้าเถอะ”

ความเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านปลายนิ้ว องค์หญิงสิบเอ็ดค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เธอพบเพียงม่านหมอกสีเทาที่ลอยปกคลุมรอบด้าน ไม่มีเสียง ไม่มีผู้คน ไม่มีแม้แต่ลมหายใจของตนเอง นางยืนอยู่ในความว่างเปล่าอย่างสงบจนน่าประหลาด ราวกับหัวใจของนางได้ปลดภาระทั้งหมดไปแล้ว

“ข้าตายแล้วจริง ๆ สินะ…”

ภาพสุดท้ายก่อนลมหายใจจะขาดห้วงผุดขึ้นมาเหมือนเงาสะท้อนในน้ำ ภาพบิดาของนางที่ยืนมองอยู่ตรงปลายเตียงอย่างไร้ความหมาย ไม่มีแม้แต่แววสลดหรือคำล่ำลา องค์หญิงสิบเอ็ดหัวเราะออกมาแผ่วเบาราวกับสมเพชชีวิตของตนเอง

“ข้าหวังอะไรอยู่กัน…แม้ยามข้าตาย ท่านยังไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ”

“องค์หญิงผู้น่าสงสารของข้า…ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าที่ทำให้เจ้าพบชะตาเช่นนี้…”

เสียงหนึ่งดังทะลุหมอกเข้ามา  ร่างเล็กของหญิงชราเดินออกมาจากม่านหมอก นางมีใบหน้าที่อ่อนล้า ดวงตาแดงก่ำราวผ่านการร้องไห้มาไม่รู้กี่ครั้ง

องค์หญิงสิบเอ็ดมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ ทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่กลับรู้สึกใกล้ชิดอย่างประหลาด ราวกับสายใยบางอย่างเชื่อมโยงกัน

“ข้าขอโทษ หากไม่ใช่เพราะคำสาปของข้า เจ้าคงไม่ต้องเป็นเช่นนี้…” หญิงชราเอ่ยเสียงต่ำทำสายตาเศร้า

“ท่านพูดเรื่องอะไร? คำสาปอะไร?” องค์หญิงสิบเอ็ดเลิกคิ้ว

หญิงชราเม้มริมฝีปากมือที่เหี่ยวย่นสั่นระริกเหมือนเก็บงำความผิดมาชั่วชีวิต นางสูดลมหายใจลึก ก่อนกล่าวช้า ๆ

“หลายร้อยปีก่อนบิดาของเจ้าสังหารคนในเผ่าของข้าจนหมดสิ้น เหลือเพียงข้าผู้เดียวที่รอดชีวิต ข้าในความโกรธแค้นและสิ้นหวังจึงเอ่ยคำสาปแช่งออกมา”

นางหลุบตาลงน้ำตาหยดลงข้อมือ

“หากเขาให้กำเนิดบุตร บุตรของเขาจะมีชีวิตเพียงห้าร้อยปี ข้าคิดเพียงว่า…ในเมื่อข้าไม่เหลือลูกหลาน เขาก็ไม่ควรเหลือเช่นกัน แต่ข้าไม่คิดเลยว่า ราชาปีศาจผู้นั้น…”

คำพูดขาดห้วง หญิงชรากัดริมฝีปากสั่นเครือ

องค์หญิงสิบเอ็ดหรี่ตาลงก่อนถามเสียงแข็ง “ท่านพ่อทำอะไร?”

หญิงชรานิ่งไปนาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ความเจ็บปวดที่อัดแน่นในแววตาทำให้คำพูดของนางหนักจนแทบไม่กล้าฟังต่อ

“เขาใช้เจ้า…เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ร่างของเจ้าถูกถ่ายโอนคำสาปจากพี่ชายทั้งสิบเจ้า ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าลืมตาดูโลก ต้องโทษข้า หากข้าไม่อ่อนแอ หากวันนั้นข้าไม่ถูกเขาย่ำยี…”

“ท่านจะบอกว่าที่ข้าตาย…เป็นเพราะคำสาปของท่าน?”

“เป็นความผิดข้า! เป็นความผิดของข้าเพียงผู้เดียว!”

หญิงชราทรุดลงคุกเข่าทุบหน้าอกตนเอง แต่แทนที่องค์หญิงสิบเอ็ดจะโกรธหรือร้องไห้ นางกลับหัวเราะอย่างขมขื่น

“พ่อของข้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ จนถึงวินาทีสุดท้าย”

นางมองหมอกสีซีดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“สุดท้ายข้าต้องตายแทนพี่ชายโง่ ๆ พวกนั้น ตายเพราะคำสาปที่ข้าไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าแบกอยู่บนบ่า…ช่างน่าขำ”

หญิงชรากุมมือแน่นจนข้อเขียว นางเงยหน้ามองเด็กสาวตรงหน้า เด็กสาวที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ลูกที่เกิดมาจากคืนอันเลวร้ายที่นางไม่เคยลืม

แม่ขอโทษ… ลูกแม่ช่างน่าสงสารเหลือเกิน…

“แล้วเจ้ามาทำไม? จะมาเล่าเรื่องเพราะรู้สึกผิดที่คำสาปของข้าทำให้เจ้าตายหรือ?”

หญิงชราเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจลึกจนตัวสั่น นางเอ่ยช้า ๆ แต่หนักแน่น

“ข้ามาเพื่อชดใช้…ทุกอย่างให้เจ้า”

นางค่อย ๆ ยื่นมือออกไป

“ข้าได้หาร่างใหม่ให้เจ้าแล้ว โอกาสครั้งที่สองใช้ชีวิตที่ไม่มีผู้ใดบังคับ ไม่มีคำสาป ไม่มีการถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยอีกต่อไป”

จวนตระกูลชุน

จวนตระกูลชุนในยามพลบค่ำเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมพัดต้องกรอบหน้าต่าง อันหรานเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง มือที่ถือถ้วยน้ำแกงยังคงสั่นน้อย ๆ จากความกังวล นางสูดลมหายใจอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวานแต่แฝงความคาดหวัง

“ข้าตุ๋นน้ำแกงมาให้ท่านพี่…”

นางวางถ้วยลงอย่างเบาที่สุดราวกลัวจะรบกวนอารมณ์ของชายตรงหน้า มู่หยางเหลือบตามองเพียงเล็กน้อย ไม่มีความอ่อนโยนอยู่ในสายตาคู่นั้นเลยแต่เขากลับหยิบถ้วยขึ้นมาช้า ๆ

“ข้าตั้งใจเคี่ยวเองหลายชั่วยามเลยนะเจ้าคะ ท่านพี่…”

ดวงตาอันหรานทอประกายทันที เสียงของนางสั่นเล็กน้อยตั้งแต่ที่แต่งงานกับเขานางทักถูกเมินเฉยมาตลอด การที่เขายอมรับถ้วยน้ำแกงเหมือนเป็นปาฏิหาริย์สำหรับนาง

“ฮูหยิน ยื่นมือของเจ้ามาสิ” มู่หยางเอ่ยจบก็ยกยิ้มขึ้นแต่เป็นยิ้มที่เย็นเยียบ

อันหรานชะงักมองสามีอย่างประหลาดใจ “เจ้าคะ?”

ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มของชายตรงหน้าที่ตนไม่เคยได้รับเลยสักครั้ง อันหรานก็หลงเชื่อยื่นมือออกไปอย่างซื่อสัตย์และเต็มไปด้วยความหวัง

ชั่วขณะนั้นเองมู่หยางจับข้อมืออันหรานแน่นราวคีบเหล็ก ก่อนจะพลิกถ้วยน้ำแกงร้อน ๆ เทลงบนฝ่ามือนางโดยไม่ลังเลสักนิด!

“กรี๊ดดดด!!”

อันหรานกรีดร้องออกมาสุดเสียง นางเจ็บจนตัวสั่นพยายามดึงแขนออกแต่ทำไม่ได้เพราะถูกมู่หยางกดมือไว้แน่นราวตั้งใจจะให้นางจำว่าความเจ็บนี้เกิดจากน้ำแกงที่เธอตุ๋นด้วยใจรัก

น้ำแกงร้อนลวกผิวจนแดงจัด พองขึ้นแทบจะทันที

“ท่านพี่ ขะ…ข้าร้อน ปะ…ปล่อยข้าเถอะ” เสียงนางขาดห้วง น้ำตาไหลพราก

มู่หยางจึงปล่อยมืออย่างไม่ใส่ใจ นัยน์ตาคมมองฝ่ามือแดงจัดของนางแล้วยิ้มอย่างพอใจ ราวกับภาพนี้คือสิ่งที่เขาต้องการเห็นจากนาง

“ครั้งนี้จงใจจะวางยาข้าอีกหรือ?” เขาพูดช้า ๆ เย็นเยียบ “คิดว่าข้าจะดื่มของเจ้าอีกหรือไง หลังจากเจ้าวางยาข้า?”

คำพูดนั้นฟาดลงเหมือนคมมีด ในดวงตาของเขาไม่มีแม้ความเชื่อใจหลงเหลือ มีเพียงความรังเกียจเต็มเปี่ยม

อันหรานส่ายหน้า น้ำตาหยดลงกับพื้น

“ข้า ข้าเพียงเป็นห่วงท่าน ข้าแค่…”

“ออกไป!!!”

เสียงตวาดดังสนั่นจนคนรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องสะดุ้ง อันหรานวิ่งออกไปโดยไม่กล้าหันกลับมา น้ำตาไหลทั่วแก้ม มือที่ถูกลวกกำแน่นจนสั่น เธอไม่รู้ว่าเจ็บอะไรหนักกว่ากันระหว่างฝ่ามือหรือหัวใจ

ฝ่ายวิญญาณองค์หญิงสิบเอ็ดยืนมองอันหรานที่วิ่งออกไปด้วยสายตาแข็งกร้าว ริมฝีปากนางยกขึ้นนิด ๆ แบบไม่ชอบใจนัก

“น่าสมเพช…” นางพึมพำ “ร้องไห้เพราะชายเช่นนั้น แล้วยังจะกลับไปหาอีกหรือ?”

นางเหลือบมองหญิงชราผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ ที่แห่งนี้คือโลกมนุษย์ หญิงชราพานางมาเพื่อรับร่างใหม่ที่จะทำให้นางกลับไปมีชีวิตได้อีกครั้ง องค์หญิงสิบเอ็ดกวาดตามองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังหาบางอย่าง

“ไหนล่ะ ร่างใหม่ของข้า?”

หญิงชรามองประตูที่อันหรานเพิ่งออกไป รอยยิ้มบางเฉียบปรากฏขึ้น แต่นัยน์ตากลับหม่นลึก

“สตรีที่เดินออกไป… ไป๋อันหราน” นางพูดเบา ๆ แต่ชัดเจน “อีกไม่นาน… นางจะสละร่างให้เจ้าเอง”

“ให้ตายเถอะ” องค์หญิงสิบเอ็ดสบถออกมา ก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ คล้ายไม่สนใจเป็นพิเศษ

หญิงชราเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าขององค์หญิงสิบเอ็ดชัดเจนยิ่งขึ้น ความคิดหนึ่งก็กระแทกเข้ามาในใจ ใบหน้านี้คือใบหน้าที่นางไม่เคยได้ปกป้อง

ลูกที่ถูกพรากไป...

ลูกที่นางไม่เคยมีโอกาสกอดแม้แต่ครั้งเดียว…

น้ำตาของหญิงชราไหลออกมา เธอยกมือที่เหี่ยวย่นลูบแก้มขององค์หญิงสิบเอ็ดอย่างแผ่วเบาราวกับลืมตัวไปชั่วขณะ

“เด็กน้อยของข้า” เสียงสั่นพร่าอย่างเจ็บลึก “ครั้งนี้ ได้โปรด…ใช้ชีวิตที่เจ้าต้องการเถิด อย่าได้เจ็บปวดอีกเลย…”

องค์หญิงสิบเอ็ดนิ่งไปหนึ่งอึดใจ ก่อนเบือนหน้าออกเล็กน้อย ไม่ยอมหลบแต่ก็ไม่เปิดใจรับสัมผัสนั้นเช่นกัน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป