บทที่ 4 ท่านไม่เคยลืมนางได้เลย
“ข้าจะแต่งเจินเจินเป็นอนุขอรับ”
“อันหรานเองก็ดีกับเจ้ามาก มู่หยางเจ้าคิดให้ดีอีกครั้งเถิด”
“ท่านแม่ให้ข้าทำดีกับนาง ข้าก็ทำแล้วตอนนี้ถึงคราวที่ท่านแม่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้แล้วขอรับ”
“ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะเห็นความดีของนางบ้าง…เอาเถิด ในเมื่อเจ้ามันตาบอด ก็แล้วแต่เจ้าเถิด”
“ขอรับ”
“เจ้าจงแจ้งแก่อันหรานด้วย อย่างไรนางก็เป็นฮูหยินของเจ้า ไป๋เจินเจินเป็นอนุต้องมาคารวะน้ำชานาง”
บทสนทนาระหว่างมู่หยางและชุนฮูหยินยังคงสะท้อนอยู่ในความคิดของเขา คำของมารดาทั้งตำหนิทั้งผิดหวังวนเวียนรอบหู แต่เขาไม่คิดหนักใจแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจมีเพียงอย่างเดียว ไป๋อันหรานสตรีเจ้าเล่ห์ผู้นั้นจะรังแกเจินเจินผู้อ่อนโยนของเขาหรือไม่
“ท่านพี่…”
เสียงแผ่วบางดังขึ้นจากหน้าประตู มู่หยางเงยหน้าไปเห็นอันหรานปรากฏตัวขึ้นในชุดบางสีจางเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้างดงามซีดเผือดจนสีเลือดแทบไม่เหลืออยู่ ร่างกายสั่นน้อย ๆ ประหนึ่งเพิ่งฟื้นจากความเจ็บปวด นางพยายามรักษาท่าทางให้ปกติ แม้ภายในจะปวดร้าวจากยาขับเลือดที่เพิ่งดื่มเมื่อครู่
มู่หยางมองสภาพนั้นเพียงชั่วครู่ ไม่มีความสงสารผุดขึ้นมาในสายตาแม้แต่น้อย
“เจ้ามาแล้วหรือ นั่งลงสิ”
อันหรานทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตามคำสั่ง ความอ่อนแรงทำให้ปลายนิ้วนางกำชายกระโปรงแน่นเพื่อไม่ให้มือสั่น นางพยายามยิ้มอ่อนให้สามีของตน
“ท่านพี่มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
มู่หยางมองนางนิ่ง ดวงตาเย็นเฉียบ “เรื่องเด็ก…เจ้าจัดการแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าดื่มยาแล้ว” มือของอันหรานบนตักกำเสื้อแน่น จิกจนปลายเล็บสั่น
“เช่นนั้นก็ดี”
มู่หยางพูดด้วยน้ำเสียงสบายใจราวกับเรื่องนั้นเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ ที่เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก ทว่าท่าทีเช่นนั้นกลับทำให้อันหรานเหมือนถูกมีดกรีดกลางอก
“ที่เรียกเจ้ามา… ข้าเพียงอยากให้เจ้ารับรู้ว่าข้าจะแต่งเจินเจินเป็นอนุ ให้เจ้าก็เตรียมรับน้ำชาจากนาง”
คำประกาศนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางหัวใจ ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนในชั่ววูบ อันหรานเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าซีดเปลี่ยนเป็นไร้สีเลือดไปโดยสิ้นเชิง
“ท่านพูดอะไรนะ… นางเป็นน้องสาวของข้า จะให้ข้ามีสามีคนเดียวกับนางอย่างนั้นหรือ!” เสียงของนางสั่นเครือ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและเจ็บปวดแต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือสายตาเย็นเยียบของชายที่เรียกว่าสามี
“เจ้าจะโวยวายไปทำไม? ไม่ใช่เจ้าพูดเองหรือว่าข้าจะแต่งใครมาก็ได้ ขอแค่ข้าอยู่กับเจ้า”
อันหรานเม้มปากจนซีด ขอเพียงได้อยู่ใกล้เขา…ครั้งนั้นนางพูดด้วยหัวใจจริง แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกนำมาฟาดใส่นางเช่นนี้
"แต่นางเป็นน้องสาวข้า แม้จะต่างมารดาแต่ข้ากับนางก็มีบิดาคนเดียวกัน"
มู่หยางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แขนไขว้ อารมณ์เย็นชาและดูถูกแผ่กระจายทั่วห้อง
"อันหราน เจ้าอย่าลืมสิ หากไม่ใช่เพราะเจ้าวางยาปลุกกำหนัดใช้ร่างกายต่ำ ๆ ของเจ้ายั่วยวนข้า มีหรือเจ้าจะได้แต่งเป็นฮูหยินข้า!"
ความเงียบโรยตัวลงเหมือนหิมะโปรยหนัก อันหรานรู้สึกราวกับถูกคำพูดนั้นตบซ้ำไม่หยุดนางกัดริมฝีปากจนเลือดซึม แต่ดวงตากลับไหวระริกอย่างเจ็บลึก
“เจ้ารู้แก่ใจอยู่แล้วคนที่ข้ารัก…มีเพียงน้องสาวของเจ้าเท่านั้น!”
ดวงหน้าของอันหรานซีดลงยิ่งกว่าเดิม มือทั้งสองกำผ้ากระโปรงแน่นเหมือนจะฉีกขาด หัวใจของนางเหมือนถูกขยี้เป็นเถ้าถ่านในชั่ววินาที
ส่วนมู่หยางเมื่อเขาได้รับในสิ่งที่ต้องการแล้วตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแสดงเป็นสามีที่ดีกับนางอีกต่อไป
“ละ…แล้วที่ผ่านมาคืออะไร”
เสียงอันหรานสั่นพร่าเหมือนลมหายใจที่กำลังขาดตอน นางมองสามีผ่านม่านน้ำตา สองมือกำเสื้อแน่นจนข้อนิ้วซีด
“ท่านรักข้าไม่ใช่หรือ”
“รักหรือ? มีผู้ใดจะรักสตรีแบบเจ้าลง”
มู่หยางหัวเราะเบา ๆ เสียงเย็นเยียบไร้ความลังเล ทว่าคำตอบนั้นเหมือนคมดาบกรีดลงกลางอก อันหรานสะอึกน้ำตาไหลรินไม่อาจกลั้นไว้ได้
“ข้าขอเตือน…หากเจ้าคิดรังแกเจินเจินแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะทำให้เจ้าชดใช้เป็นสิบเท่า”
อันหรานกัดริมฝีปากจนเลือดซึมมองสามีของนางผ่านม่านน้ำตา ห้าปี…ห้าปีเต็มที่นางทุ่มเททุกอย่างเพียงเพื่อเขาผู้เป็นสามี
ไม่ว่าต้องทำสิ่งชั่วร้ายเพียงใด ขอเพียงช่วยเขาได้นางยอม
ไม่ว่าถูกดูถูกเหยียดหยามมากเท่าไรนางอดทน
ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวร้าย เป็นภรรยาที่เขาไม่ต้องการนางยังเลือกอยู่ข้างเขา
นี่นางอดทนเพื่ออะไรกัน? นี่หรือผลตอบแทนที่เฝ้ามอบความรักและเทิดทูนให้เขา?
“ท่านไม่เคยลืมนางได้เลย…” นางหัวเราะออกมาเบา ๆ ทั้งที่น้ำตาไหล “เช่นนั้น…เรื่องลูกเล่า”
สายตาของมู่หยางเย็นเฉียบ ราวกับเอ่ยเรื่องไร้ค่า “ผู้หญิงเดียวที่ข้าจะมีบุตรด้วย…คือเจินเจิน ส่วนบุตรของเจ้าข้าไม่ต้องการ”
อันหรานนิ่งงัน เหมือนโลกหยุดหมุน สองเดือนที่ผ่านมาการแสดงความอ่อนโยน การยิ้ม การกุมมือทั้งหมดเป็นเพียงกาเสแสร้งให้นางตายใจเท่านั้น
ลูกของนางสำหรับเขาเป็นเพียง ความผิดพลาดที่เขาไม่เคยต้องการแม้แต่น้อย ริมฝีปากหญิงสาวสั่นพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีคำไหนออกมา สุดท้ายอันหรานลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ทว่าสายตาเหม่อลอยราวกับคนไร้วิญญาณ นางเดินออกจากห้องหนังสือเหมือนร่างกายไร้น้ำหนัก
องค์หญิงสิบเอ็ดที่ติดตามยืนกอดอกดูสถานการณ์อยู่ตั้งแต่แรกก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ร่างบางเดินตามอันหรานเงียบ ๆ พลางคิดเพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงเจ้าเลือกเองทั้งนั้นไป๋อันหราน
ไป๋อันหรานเดินโซซัดโซเซในลานเรือน เหมือนคนจมอยู่ในหมอกหนา หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งที่นางคุ้นเคยดังขึ้น
“อันหราน!”
เสียงเรียกที่คุ้นเลยทำให้อันหรานที่แทบไม่มีแรงเดิน เงยหน้าขึ้นช้า ๆ แม้ภาพตรงหน้าจะเลือนรางจากน้ำตา แต่ยังเห็นบุรุษชุดดำผู้มีใบหน้าอ่อนโยนและสายตาเป็นห่วงเจือโทสะ
อ๋องม่อเหยียน พี่ชายที่ครั้งหนึ่งเคยแสนดีกับข้า..
ไม่สิคนที่อยู่ชายแดนจะมาที่นี่ได้อย่างไร หรือว่านี่คือนิมิตจากความอ่อนล้า?
“อันหราน…เหตุใดเจ้าจึงแต่งงานโดยไม่รอข้า” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินบรรยาย
อันหรานมองชายที่เดินเข้ามาหานาง ในตอนนี้นางมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพร่ามัว ก่อนจะรู้สึกเหมือนขาไม่มีแรงนางเซจนยืนไม่อยู่
“อันหราน!!!”
ร่างของนางค่อย ๆ ทรุดลง ม่อเหยียนตาเบิกกว้าง รีบคว้าเอวและประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างร้อนรน
“อันหราน!!” เขาเขย่าร่างนางเบา ๆ
“ทะ…ท่านพี่…เป็นท่านจริง ๆ ด้วย” นางพยายามยิ้มทั้งที่น้ำตาไหลไม่หยุด
“อันหรานเจ้าเป็นอะไร!? ผู้ใดทำร้ายเจ้าเหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้!”
“ท่านพี่...ข้า…ข้าผิดสัญญากับท่านอีกแล้ว… ขอโทษนะเจ้าคะ…”
“อันหรานลืมตาสิ! หรานเอ๋อร์!”
ทว่าแม้จะได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายดวงตาของนางก็ไม่อาจฝืนต่อไปได้อีก เปลือกตาของหญิงสาวค่อย ๆ ปิดลง สติเลือนหายไปในอ้อมแขนของอ๋องม่อเหยียน
ม่อเหยียนหน้าเคร่งเครียด เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขาอุ้มร่างบอบบางขึ้นอย่างทะนุถนอมราวกับนางเป็นสมบัติล้ำค่า
“ตามหมอมาเดี๋ยวนี้!!!”
เสียงอันทรงอำนาจของท่านอ๋องทำให้ทั้งจวนตระกูลชุนแตกตื่น บ่าวสาววิ่งกันอลหม่าน เมื่อรู้ว่าผู้ใดที่อุ้มฮูหยินไป๋อันหรานอยู่ พวกบ่าวรีบวิ่งไปตามหมอ ม่อเหยียนอุ้มอันหรานเข้าไปในห้องนอนของนางทันที เลือดสีแดงเข้มซึมออกจากกระโปรงนาง—ภาพนั้นทำให้เขาหน้าถอดสี
“หรานเอ๋อร์…เจ้าบาดเจ็บตรงไหน!” เสียงเขาแตกพร่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“หมอมาหรือยัง!!! เร็วเข้า!!”
“ท่านหมอมาแล้วขอรับ!!”
เสียงองครักษ์ดังขึ้น เขานำชายร่างผอมในชุดผ้าแพรสีหม่น ๆ เข้ามาอย่างรีบร้อน ท่านหมอเป็นผู้เฒ่าที่ผ่านประสบการณ์รักษาผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่ยังอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้ามารักษาหญิงสาวที่นอนป่วยอยู่บนเตียงเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของม่อเหยียน
ทันทีที่ท่านหมอเห็นอันหรานนอนไม่ได้สติ เขารีบคุกเข่าลงข้างเตียง มือเหี่ยวย่นแต่มั่นคงยื่นไปจับชีพจรของนางอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจต่อมาท่านหมอก็ชะงัก นิ้วมือหยุดนิ่งราวจับจุดบางอย่างได้
“เกิดอะไรขึ้น?” ม่อเหยียนรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงถามเสียงแผ่วแต่กดต่ำ เต็มไปด้วยแรงกดดันที่สะท้อนถึงความหวาดหวั่น
ท่านหมอไม่ตอบแต่รีบหยิบเข็มเงินออกมาจากกล่องไม้ที่องครักษ์นำมาด้วย เขาเริ่มฝังเข็มลงตามตำแหน่งสำคัญอย่างรวดเร็ว เหงื่อเม็ดเล็กผุดบนหน้าผากของผู้เฒ่า ความรีบเร่งของเขายิ่งทำให้ม่อเหยียนคล้ายถูกคนเชือดใจทีละนิด
ไม่นานท่านหมอหยิบขวดน้ำยาสมุนไพรอุ่นสีเข้มขึ้นมา เขามองหน้านางนิ่งครู่หนึ่งก่อนค่อย ๆ ป้อนเข้าไปให้ดื่มอย่างระมัดระวัง
เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ท่านหมอจึงจับชีพจรอันหรานอีกครั้ง ก่อนชายชราจะถอนหายใจออกมายาวราวกับยกภูเขาออกจากอก
“นางปลอดภัยหรือไม่ ท่านหมอ?” ม่อเหยียนรีบถามทันที ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบท่านหมอก็หันมาเอ่ยสั่งกับองครักษ์
“หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมาให้ข้าตรวจสอบหน่อย” องครักษ์รีบเดินไปหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องมาให้ชายชราตามคำสั่ง
ม่อเหยียนเหลือบตามองกานั้นก่อนเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นแข็ง เขาเริ่มเดาได้ลาง ๆ ว่าความเจ็บปวดของอันหรานอาจไม่ใช่อาการป่วยธรรมดา
ท่านหมอรับกาน้ำชาก่อนจะเทน้ำลงถ้วยเล็กแล้วดมกลิ่นอย่างระมัดระวัง ทันทีที่กลิ่นลอยเข้าจมูก ท่านหมอก็เบิกตากว้าง ความตกใจชัดเจนบนใบหน้าเหี่ยวย่น
“ท่านหมอเป็นเช่นไรบ้าง” เสียงของม่อเหยียนทุ้มลึกและสั่นน้อย ๆ .ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยยามนี้แสดงออกถึงความกังวล
ท่านหมอค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนกล่าวหนักแน่น
“ฮูหยินชุน…นางตั้งครรภ์”
ห้องทั้งห้องเงียบลงทันที เหมือนโลกหยุดหมุน ม่อเหยียนนิ่งชะงักลมหายใจของเขาสะดุดไปชั่วขณะ
ท่านหมอยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ที่เป็นเช่นนี้…เพราะนางดื่มยาที่มีฤทธิ์ขับเลือด”
“แล้ว...นางกับเด็กเป็นเช่นไร” เสียงเขาเบาและสั่นแฝงไปด้วยความกังวล
ท่านหมอถอนหายใจยาว “จากที่ข้าตรวจ เมื่อครู่ฮูหยินนางยังไม่ดื่มเข้าไปมากนัก ข้าจึงพอช่วยชีวิตนางและเด็กในท้องไว้ได้ แต่หากครั้งหน้าไม่ดูแลดี…ข้าเกรงว่าแม้เพียงสะดุดล้มเล็กน้อยเด็กก็อาจเป็นอันตรายได้”
คำว่า เด็กอาจเป็นอันตรายได้ทำให้ม่อเหยียนกัดฟันจนเลือดซึมในปาก หัวใจเขาแทบจะถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือความโล่งอกที่นางยังไม่ตาย อีกส่วนคือความเจ็บปวดที่สตรีที่เขารักต้องอดทนกับความโหดร้ายแบบนี้
ท่านหมอส่ายหัวช้า ๆ ด้วยความหนักใจ “ผู้ใดกันช่างใจร้ายตั้งใจวางยาฮูหยินให้แท้งบุตร หากครั้งนี้ข้ามาไม่ทัน…เกรงว่าทั้งนางและเด็กคงไม่รอด”
คำพูดนั้นคมชัดราวมีดที่เฉือนลงกลางใจของม่อเหยียนอีกครั้งหนึ่ง เขายืนเงียบอยู่ แต่ความเงียบนั้นกลับส่งแรงสั่นสะเทือนมากกว่าคำใด ๆ ลมหายใจเขาหนักราวจะหอบเอาความเจ็บปวดออกมาพร้อมอากาศ
ท่านหมอเขียนเทียบยา และกำชับเพิ่ม
“หากนางฟื้น ให้ข้าตรวจอาการอีกครั้ง”
“ขอบคุณท่านหมอ”
องค์หญิงสิบเอ็ดที่เป็นวิญญาณมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบ ๆ นางมองม่อเหยียนไม่วางตา คนผู้นี้เป็นพี่ชายของไป๋อันหรานหรือ เหตุใดหลายเดือนมานี้ไม่เคยเห็นนางพูดถึง แต่คนผู้นี้ดูห่วงใยนางยิ่งกว่าเจ้ามู่หยางด้วยซ้ำ มิตรภาพพี่น้องช่างทำให้ข้าคิดถึงพี่ชายโง่ทั้งสิบของข้ายิ่งนัก
ม่อเหยียนยืนมองไป๋อันหรานที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงอีกครั้ง สายตาของเขาอ่อนลงอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาเอื้อมมือไปลูบเส้นผมของนางเบา ๆ ราวกับกลัวแรงสัมผัสจะทำให้นางแตกสลาย
“อันหราน…” เขากระซิบเบา ๆ เสียงสั่นไหวจนแทบไม่ใช่เสียงของเขาเอง “เหตุใดเจ้าจึงต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้…”
ชายหนุ่มหลับตาลง สูดลมหายใจลึกเพื่อกดความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมา หัวใจเขาปวดร้าวยิ่งกว่าเมื่อครั้งต้องออกศึกเสียอีก เขานึกถึงความตั้งใจแรกเริ่มที่ตนรีบกลับเมืองหลวงมาเพียงเพื่อมาหาพบหน้านาง
เขาเพียงเพื่อถามว่าเหตุใดนางจึงเลือกแต่งกับบุรุษที่ไม่ได้ความเช่นนี้…
เขาเพียงอยากรู้ว่าคนผู้นี้ดูแลนางดีกว่าเขาหรือไม่...
แต่ภาพตรงหน้าทำให้เขารู้คำตอบโดยไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว...
บุรุษไม่เอาไหนที่อันหรานเรียกว่าสามีดูแลนางไม่ต่างจากการปล่อยให้ดอกไม้บอบบางถูกพายุฝนซัดกระแทกจนเหลือเพียงกลีบที่ปริแตก
หากคืนนี้เขาไม่มา ไม่แน่ว่าอันหรานและเด็กในท้องอาจไม่รอดชีวิตก็ได้ แค่คิดเพียงเท่านั้น ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาราวกับไฟลามทุ่ง
ม่อเหยียนก้มหน้าลงปิดบังสายตา แต่กำปั้นของเขาที่กำไว้แน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นนั้นบอกชัดเจนว่าอารมณ์ของเขากำลังคุกรุ่นแค่ไหน
“อาฟู่” ม่อเหยียนเรียกองครักษ์ด้วยเสียงที่นิ่งจนเย็นเยียบ
“เจ้าไปส่งท่านหมอ แล้วสั่งให้เตรียมรถม้า…ข้าจะพาอันหรานกลับจวน”
“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์รับคำสั่งก่อนจะรีบออกไปจากห้อง
ม่อเหยียนเอื้อมมือไปจับมือของอันหราน มือของนางเย็นราวน้ำแข็ง เป็นความเย็นที่ตอกย้ำว่าตลอดมานางผ่านความเจ็บปวดมาคนเดียวเพียงใด
“อย่าห่วงเลย…อันหราน” เขากระซิบเบา ๆ ด้วยเสียงที่สั่นน้อย ๆ นิ้วมือเขาลูบหลังมือของนางราวปลอบโยน
“พี่จะหาคนที่วางยาเจ้าให้เจอ แล้วทรมานมันให้สมกับที่มันทำเจ้าเจ็บ”
