บทที่ 5 ความรักของอันหราน
ลมอ่อนจากหน้าต่างกระทบกับผ้าม่านสีงาช้างพลิ้วไหวเบาบาง ในห้องนอนกว้างของจวนอ๋องม่อเหยียนมีกลิ่นสมุนไพรอบอวลเจือกลิ่นยาจีนร้อน ๆ ที่ยังคงลอยกรุ่นอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของจวนฟุบหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก ศีรษะเอนพาดแขนที่วางทับขอบเตียง คนที่ดูเย็นชาและเฉยเมยต่อผู้คนทั้งแคว้น กลับมีสีหน้าล้าอ่อนอย่างน่าประหลาดเป็นใบหน้าที่มีเพียงอันหรานเท่านั้นที่เคยเห็นในวัยเด็ก
นี่เป็นคืนที่เจ็ดแล้วที่ม่อเหยียนเฝ้าอันหรานไม่ห่าง ทุกคืนเขาแทบไม่ได้นอนจริงจัง ทำเพียงงีบหลับอย่างคนหมดแรง แล้วสะดุ้งตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงลมหายใจนางผิดปกติ แม้นางไม่ได้สติ แต่เขายังคงเช็ดเหงื่อให้นางทุกครั้งที่ตัวนางร้อนขึ้น จับมือเรียวของนางไว้แน่นเหมือนกลัวว่าถ้าผละออกนางจะหายไปอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่องค์หญิงสิบเอ็ดจะก้าวเข้ามา นางยืนกอดอกมองภาพนั้นเงียบ ๆ ดวงตาคู่สวยที่ปกติแฝงประกายดื้อรั้นกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“เห็นเจ้าแล้ว…” นางพึมพำด้วยเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยต่อ “ทำให้ข้านึกถึงพี่ชายพวกโง่ ๆ ของข้าจริง ๆ”
สายตานางทอดลงมองชายหนุ่มที่ฟุบหลับอย่างหมดแรง ใบหน้าของม่อเหยียนยามหลับสงบนิ่งเหมือนไร้ความกังวล หากแต่ใต้ตาเขากลับคล้ำอย่างน่าใจหาย
“เมื่อก่อน ข้าป่วยแค่ไอไม่กี่ครั้ง พี่ชายทั้งสิบคนก็แทบจะลนลานเหมือนฟ้าถล่ม ข้าปรารถนาสิ่งใด พวกเขาก็จะยัดเยียดมาให้ราวกับกลัวข้าจะร้องไห้” น้ำเสียงองค์หญิงแผ่วลงเหมือนถูกพาให้ไหลย้อนกลับไปยังความทรงจำอันห่างไกล “แม้ข้าจะทำเรื่องชั่วร้ายแค่ไหน พวกเขาก็ยังตามลบความผิดให้อยู่ดี…ช่างเป็นพวกโง่เง่ายิ่งนัก...”
ดวงตานางหม่นลง ความเจ็บแปลบที่ซ่อนลึกกำลังกัดกินหัวใจ นางยกมือแตะศีรษะตนเองเบา ๆ ราวกับปลอบความเจ็บปวดที่ไม่มีใครมองเห็น
“ข้าตายไปเช่นนี้…พวกโง่นั่นจะเป็นเช่นไรกันบ้างนะ...”
ในขณะที่องค์หญิงกำลังจมอยู่ในความคิด เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นภายในห้อง องค์หญิงสิบเอ็ดหันไปมองไป๋อันหรานที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงมาตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาเริ่มขยับตัว
“อืมม…”
ร่างเล็กบนเตียงขยับเล็กน้อย มือเรียวกำผ้าห่มแน่น ใบหน้าอ่อนล้าค่อย ๆ ขยับ เปลือกตานางสั่นระริกก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
ม่อเหยียนสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น ดวงตาที่แดงช้ำเพราะอดนอนเบิกกว้างทันทีที่เห็นไป๋อันหรานฟื้นขึ้นมา
“หรานเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วเหรอ” เขาพูดเสียงแผ่วปนโล่งอกจนแทบฟังไม่ชัด
อันหรานกระพริบตาถี่ ๆ มองไปรอบห้อง ก่อนสายตานางจะหยุดที่ม่อเหยียน ความทรงจำประดังกลับเข้ามา เสียงร้องไห้ เสียงด่า กลิ่นเลือด และความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงหัวใจจนเกือบขาดสติ
เมื่อคืน…ไม่ใช่ความฝัน เขากลับมาจริง ๆ
“ท่านพี่…” เสียงนางเบาแผ่วแทบขาดหาย
ม่อเหยียนรีบเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เขาจับไหล่นางเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะแตะต้องแรงเกินไป
“พี่ไปหาเจ้าที่จวนตระกูลชุน แล้วพบว่าเจ้ากับลูก…”
มือบางของอันหรานค่อย ๆ เลื่อนลงกดท้องตนเองเบา ๆ ความรู้สึกบางอย่างจู่โจมทันทีที่ได้ยินคำว่า "ลูก" ใบหน้านางซีดลงราวกระดาษ
เด็กคนนั้น…ไม่อยู่แล้วสินะ...
“เจ้าไม่ต้องห่วงนะ…ลูกเจ้าปลอดภัยดี”
อันหรานชะงักเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ “ลูกข้า…ยังอยู่?”
ม่อเหยียนพยักหน้า ช้าแต่มั่นคง “อืม พี่ดูแลเองกับมือ”
ดวงตาของอันหรานเต็มไปด้วยอารมณ์หลายอย่างจนยากจะแยก ความกังวลปะปนความหวาดกลัว เศร้า และแปลบลึกที่ยากเอื้อนเอ่ย นางฝืนยิ้มทั้งที่มุมปากสั่นเทา
“ท่าน…กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเจ้าคะ”
“ไม่นานก่อนเจ้า…” ม่อเหยียนหยุดลมหายใจเล็กน้อย ก่อนพูดสิ่งที่ค้างคาใจตลอดมา “แต่เจ้าแต่งงาน…ไม่คิดจะบอกพี่เลยหรือหรานเอ๋อร์”
อันหรานชะงักราวกลางอกถูกเหล็กแหลมแทง รอยยิ้มฝืนหายไปจากใบหน้าโดยไม่รู้ตัว นางก้มหน้าลงช้า ๆ ก่อนจะเอนกายลงนอนหันหลังให้ม่อเหยียนโดยไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
ม่อเหยียนมองแผ่นหลังสั่นไหวของนางเงียบ ๆ เขารู้ดีว่าอันหรานชอบหลบปัญหาเสมอ…เพราะนางชอบคิดว่าตนเองไร้ที่พึ่งพิงและคนเห็นใจ
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมไหล่ให้นางอย่างแผ่วเบา มือของเขาอุ่นกว่าที่อันหรานจำได้
“ร่างกายเจ้ากำลังอ่อนแอ…นอนพักอีกหน่อยเถอะ”
เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงแผ่วเบาราวกับกำลังต่อสู้กับตัวเองจึงดังขึ้น
“ข้า…อยากกลับจวน”
ม่อเหยียนชะงัก เขามองแผ่นหลังเล็กที่หันให้ราวกับนางเป็นเด็กดื้อที่อยากกลับไปหาบ้านเดิมที่กำลังไฟไหม้ทั้งหลัง
“เฮอะ” เขาแค่นหัวเราะ แม้ไม่ดังแต่เต็มไปด้วยความขื่นขม “จวน? เจ้ากล้าเรียกที่นั่นว่าจวนหรือ”
มือของอันหรานกำผ้าห่มแน่นขึ้นเล็กน้อย
“รู้หรือไม่ วันที่พี่อุ้มเจ้าออกมา มู่หยางสามีของเจ้าไม่แม้แต่จะก้าวเท้าออกมาห้าม”
“เขา…อาจไม่รู้…” นางพึมพำเบา ๆ ราวกับต่อให้ความจริงจะแหลกเหลวเพียงใด นางก็ยังอยากเชื่อในตัวสามี
แต่ม่อเหยียนรู้ดี…บางครั้งคนที่รักมากที่สุดคือคนที่หลอกตัวเองเก่งที่สุด
“แล้วเหตุใดเมื่อเขารู้ถึงไม่มาตามเจ้ากลับไปเล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “หรือเจ้าคิดว่าเพราะเขาไม่ว่าง?”
ดวงอันหรานสั่นเครือ แต่มือเล็กกำแน่นยิ่งกว่าเดิม
ม่อเหยียนมองนางเงียบไปจากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ไป๋เจินเจิน…น้องสาวต่างมารดาของเจ้า นางแต่งเข้าจวนตระกูลชุนเป็นอนุของสามีเจ้าไปแล้ว”
ร่างบนเตียงสั่นสะท้านอย่างแรง อันหรานหลับตาแน่นจนเปลือกตาสั่นเทา ริมฝีปากบางเม้มจนซีด มือที่วางบนท้องกำชุดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
คำว่าน้องสาวพุ่งเข้าแทงใจลึกกว่ามีดเล่มใด
ไป๋เจินเจิน…เป็นนางที่แย่งท่านพี่ไปจากข้าอีกแล้ว!
“ข้าจะกลับจวนตระกูลชุน” เสียงนางเบาแต่หนักแน่น ราวกับตั้งใจเดินเข้าสู่ไฟอีกครั้งแม้รู้ว่าจะถูกเผา
ม่อเหยียนหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย “อันหราน แต่ว่า…”
“ขอท่าน…ทำตามที่ข้าต้องการด้วย”
อันหรานพูดทั้งที่น้ำตาไหลเงียบ ๆ ซึมลงหมอน แต่เสียงยังคงมั่นคงอย่างคนหมดหวัง แต่ยังมีบางสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ
ม่อเหยียนมองนางเงียบงัน ดวงตาเขามีทั้งความปวดร้าว ความโกรธ และความสงสารปนกันยุ่ง เขาอยากดุ อยากห้าม อยากให้นางมองเห็นค่าของตัวเองมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นน้ำตาที่นางพยายามซ่อน เขาได้แต่กำมือแน่น
เขาเป็นอ๋องที่ผู้คนทั้งแคว้นกลัวเกรง
แต่กลับแพ้พ่ายต่อคำพูดสั่น ๆ ของนางเพียงประโยคเดียว
ดวงวิญญาณขององค์หญิงสิบเอ็ดยืนกอดอกมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าแทบทนดูไม่ไหว ดวงตาคู่สวยหรี่ลงอย่างไม่พอใจจนความขุ่นเคืองเกือบระเบิดออกมา
“โอ้ย ข้าอยากจะสังหารเจ้าให้ตายเสียให้สิ้นไป๋อันหราน!” องค์หญิงสิบเอ็ดบ่นพลางจ้องสตรีบนเตียงด้วยแววตาเบื่อหน่ายจนชัดเจน “เจ้าเป็นสตรีโง่งมที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาแล้ว!”
นางเบือนหน้าไปมองม่อเหยียนแทน ใบหน้าคมคายที่มักสงบนิ่งเสมอของเขายามนี้กลับเต็มไปด้วยความสลด องค์หญิงสิบเอ็ดมองเห็นชัดเจน แววตานั้นกำลังเจ็บปวด แม้เขาจะพยายามเก็บมันไว้ลึกแค่ไหนก็ตาม
“เจ็บปวด? เดี๋ยวสิ ทำไมพี่ชายของไป๋อันหรานถึงต้องเจ็บปวดด้วย?” องค์หญิงพึมพำ “หรือเพราะเขารักและเป็นห่วงน้องสาวมากหรือ?”
นางเงียบไปชั่วครู่ก่อนถอนหายใจเนิ่น ๆ ราวกับมองเห็นส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเองสะท้อนอยู่ในมุมหนึ่งของม่อเหยียน
“พวกพี่ชายนี่มันเหมือนกันหมดสินะ”
ขณะที่องค์หญิงกำลังพูดคนเดียว เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอาฟู่เร่งร้อน
“ท่านอ๋อง พ่อบ้านตระกูลชุนมาพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงนั้นทำให้ทั้งม่อเหยียนและอันหรานสะดุ้ง อันหรานลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่อ่อนแรงเมื่อครู่นี้พลันมีประกายแห่งความหวังวาบขึ้นมาทันที นางผลักผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที แสงแห่งความหวังล้นท่วมดวงตาคู่นั้นอย่างหาสิ่งใดเทียบไม่ได้
ท่านพี่…ส่งคนมารับข้าหรือ!
“พ่อบ้านเขาอยู่ที่ใด? พาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้!” อันหรานรีบพูดด้วยรอยยิ้มที่นางไม่อาจเก็บซ่อน
อาฟู่ลังเล เขาหันมองเจ้านายของตนที่สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ม่อเหยียนมองอันหรานด้วยสายตาที่บอกชัดว่าไม่อยากให้นางออกไปพบอีกฝ่าย แต่เขาไม่พูด เขาเพียงกำมือแน่นขณะมองนางวิ่งพรวดออกไป
องค์หญิงสิบเอ็ดยืนตัวแข็งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะร้องโวยวายแทบจะกระทืบเท้า
“โง่เง่ายิ่งกว่าเดิมอีกสตรีผู้นี้!”
อันหรานรีบเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนว่าตัวเองยังป่วยอยู่ หญิงสาวรีบจนปลายชุดลากพื้นตามแรงวิ่ง เธอพบพ่อบ้านของตระกูลชุนยืนอยู่ตรงลานด้านหน้า เขาเป็นชายวัยกลางคนที่อันหรานคุ้นเคยดี เรียบร้อย สุภาพ และมักยิ้มให้เธอเสมอ
ทันทีที่เห็นใบหน้าเขา…รอยยิ้มของอันหรานสว่างวาบขึ้นมาทันที
“พ่อบ้าน! ข้ามาแล้ว…ท่านพี่ล่ะ ท่านพี่อยู่ไหน?”
พ่อบ้านชั้นนอกหันมองหน้าอันหรานด้วยแววตาผิดธรรมชาติ แววตาที่เต็มไปด้วยความกลัว ความกังวล และความสงสารเจือบาง เขาก้มหน้าลงช้า ๆ
“ฮูหยินคือว่า…”
“ท่านพี่อยู่บนรถม้าหรือ?” อันหรานรีบพูดตัดหน้า ราวกับไม่อยากฟังคำปฏิเสธที่ลอยวนรอบตัวที่ทำให้หัวใจต้องสั่น “ไปเถอะ ข้าอยากเจอท่านพี่แล้ว”
นางจับแขนเสื้อพ่อบ้านดึงออกไปทางประตูจวน ทำราวกับไม่เห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่าย ทว่าเมื่อเดินถึงหน้าประตูใหญ่ ร่างบางหยุดทันที พื้นที่ตรงหน้าโล่ง ไม่มีรถม้า ไม่มีคน ไม่มีสิ่งใดเลย รอยยิ้มค่อย ๆ เลือนหายจากใบหน้าของอันหราน หญิงสาวหันไปมองพ่อบ้านช้า ๆ ดวงตาสั่นไหวอย่างไม่มั่นใจ
“รถม้าของข้าล่ะ…”
พ่อบ้านขมวดคิ้ว นัยน์ตาสลด เขาค่อย ๆ หยิบซองจดหมายสีน้ำตาลจากแขนเสื้อออกมาอย่างเสียไม่ได้ มือสั่นเทาจนเห็นได้ชัด เขายื่นซองให้ท่ามกลางความเงียบที่หนักอึ้งและน่าอึกอัด
“ฮูหยิน คุณชายให้ข้ามาส่งสิ่งนี้ขอรับ”
อันหรานยื่นมือไปรับทั้งที่เริ่มรู้สึกว่าปลายนิ้วเย็นเฉียบ ร่างกายสั่นไหวอย่างไร้สาเหตุ พอเปิดซอง…กระดาษจดหมายสีขาวสะอาดก็หล่นลงมาบนมือสั่น ๆ ของนาง ตัวอักษรที่คุ้นตาเด่นชัดแต่ทิ่มแทงดวงตาจนน้ำตาเริ่มพร่ามัว
จดหมายขับภรรยาด้วยความผิดข้อหาคบชู้...
อันหรานอ่านมันอีกครั้ง..
อีกครั้ง…
และอีกครั้ง...
“ข้า…ไม่ได้คบชู้” เสียงสั่นจนแทบฟังไม่ออก “ข้าไม่ได้…”
ราวกับโลกทั้งใบล้มทับลงมาทันทีที่อ่านข้อความสุดท้าย ความเงียบหนักอึ้งเกินกว่าจะหายใจพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หน้าซีดรีบหมุนตัวเดินหนีอย่างรวดเร็ว เห็นน้ำตาของนางแล้วเขาก็รู้ดี ยามไป๋อันหรานโมโหนั้นร้ายยิ่งกว่าผู้ชายหลายคน
องค์หญิงสิบเอ็ดที่เดินตามออกมา อ่านตัวอักษรที่อยู่บนจดหมายก็ขมวดคิ้วทั้งสองเข้ากัน นางส่ายหน้าช้า ๆ อยู่ข้างกายอันหราน
“ไป๋อันหรานเอ๋ยไป๋อันหราน สามีที่เจ้ารักจดหมดหัวใจตัดสินใจทอดทิ้งเจ้าแล้ว...”
ขณะนั้นม่อเหยียนรีบเดินมาหยุดตรงหน้าอันหรานเพียงลมหนึ่ง เขามองสีหน้าที่ว่างเปล่าของนางแล้วหัวใจเขาก็ร่วงวูบลงไปก้นเหว
“อันหราน เจ้าเป็นอันใด…”
ดวงตาหญิงสาวที่เคยอ่อนโยนที่สุดกลับแข็งกร้าวขึ้น น้ำตาไหลรินจนใบหน้าเปียก นางยกหนังสือขับไล่ภรรยาขึ้นมาเหมือนมันเป็นสิ่งสกปรกที่เผาใจนางทั้งเป็น ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่สั่น แต่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บแค้นที่กัดลึกถึงกระดูก
“เพราะท่าน!” นางตะโกนลั่น “เพราะท่าน พี่หยางถึงทำเช่นนี้กับข้า!”
“ท่านทำลายชีวิตข้า…” อันหรานทุบกำปั้นเล็ก ๆ เข้าที่หน้าอกกว้างของเขา “ท่าน…ทำลายทุกอย่างของข้า!”
หนังสือขับไล่ภรรยาถูกขยุ้มจนเกือบขาด มือของนางสั่นเทาราวกับคนกำลังจมน้ำ หัวใจแตกสลายไม่เป็นชิ้นดี
“อันหราน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีก! อย่ามายุ่งกับข้า!”
คำพูดนั้นฟันลึกลงกลางหัวใจของม่อเหยียนยิ่งกว่าใบมีด ดวงตาของเขาแดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาสูดลมหายใจสั่นเครือ แต่ไม่พูดออกมา ไม่โวยวาย ไม่ตวาด ไม่ห้ามนางอีกต่อไป
เพราะเขารู้ดี ว่าตอนนี้อันหรานเจ็บเกินกว่าจะรับฟังคำอธิบายใด ๆ
องค์หญิงสิบเอ็ดมองภาพนั้นแล้วถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะหันไปตำหนิหญิงสาวผู้โง่เขล่าที่กำลังจะออกไปจากจวน
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! เจ้าพูดอะไรออกไปน่ะ ไป๋อันหราน! นี่มันไม่ใช่ความผิดของพี่ชายเจ้าเลยสักนิด!”
แต่อันหรานย่อมไม่ได้ยินและไม่เห็นดวงวิญญาณขององค์หญิงสิบเอ็ด นางเดินก้มหน้าออกจากจวนไปคล้ายคนที่หมดแรงยืน แต่ยังฝืนเดินด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ม่อเหยียนที่ตั้งสติได้พยายามจะตาม แต่เพียงก้าวออกจากประตู ก็พบว่าร่างเล็ก ๆ ของอันหรานได้หายไปกับฝูงชนแล้ว ชายหนุ่มหนุ่มพยายามออกตามหาหญิงสาวด้วยใจที่เป็นกังวล
อันหรานเจ้าอยู่ที่ใดกันแน่...
จวนตระกูลชุน
ลมยามบ่ายพัดผ่านตรอกหินอย่างแผ่วเบา ทว่าในหูของไป๋อันหรานกลับได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตนที่เต้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเจ็บปวด ร่างบางเดินโซเซราวกับลมหอบแรกจะพัดนางล้มลงทุกเมื่อ มือข้างหนึ่งกุมหนังสือหย่าสีน้ำตาลแน่นจนปลายนิ้วซีดเซียว ทุกย่างก้าวล้วนหนักอึ้งแต่กลับมีแรงผลักดันบางอย่างรั้งให้นางเดินต่อ
ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่คือการได้พบหน้าสามีผู้ที่นางรักสุดหัวใจ แม้เขาจะเย็นชาเพียงใด แม้เขาจะไม่เคยมองนางอย่างภรรยาเพียงครึ่งวัน แต่นางก็ยังเชื่อเสมอว่า หากได้อธิบาย เขาต้องฟัง ต้องเชื่อใจนาง
ดวงตาที่แดงช้ำเพราะร้องไห้มาทั้งวันเงยขึ้นมองประตูจวนตระกูลชุนที่คุ้นเคย ความหวังเล็ก ๆ ผุดขึ้นในอกทันทีที่เห็นรถม้าของตระกูลหยุดอยู่ตรงลานด้านหน้า และร่างสูงของบุรุษผู้เป็นสามีก้าวลงมาอย่างสง่างาม
“ท่านพี่…” เสียงนางแตกพร่าแต่เปี่ยมด้วยความยินดี
อันหรานรีบวิ่งเข้าไปดั่งคนกำลังจะจมแล้วคว้าเห็นทุ่นสุดท้าย แต่เพียงก้าวสองก้าวไปถึง มู่หยางที่ควรจะเข้ามาประคองกลับถอยหลังหนีราวกับนางเป็นสิ่งโสโครกที่ไม่ควรเข้าใกล้ หัวใจของอันหรานตกลงไปที่ก้นเหวทันที สายตาของชายหนุ่มผู้เป็นสามีไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความสงสัย ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธที่กลั่นออกมาจากรัก
มีเพียงความรังเกียจล้วน ๆ
“เจ้ามาทำไม” น้ำเสียงเขาเย็นราวกับลมกลางเหมันต์ “ไม่ได้รับหนังสือขับภรรยาที่ข้าส่งให้หรือ?”
อันหรานส่ายหน้าทันที น้ำตาไหลคลอ “ท่านพี่ ข้าไม่ได้คบชู้เลยเจ้าค่ะ ข้ามีเพียงท่านจริง ๆ ท่านต้องเชื่อข้านะ”
มู่หยางหัวเราะเยาะเย้ย เสียงแผ่วแต่บาดลึกจนถึงกระดูก
“เจ้ามีหรือไม่มีมันเกี่ยวอะไรกับข้ากัน เจ้าไม่ใช่ฮูหยินชุนของข้าอีกต่อไปแล้ว”
คำพูดนั้นเหมือนมีกระบี่คมปักเข้ากลางอกอันหราน นางยืนสั่นงันงกไปทั้งร่าง ก่อนจะพยายามร้องอ้อนวอนสามีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านพี่ข้ารักเพียงท่านนะเจ้าคะ เด็กในท้องของข้าหากท่านไม่ต้องการข้าจะเอาเขาออกก็ได้ ขอเพียงท่านให้ข้ากลับไปอยู่ข้างกาย เจินเจินท่านให้นางเป็นฮูหยินก็ได้ ข้าแค่เพียงอยากอยู่ข้างกายท่าน ไม่ต้องรักข้าก็ได้ ขอเพียงให้ข้าดูแลท่าน เป็นอนุก็ได้”
สิ้นคำร่างของนางที่สั่นคลอนยิ่งดูน่าเวทนานัก นางยอมแม้กระทั่งสละลูกในครรภ์…เพื่อแลกกับเพียงเศษความสนใจของเขา
คิ้วของมู่หยางกระตุกขึ้นเล็กน้อยเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“เด็กในท้องของเจ้ายังอยู่หรือ” เขาถามเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
อันหรานรีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ ยังอยู่ เด็กคนนี้เป็นลูกของเรา หากท่านไม่ต้องการ ข้าจะ…”
“อันหราน” ชายหนุ่มพูดแทรกทันที สายตาเย็นเยียบที่มองนาง เฉียบคมยิ่งกว่ามีด “สวะเช่นเจ้าเหตุใดถึงเอาแต่สร้างปัญหาให้ข้ากัน เจ้าอยากได้ความสนใจจากข้าหรือ”
ราวกับโลกหยุดหมุน น้ำตาของอันหรานไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ถึงเช่นนั้น…นางก็ยังยิ้มอย่างคนสิ้นหวัง
“ไม่ต้องสนใจข้าก็ได้เจ้าค่ะ ข้าขอเพียงให้ท่านมีความสุข ข้าอยากมองใบหน้าและรอยยิ้มของท่าน…เพียงเท่านั้น”
มู่หยางมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตานั้นเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นรังเกียจอย่างเปิดเผย เสื้อผ้าที่นางสวมใส่มามีแต่ฝุ่น คราบน้ำตาและเหงื่อทำให้ใบหน้าที่เคยขาวสะอาดหม่นหมองราวกับคนป่วยหนัก
“ดูสภาพเจ้าในยามนี้สิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “แบบนี้เทียบกับเจินเจินได้หรือ เจ้าไม่มีค่าแม้แต่จะเป็นอนุ แค่จะให้ข้ามองก็ยังน่าขยะแขยง”
หัวใจอันหรานปริแตกอย่างเงียบงัน ทว่าเขายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น
“ถ้าอยากให้ข้าสนใจเจ้า…” เขาเดินเข้าไปใกล้ เอียงหน้าพูดอย่างไร้ความเมตตา “ลองตายให้ข้าดูดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าหากเจ้ากับเด็กในท้องตาย ข้าอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างก็ได้”
พูดจบชายหนุ่มก็ปัดชายแขนเสื้อราวกับเพิ่งสัมผัสสิ่งโสโครก แล้วเดินผ่านอันหรานเข้าไปในประตูจวนที่คุ้นเคย ประตูที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่นางเรียกว่าบ้าน แผ่นหลังของเขาหายเข้าไปในเงามืดของโถงจวน ทั้งที่อยู่ไม่ไกล…แต่กลับดูเหมือนอยู่คนละโลก
อันหรานยืนอยู่เพียงลำพังลมที่พัดมาก่อนหน้านี้อุ่นนัก แต่บัดนี้กลับเย็นจนแทรกเข้ากระดูก สายตาของนางพร่าเลือน ทว่าร่างกายกลับรู้สึกเหมือนแบกรับน้ำหนักหมื่นหาบ คำพูดของเขายังคงก้องในหู
“ลองตายให้ข้าดูดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าหากเจ้ากับเด็กในท้องตาย ข้าอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างก็ได้”
นางไม่รู้ว่าตนยืนอยู่ที่นี่นานเท่าไร แม้คนรับใช้บางคนเหลือบมองนางแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่ง เพราะรู้ดีว่านี่คืออดีตฮูหยินที่นายท่านขับไล่ออกไปเพราะคบชู้
อันหรานสูดหายใจลึกอย่างยากลำบาก แล้วหันหลังให้จวนตระกูลชุนช้า ๆ นางเดินไปบนถนนหินโดยไม่รู้ว่าตนจะไปที่ใด สายตาเหม่อลอยราวกับคนไร้วิญญาณ เงาของนางทอดยาว บิดเบี้ยวบนพื้นเหมือนล้อเลียนความสิ้นหวังในหัวใจของนาง
ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มกลืนแสงสุดท้ายของวัน สีส้มหม่นคล้ายไฟที่ใกล้ดับค่อย ๆ จางหายไปจากขอบฟ้า ก่อนถูกแทนที่ด้วยเงาสลัวของม่านราตรี สายลมเย็นยามค่ำพัดพาใบไม้ปลิวจนเกิดเสียงกรอบแกรบ ลำน้ำใต้สะพานไหลเชี่ยวเบา ๆ แต่พอจะสะท้อนให้เห็นเงาร่างหญิงคนหนึ่งที่เดินโซเซมาถึงกลางสะพาน
ไป๋อันหรานเดินเหมือนไม่รับรู้โลก เหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังหายใจอยู่ น้ำตารินเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีด ริมฝีปากบางที่เคยสดใสคลี่ยิ้มจางราวกับคนที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะมีชีวิต ทุกก้าวคือความเจ็บปวดที่บีบหัวใจจนแทบแตกสลายในใจนางดังก้องด้วยเสียงของเขา
คำพูดเหล่านั้น…คำที่คิดถึงทีไรเหมือนคมมีดกรีดซ้ำลงกลางหัวใจจนเลือดหยุดไหลไม่ได้
‘หากอยากให้ข้าสนใจ ลองตายให้ข้าดูดีหรือไม่?’
‘ไม่แน่ว่าหากเจ้ากับเด็กในท้องตาย ข้าอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างก็ได้’
ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้ง น้ำเสียงเย็นชานั้นก็ยังแทรกเข้ามา บีบใจนางจนแทบหายใจไม่ออก หลายปีที่ผ่านมานางทุ่มเทอะไรไปบ้างกัน?
นางยอมทำทุกอย่างตั้งแต่เรื่องที่น่าละอายที่สุดอย่างวางยาปลุกกำหนัดแย่งเขามาจากน้องสาว ใช้เงินทองทรัพย์สินทั้งหมดซื้อตำแหน่งในราชสำนักให้เขามีอำนาจ งานเย็บปักที่นางไม่เคยแตะก็ฝึกจนมือด้านเพียงเพื่อทำเสื้อผ้าให้เขาสวมใส่ ตื่นเช้ามืดทุกวันเพื่อต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายให้เขาดื่มก่อนออกไปทำงาน
แม้สุดท้าย…น้ำแกงจะถูกเทราดมือของนางก็ตาม
“ข้าทุ่มเทไปเพียงนี้เหตุใดท่านถึงรักแต่นางกัน” อันหรานสะอื้นเบา ๆ เสียงสั่นจนแทบไม่เป็นถ้อยคำ
“เพื่อท่าน ไป๋เจินเจินนางเสียสละอะไรบ้าง มีเพียงข้า มีเพียงข้าที่ยอมสละทุกอย่างให้ท่าน ไม่มีผู้ใดรักท่านมากกว่าข้าอีกแล้ว”
ความคิดนั้นค่อย ๆ กลายเป็นหลุมมืดที่ลากนางลงไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ร่างบางเดินมาหยุดตรงกลางสะพาน ดวงตาคู่สวยมองท้องฟ้าสีหม่นที่เหมือนกำลังร้องไห้ไปพร้อมนาง ลมเย็นแรงขึ้นจนชายเสื้อของนางปลิวสั่นไหวแต่หญิงสาวกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเลยแม้แต่น้อย
ร่างบางค่อย ๆ ปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสะพาน ราวกับเพียงแค่ขยับตัวน้อยนิดก็พร้อมจะร่วงหล่นลงสู่สายน้ำด้านล่างที่ไหลเชี่ยว แววตาของนางว่างเปล่าเสียจนดูเหมือนชีวิตได้จากนางไปแล้วครึ่งหนึ่ง มือขวาอันสั่นเทาลูบท้องแผ่วเบา
ทว่าในขณะเดียวกัน ชายอีกคนที่กำลังวิ่งหานางแทบพลิกเมืองหลวงก็ปรากฏตัวขึ้น ม่อเหยียนหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นเงาร่างของสตรีที่เขาตามหานั่งอยู่บนขอบสะพาน
“อันหราน!!!” เขาตะโกนสุดเสียง น้ำเสียงสั่น ขาดห้วง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนแทบฉีกออกเป็นสองส่วน
“อย่าโดดนะ!!!”
ไป๋อันหรานแม้จะได้ยินเสียงแต่ก็ไม่ได้หันมอง ไม่ได้ขยับ ไม่ได้ตอบ เหมือนโลกของนางเหลือเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองท้องน้ำและฟังเสียงสายน้ำที่ไหลเหมือนกำลังเรียกนางลงไป
ร่างสูงรีบย่างกายเข้าไปใกล้จนแทบล้ม เขายื่นมือออกไปอย่างหวาดหวั่น
“อันหราน! มองพี่! มองพี่สิ!” เสียงเขาแตกพร่า “บอกให้มองข้าไง!!!”
หญิงสาวเพียงกระพริบตาช้า ๆ เหมือนรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น แต่เหมือนไม่มีแรงจะสนใจอีกต่อไป มือบางลูบท้องตัวเองอีกครั้งหนึ่ง… คราวนี้ช้ากว่าเดิม ราวกับกำลังบอกลาอะไรบางอย่าง
ม่อเหยียนรู้สึกได้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการจะทำอะไร หัวใจของเขาพลันดิ่งวูบ ความหวาดกลัวจู่โจมจนแทบหายใจไม่ออก
“อันหรานเจ้าต้องการอะไร บอกพี่สิ”
เสียงเขาแผ่วลง แต่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนอย่างที่สุด
“ขอร้อง…อย่าทำแบบนี้”
หญิงสาวขยับริมฝีปากน้อย ๆ เสียงเบาแทบไม่ถึงหูเขา
“มู่หยาง…หากข้าตายท่านจะเสียใจใช่หรือไม่”
คำถามนั้นทำให้ม่อเหยียนเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางอก เขากำมือแน่นจนสั่นก่อนจะตะโกนกลับไปราวกับสิ่งเดียวที่จะรั้งชีวิตนางไว้ได้คือความโกรธ
“ถ้าอยากตายนักก็ตายไปคนเดียว!!!” เสียงเขาดังก้องสะท้อนสะพาน “แต่อย่าเอาชีวิตหลานของข้าไปด้วย!!!”
อันหรานนิ่งทว่าแววตาเริ่มไหววูบ ม่อเหยียนเห็นเช่นนั้นจึงพูดต่อ น้ำเสียงของเขาเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ไอ้สวะนั่นมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ!!! สำคัญถึงขนาดที่เจ้าต้องเอาชีวิตของตัวเองกับลูกมาแลกหรือไง!!!”
หญิงสาวน้ำตาไหลอย่างหมดสิ้นความหวัง
“ข้าไม่เหลือใครแล้ว มู่หยางเขาคือทุกอย่างของข้า”
“หรานเอ๋อร์…เจ้าไม่เหลือใครหรือ?” ม่อเหยียนพูดเสียงสั่น เขาก้าวเข้าไปอีกครึ่งก้าวอย่างระแวดระวัง
“ดูรอบตัวสิเจ้ามีข้า ข้าอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงเขาแทบขาดใจ “ไหนจะลูกในท้องของเจ้าที่รอพบหน้าเจ้า หรานเอ๋อร์พวกเราต่างต้องการเจ้า”
อันหรานไม่ตอบแต่ริมฝีปากนางสั่น ไหล่สั่น แววตาที่ร้าวลึกเหมือนกำลังแตกสลายเป็นผุยผง
ม่อเหยียนรวบรวมลมหายใจอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วลง
“หรานเอ๋อร์ ไอ้สวะนั่นมันคุ้มค่าหรือ คุ้มค่าให้เจ้าและลูกแลกชีวิตจริง ๆ หรือ…”
หญิงสาวหันมามองเขาช้า ๆ แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความหวังสุดท้ายและความสิ้นหวังในคราวเดียวกัน
เป็นครั้งแรกที่ม่อเหยียนเห็นอันหรานในสภาพนี้ อันหรานที่เคยเข้มแข็ง กล้าพูด กล้าหัวเราะ วันนี้กลับดูเหมือนคนที่แตกสลายไม่เหลือแม้แต่ความหวัง
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้ชายหนุ่ม รอยยิ้มที่เจ็บยิ่งกว่าเสียงร้องไห้ใด ๆ
ม่อเหยียนใจหายวาบทันที เขาก้าวเข้าไปอีกนิด ยื่นมือออกไป
“อย่าโดดเลยนะ หรานเอ๋อร์เจ้าเชื่อฟังพี่เถอะ” เสียงเขาเริ่มสั่นไม่หยุด “เจ้ายังมีข้า ยังมีลูกของเจ้าอยู่ตรงนี้”
อันหรานหันหน้ากลับไปมองท้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงของนางเบาราวกับสายลมพัดผ่าน แต่ม่อเหยียนกลับได้ยินอย่างชัดเจน
“มีท่านแล้วอย่างไร คนที่ข้าต้องการคือมู่หยาง ไม่ใช่ท่าน…”
น้ำตานางไหลลงอาบแก้มไม่หยุด
“หากข้าตายแล้วเขาจะเสียใจเพื่อข้า เช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้ว…”
“อันหราน อย่า!!!”
ตู๊ม!!!!!
เสียงร่างนางกระแทกผิวน้ำดังสนั่น ฝุ่นน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ราวกับเสียงสุดท้ายที่ฉีกหัวใจของม่อเหยียนให้แหลกเป็นชิ้น ๆ
เขากรีดร้องสุดเสียง วิ่งถลาไปยังขอบสะพานแล้วกระโจนตามลงไปทันที เสียงของเขาพร้อมคำเรียกชื่อของนางดังสะท้อน ไปทั่วลำน้ำเย็นยะเยือกในยามค่ำ
“อันหราน!!!”
