บทที่ 5 สามีตายแล้ว
“ฉันกับไอริณเป็นเพื่อนรักกันนะ นี่ก็ใกล้จะครบรอบ 3 ปีที่สามีเธอเสียแล้ว เธอจะไปมีอารมณ์ทำงานได้ยังไง”
พูดจบ จิณณ์ก็ยิ่งรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเพื่อนสนิท
เธอมองนิคส์แล้วแค่นเบาๆ “ไอริณของพวกเราเป็นคนรักพวกพ้องและมีคุณธรรม ไม่เหมือนผู้ชายบางคนที่โลเลหลายใจ มีของดีอยู่ในมือแล้วยังจะมองหาของใหม่”
คำพูดนี้จงใจเสียดสีอย่างเห็นได้ชัด จนแอนน์ที่อยู่ข้างๆ ก็ยังสังเกตเห็นความผิดปกติ
เธอรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าราวกับรู้จักกับนิคส์มานานแล้ว
แอนน์ไม่อยากให้ทั้งสองคนคุยกันต่อ จึงดึงแขนเสื้อของนิคส์แล้วถามเสียงเบา “พี่นิคส์คะ คุณรู้จักกับผู้หญิงคนนี้เหรอคะ”
ยังไม่ทันที่นิคส์จะตอบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดิบพอดี
เขามองโทรศัพท์แวบหนึ่งแล้วเดินออกไปทันที
ในสตูดิโอจึงเหลือเพียงจิณณ์กับแอนน์สองคน
เมื่อเห็นว่านิคส์ไม่อยู่ แอนน์ก็เก็บท่าทีสาวน้อยอ่อนแอ แล้วจ้องจิณณ์เขม็ง “เธอมีความสัมพันธ์อะไรกับพี่นิคส์”
“เมื่อกี้ฉันก็พูดไปแล้วนี่ว่าฉันกับพี่นิคส์กำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้า เธออย่าได้คิดอะไรที่ไม่ควรคิดจะดีกว่า เขาไม่ใช่คนที่เธอจะอาจเอื้อมได้”
จิณณ์ถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโมโห พลางวางมือลงบนชั้นวางของข้างๆ “นี่เธอเป็นโรคหวาดระแวงว่าจะมีคนมาทำร้ายรึไง ผู้ชายขยะแบบนี้ก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่เห็นเป็นของมีค่า”
“เธอกับนิคส์นี่มันคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ คนหนึ่งหน้าไม่อาย อีกคนหน้าด้านหน้าทน น่าจะล็อคกันไว้เลยนะ อย่าออกมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก”
...
หลังจากระบายอารมณ์ออกมาอย่างยาวนาน ความอัดอั้นในใจของจิณณ์ก็คลายลง
พอมองไปที่แอนน์อีกครั้ง ก็รู้สึกสบายตาขึ้นเยอะ
แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเพื่อนอยู่ดี
แอนน์โดนด่าจนอึ้งไปหมด ชี้หน้าจิณณ์แล้วพูดว่า “เธอ...”
เธอพูดคำว่า “เธอ” อยู่นาน แต่ก็พูดอะไรต่อไม่ออก
นิคส์ที่อยู่ข้างนอกเดินเข้ามา พอเห็นเขาเท่านั้นแหละ ขอบตาของแอนน์ก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
คิ้วของนิคส์กระตุก เขามองคนทั้งสองแวบหนึ่ง “เป็นอะไรไป”
กลับเป็นจิณณ์ที่ดูอารมณ์ดีผิดปกติ
“พี่นิคส์คะ หนูแค่คุยกับเขาสองสามคำ เขาก็ด่าหนูไม่หยุดเลย...”
แอนน์อยากจะพูดซ้ำ แต่คำพูดเหล่านั้นเธอพูดออกมาไม่ได้จริงๆ สุดท้ายจึงได้แต่ยอมแพ้
“พี่นิคส์คะ ท่าทีของเธอไม่ดีเลย เปลี่ยนคนให้หนูได้ไหมคะ”
“ดีเลยสิ พอดีฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าเธอเหมือนกัน” จิณณ์แสดงความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง เดินไปที่ห้องทำงานแล้วเรียกพิมพ์ออกมา
“เธอออกไปแนะนำให้พวกเขาทีนะ ถ้าพวกเขาอยากเจอไอริณ ก็บอกไปว่าสามีไอริณเพิ่งเสียเลยไม่มีอารมณ์รับงาน”
พิมพ์ได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองนารา ทำงานที่นี่มานานขนาดนี้ เธอย่อมรู้ดีว่าไอริณก็คือนารานั่นเอง
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของพิมพ์ นาราก็พยักหน้า “ไปเถอะ พูดไปตามนั้นเลย ไม่ต้องบอกตัวตนของฉันให้พวกเขารู้”
หลังจากเห็นพิมพ์เดินออกไป จิณณ์ก็นั่งลงอย่างหัวเสีย
ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
นาราเห็นท่าทางนั้นก็รู้สึกขำ “เธอจะโกรธขนาดนั้นทำไม”
เมื่อเห็นท่าทีไม่ยี่หระของเพื่อน จิณณ์ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนใจ ท่าทางเหมือนอยากจะดุแต่ก็ทำไม่ลง ยื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากของเธอเบาๆ
ข้างนอก พิมพ์กำลังใช้สมองอย่างหนักเพื่อรับมือกับแอนน์
“เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณบอกราคามาเลย ต้องทำยังไงไอริณถึงจะยอมลงมือทำด้วยตัวเอง”
เมื่อเห็นว่าพูดไปก็ไม่เป็นผล นิคส์จึงตัดสินใจใช้พลังแห่งเงินตรา
นาราที่อยู่ในห้องได้ยินราคาที่พุ่งสูงไปถึงสามสิบล้าน
หัวใจก็สั่นไหวอย่างรุนแรง! นี่มันสามสิบล้านเลยนะ!
พิมพ์ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง
จิณณ์เดินออกไป “ไม่ต้องพูดแล้ว ไอริณไม่ตกลงหรอก พวกคุณรีบกลับไปได้แล้ว”
แค่เห็นหน้าพวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นลางร้ายแล้ว
“ห้าสิบล้าน”
จิณณ์เบิกตากว้าง บอกตามตรงว่าราคานี้เธอก็ใจสั่นเหมือนกัน
แต่เธอเป็นคนมีหลักการ เงินแค่นี้เทียบไม่ได้กับเพื่อนรักของเธอแน่นอน
คำปฏิเสธกำลังจะหลุดออกจากปาก ก็เห็นนาราเดินออกมาพอดี
“ดีลนี้ไอริณรับค่ะ พิมพ์ เธอบอกเลขบัญชีของสตูดิโอให้คุณนิคส์ไป” นาราเดินมาอยู่ข้างๆ จิณณ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนารา ทำให้ทั้งจิณณ์และนิคส์ประหลาดใจอย่างมาก
โดยเฉพาะนิคส์ เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เจอนาราที่นี่
“คุณตัดสินใจแทนไอริณได้เหรอ” นิคส์ขมวดคิ้วถาม เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อคำพูดของนารา
เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ คือไอริณที่พวกเขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะได้พบ
นาราพยักหน้า “แน่นอนค่ะ แค่คุณโอนเงินมาก็พอ”
เมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว นิคส์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยอีกต่อไป หลังจากจดเลขบัญชีแล้วก็พาแอนน์จากไป
แอนน์ที่สมหวังแล้ว ตอนจากไปก็มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า
หลังจากส่งคนทั้งสองกลับไปแล้ว จิณณ์ก็มองนาราอย่างไม่พอใจ “เธอไปรับปากพวกเขาทำไม”
เมื่อเห็นจิณณ์ที่กำลังโมโห นาราก็ยิ้มออกมาแล้วจูงมือเธอเข้าไปข้างใน
“นี่มันห้าสิบล้านเลยนะ ไม่เอาก็บ้าแล้ว”
“มีเงินให้หาแล้วไม่หา นี่มันโง่ชัดๆ”
งานออกแบบของไอริณแพงมากจริงๆ แต่ชุดแต่งงานชุดเดียวราคาห้าสิบล้านก็ถือเป็นครั้งแรก
“แต่ว่า...” จิณณ์ยังอยากจะพูดอะไรต่อ เธอก็แค่รู้สึกเจ็บใจแทนนาราเท่านั้น
รอยยิ้มในแววตาของนาราจางลง “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็จะหย่ากันอยู่แล้ว ถือซะว่าเป็นค่าชดเชยการหย่าที่นิคส์ให้ฉันก็แล้วกัน”
“เอาล่ะน่า อีกอย่างวันนี้เธอก็ช่วยระบายแค้นให้ฉันแล้วไม่ใช่เหรอ”
เธอยื่นมือไปหยิกแก้มของจิณณ์เบาๆ พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มออกมาถึงจะพอใจ
“เธอจะปิดบังตัวตนแบบนี้ต่อไปเหรอ” จิณณ์สงสัยอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอไม่บอกตัวตนกับนิคส์ไปตรงๆ
“จะหย่ากันอยู่แล้ว ถึงนิคส์จะรู้หรือไม่รู้แล้วมันจะยังไงล่ะ ตอนนี้แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ฉันแค่อยากจะบริหารสตูดิโอนี้กับเธอให้ดีก็พอ”
เธอเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าตอนแรกปิดบังไปทำไม เหมือนกับว่าเธอไม่เคยปิดบังอะไรจากนิคส์เลย
เพียงแต่เขาไม่เคยใส่ใจเธอเลยสักนิด เลยไม่เคยสังเกตเห็นเรื่องพวกนี้
หลายต่อหลายครั้ง แค่นิคส์ก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว เขาก็จะจำตัวตนของเธอได้แล้ว
แต่ทุกครั้ง นิคส์ก็จะหยุดอยู่ตรงนั้น
ตอนนี้เขารู้หรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“อีกสองสามวันให้พิมพ์นัดคนมาวัดตัวแล้วกันนะ ถึงตอนนั้นฉันไม่ออกไปเจอแล้ว”
จิณณ์รับคำ “วางใจได้เลย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้พิมพ์จัดการก็พอแล้ว”
“คืนนี้มีงานเลี้ยง ฉันใช้เส้นสายหาบัตรเชิญมาได้สองใบ พี่สาวจะพาเธอไปเปิดหูเปิดตา เผื่อจะได้งานมาสักงานสองงาน”
จิณณ์หยิบบัตรเชิญออกจากกระเป๋า แล้วยื่นใบหนึ่งให้กับนารา
เมื่อราตรีมาเยือน นาราและจิณณ์ก็ปรากฏตัวในงานเลี้ยง
คืนนี้นาราสวมชุดเดรสยาวรัดรูปสีดำ ขับเน้นให้เห็นเอวที่เพรียวบาง
ส่วนจิณณ์ที่อยู่ข้างๆ สวมชุดเดรสสั้นเปิดไหล่ โชว์เรียวขาสวยจนไม่อาจละสายตาได้
เมื่อทั้งสองปรากฏตัวที่นี่ ก็ดึงดูดสายตาของคนส่วนใหญ่ได้ทันที
จิณณ์มองไปรอบๆ “นารา เธอเห็นนั่นไหม ใช่พี่นิคส์รึเปล่า”
เธอทอดสายตาตามที่จิณณ์ชี้ไป ก็เป็นเขาจริงๆ
