บทที่ 3 การตัดสินใจ

กรณ์สะบัดเช็คในมือ สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

ฉันมองเขาอย่างเฉยเมย แต่ในใจกลับเจ็บแปลบราวกับมีเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทง

ในพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัย กรณ์เป็นบัณฑิตดีเด่นที่ได้รับทุนการศึกษาแห่งชาติ ตอนที่เขาขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะตัวแทนบัณฑิต เขาได้ประกาศว่าฉันเป็นแฟนของเขา และขอฉันแต่งงานต่อหน้าคนทั้งมหาวิทยาลัยหลายหมื่นคน

ในตอนนั้น เขาเป็นประธานบริษัทหนุ่มที่อนาคตไกล เขาก่อตั้งบริษัทของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถึงแม้จะสร้างตัวขึ้นมาจากศูนย์และไม่มีอะไรเลย แต่อนาคตของเขาก็สดใสไร้ขีดจำกัด

ส่วนฉันเพิ่งจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระดูก แม้แต่การได้เห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ก็ยังเป็นความหวังที่เลื่อนลอย

ฉันไม่สงสัยเลยว่าถ้าฉันสารภาพกับกรณ์ตามตรง เขาจะทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อรักษาฉัน โดยไม่มีคำบ่นแม้แต่คำเดียว

แต่ถ้าเป็นแบบนั้น อนาคตของเขาก็จะพังทลายลงทั้งหมด

ฉันรู้ว่าการรักษาต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และสิ่งที่กรณ์ขาดแคลนที่สุดในตอนนั้นก็คือเงิน

ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเขา

คนที่ต้องจมดิ่งอยู่ในความมืดมิดเพียงลำพัง มีแค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว

ฉันปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขา แล้วเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ

แต่ทุกคนกลับเข้าใจว่าฉันดูถูกเขาที่เป็นแค่เด็กหนุ่มจนๆ ดังนั้นจึงรังเกียจความจนแล้วไล่ตามความรวย โดยการตามลูกเศรษฐีไปต่างประเทศ

แม้แต่กรณ์เองก็คิดว่า ความรักที่จริงใจทั้งหมดที่เขามอบให้ กลับแลกมาได้เพียงฟองสบู่ที่อยู่ได้แค่ในหอคอยงาช้าง

ฉันคือคนเนรคุณที่เห็นแก่เงินและไม่สามารถอยู่เคียงข้างเขาในยามลำบากได้

ดังนั้นหลังจากกลับมาถึงประเทศ เขาจึงโยนเงินห้าล้านให้ฉัน เพื่อให้ฉันแต่งงานกับเขา

ตอนนั้นอาการป่วยของฉันกำเริบ ค่ารักษาก็แพงมาก เพื่อที่จะได้รักษาตัว ฉันจึงรับเงินห้าล้านที่เหมือนค่าขายตัวนั้นมา และทนรับการดูถูกเหยียดหยามจากเขาทุกวัน

แต่ตอนนี้ เพียงเพื่อให้ฉันพูดขอโทษขวัญจิราแค่คำเดียว เขาก็โยนเช็คมูลค่าสิบล้านมาให้ง่ายๆ

ในสายตาของกรณ์ หน้าตาของขวัญจิรามีค่ามากกว่าชีวิตของฉันเสียอีก

ความเจ็บปวดที่หน้าอกแผ่ซ่านไปทั่ว ลึกลงไปถึงกระดูก

ฉันหัวเราะเยาะตัวเอง ใครๆ ก็บอกว่ามะเร็งกระดูกเป็นโรคที่เจ็บปวดที่สุดในโลก แต่ที่แท้เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดใจแล้ว มันเทียบกันไม่ได้เลย

ผู้คนรอบข้างเริ่มมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่พวกเขามองมาที่ฉันมีแต่ความดูแคลนหรือไม่ก็รังเกียจ

มีอยู่แวบหนึ่ง ฉันถึงกับคิดที่จะรับเช็คสิบล้านใบนั้นไว้

การรักษาหลังจากนี้ยังต้องใช้เงินอีกมาก เงินหนึ่งแสนบาทไม่พออย่างแน่นอน

ถ้ามีเงินสิบล้านนี้ อย่างน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลอีกต่อไป

กรณ์ก็แค่อยากจะทำให้ฉันอับอายไม่ใช่หรือไง

บางทีในใจของเขา ความอัปยศอดสูเช่นนี้ เมื่อเทียบกับความอัปยศที่ถูกฉันปฏิเสธการแต่งงานต่อหน้าผู้คนนับหมื่นในตอนนั้น คงเทียบกันไม่ได้เลย

ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ขวัญจิราเห็นท่าทีของฉัน มุมปากของเธอก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย

ในขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากพูด ก็มีเสียงทุ้มที่สุขุมเยือกเย็นดังมาจากทางประตู “แผลน้ำร้อนลวก อันดับแรกต้องล้างด้วยน้ำสะอาดที่ไหลผ่าน การประคบน้ำแข็งแบบนี้ไม่ค่อยได้ผล และจะทำให้เป็นแผลเป็นได้ง่าย ผมเป็นหมอจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ไม่โกหกคุณหรอกครับ”

ฉันมองไปทางคนคนนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่รีดเรียบกริบไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย คู่กับกางเกงสแล็คสีดำ ทำให้ทั้งตัวเขาดูสะอาดสะอ้านและอ่อนโยน

“ในเมื่อคุณผู้ชายเป็นห่วงคุณผู้หญิงคนนี้มากขนาดนี้ ก็รีบพาเธอไปโรงพยาบาลเถอะครับ”

พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น คนรอบข้างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน

“นั่นสิ รีบไปโรงพยาบาลเถอะ ฟังที่หมอเขาพูด อย่าให้เสียเวลาเลย”

“ใช่ๆ ดูแล้วก็ไม่ได้โดนลวกหนักหนาอะไรนี่นา ยังจะมารบเร้าให้เขาขอโทษอีก”

กรณ์มองฉันอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะอุ้มขวัญจิราขึ้นในท่าเจ้าสาวแล้วเดินออกจากร้านอาหารไป

พอพวกเขาสองคนเดินออกไป ผู้คนก็ค่อยๆ สลายตัวไป

ฉันยิ้มให้กับชายคนที่ช่วยฉันแก้สถานการณ์เมื่อสักครู่ “ขอบคุณนะคะ ไม่ทราบว่าคุณคือหมอภาคินหรือเปล่าคะ”

ภาคินพยักหน้า “ใช่ครับ ผมเอง เรื่องของคุณหมอดารินทร์เล่าให้ผมฟังแล้วครับ”

ฉันชะงักไป “คุณรู้ได้ยังไงคะว่า...”

“หลายปีมานี้ผมศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้มาตลอด เจอมาเยอะ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วครับ” ภาคินชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง หลังกรอบแว่นโลหะ ดวงตาคู่นั้นราวกับมีความเฉียบคมที่มองทะลุได้ทุกสิ่ง

ฉันฝืนยิ้มออกมา ในใจพลันหนักอึ้ง “ดูท่าว่าอาการของฉันคงจะหนักมากแล้วสินะคะ”

ภาคินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถ้าอยากจะรักษาโรคให้หาย อย่างแรกเลยคือต้องยอมรับและเผชิญหน้ากับโรคของตัวเองให้ได้ก่อนครับ”

“ปรับสภาพจิตใจให้ดี ที่ศูนย์วิจัยของเราก็มีเคสที่รักษาจนหายขาดสำเร็จอยู่มากมายครับ”

เขามองนาฬิกาข้อมือ แล้วพูดอย่างสุภาพบุรุษว่า “ผมมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง จะขอแนะนำยาตัวใหม่ที่เรากำลังวิจัยอยู่ให้คุณฟังสั้นๆ นะครับ”

ฉันพยักหน้า

ภาคินมีความเป็นมืออาชีพมาก ท่าทีของเขาแฝงไปด้วยความเข้มงวดและจริงจังของนักวิจัย เขาอธิบายข้อดีและผลข้างเคียงของยามุ่งเป้าที่เพิ่งพัฒนานี้ให้ฉันฟัง และให้คำแนะนำบางอย่างตามอาการของฉัน

ในใจของฉันเริ่มมีแผนการ แต่ก็ยังลังเลอยู่บ้าง “หมอภาคินคะ ฉันพร้อมที่จะเริ่มการรักษาได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ว่า... ตอนนี้ฉันมีเงินในมือไม่มากนัก ไม่รู้ว่าจะสามารถรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลไหวหรือเปล่าค่ะ”

ภาคินขยับกรอบแว่น แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดช่วงแรกนั้นเพียงพอครับ แต่หลังจากนั้นยังต้องมีการรักษาด้วยยาในระยะยาว ซึ่งต้องเตรียมค่าใช้จ่ายไว้ล่วงหน้า”

“แต่ไม่เป็นไรครับ ศูนย์วิจัยของเรากำลังรับสมัครอาสาสมัครทดลองยาทางคลินิกอยู่พอดี ถ้าหากว่าคุณไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ ผมสามารถช่วยคุณยื่นเรื่องสมัครได้ครับ”

ฉันรีบกล่าวขอบคุณ

ยาที่มาถึงขั้นตอนการทดลองในมนุษย์ได้ โดยพื้นฐานแล้วถือว่าพัฒนาสำเร็จแล้ว และผลข้างเคียงจะไม่มากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น การเป็นผู้ทดลองยามีข้อกำหนดด้านดัชนีร่างกาย แม้แต่คนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็อาจจะไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ต้องพูดถึงคนป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างฉันเลย

หมอมีใจเมตตา บางทีหมอภาคินอาจจะสงสารฉัน ถึงได้ยอมยื่นมือเข้ามาช่วย

หลังจากตกลงกันว่าจะเริ่มเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ ฉันก็กล่าวลาหมอภาคินแล้วเดินทางกลับบ้าน

ตามที่หมอภาคินบอก การพักผ่อนและอารมณ์ที่ดีคือการรักษาที่ดีที่สุด

บทก่อนหน้า
บทถัดไป