ทุกอย่างเป็นโครงการ

มุมมองของเอฟลิน

เลือดของฉันเหรอ?

ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ พยายามสะกดกลั้นเสียงที่เกือบจะเล็ดลอดออกมา

ฉันจำเสียงนั้นได้ดีเกินไป

นั่นคือเสียงของลูคัส แม้ว่ามันจะต่างออกไป...เย็นชา เปี่ยมไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับว่าแค่การเอ่ยชื่อฉันก็ทำให้เขาขยะแขยงจนขนลุก

“ฉันเข้าใจ” นั่นคือเสียงของไลลา เธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

ได้ยังไง? พวกเขามาอยู่ด้วยกันได้ยังไง?

พวกเขาสองคนเหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันเข้ากันได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเขาไม่เคยลงรอยกันเลยเพราะลูคัสคิดว่าไลลาเป็นคนเอาแต่ใจและหยิ่งยโส เขาเคยบอกฉันว่าเขาจะไม่แต่งงานกับเธอเด็ดขาดแม้ว่าเธอจะเป็นนางหมาป่าคนสุดท้ายบนโลกก็ตาม

เธอพูดต่อ “ฉันรู้ว่าคุณต้องการเลือดของยัยนั่นเพื่อทำลายคำสาป แต่ฉันจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน? ต้องใช้ผู้ชายของฉันร่วมกับโอเมก้าชั้นต่ำคนนั้นน่ะเหรอ?”

โอเมก้าชั้นต่ำ? หมายถึงฉันเหรอ? ให้ตายสิ ไลลากับฉันเป็นเหมือนพี่น้องกันแท้ๆ

“นักบวชหญิงบอกว่าอีกไม่นานเธอก็จะได้ร่างหมาป่าแล้ว... เพราะงั้นเรารอกันอีกหน่อยเถอะนะ” ลูคัสเกลี้ยกล่อมเธอ “การต้องใช้เวลากับเธอมันก็ลำบากสำหรับฉันเหมือนกัน ที่รัก คุณเป็นคู่แท้ของผมนะ และผมควรจะได้อยู่กับคุณตลอดเวลา”

ลูคัสกับไลลาเป็นคู่แท้กันงั้นเหรอ?

แล้วทุกอย่างก็เงียบลง

ฉันยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลอาบแก้มขณะที่ฉันฟังผู้ชายที่ฉันรักมาทั้งชีวิตกำลังกล่าวร้ายฉัน คำพูดของเขาเมื่อเช้านี้ดังก้องอยู่ในหัวของฉัน

อกฉันบีบแน่นขณะครุ่นคิดว่าฉันควรจะเข้าไปข้างในดีหรือไม่หลังจากที่ได้ยินทุกอย่างแล้ว ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอสะอื้นออกมาตอนไหน

“นั่นใครน่ะ?” ไลลาถาม

ฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิม เริ่มตื่นตระหนก พวกเขาต้องไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ สายตาของฉันกวาดไปทั่วโถงทางเดิน มองหาที่ซ่อน แต่กลับไม่มีเลย

“เอฟลิน?” ลูคัสพูด “จะว่าไป ผมก็ได้กลิ่นของเธอนะ” เขาเริ่มเดินตรงมาที่ประตู

ฉันวิ่งไปทางออก แต่ก่อนที่ฉันจะหนีพ้น เสียงเฉียบขาดของลูคัสก็ดังแทรกอากาศมาจากข้างหลัง

“เอฟลิน!”

ฉันหันกลับไปมองแวบหนึ่ง สายตาของเราสบเข้ากับดวงตาที่เย็นชาและห่างเหินของเขา ชั่วขณะหนึ่ง เขาดูเหมือนคนแปลกหน้า

ฉันไม่รอช้า ฉันวิ่งลงบันได ออกจากโรงแรม ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน ฉันไม่มีที่อื่นให้ไป แต่ฉันต้องหนีไปให้พ้น จากทั้งหมดนี้

ฉันไม่ได้เอารถมาด้วย ฉันคงขับรถไม่ไหวแน่ ฉันยังคงหอบหายใจทั้งที่น้ำตาและน้ำมูกไหลเปรอะเปื้อนใบหน้า เดินไปตามทางหลวงที่มืดมิดและว่างเปล่า

และกว่าจะรู้ตัวว่าเดินมาไกลแค่ไหน ก็ตอนที่มาถึงสะพานโค้งโหยหวนแล้ว

สะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ มากมาย...ที่นี่คือที่ที่ฉันได้เจอกับลูคัสเป็นครั้งแรก ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคืออัลฟ่า เพราะฉันเอาแต่อยู่แต่ในบ้านตลอด จากนั้นอีกสามเดือนต่อมา เขาก็พาฉันกลับมาที่นี่เพื่อขอฉันแต่งงาน

ฉันนั่งลงบนขอบอิฐ จ้องมองไปยังความว่างเปล่า

พอมาคิดดูแล้ว ฉันก็สงสัยมาตลอดว่าทำไมเขาถึงแต่งงานกับฉัน ทั้งๆ ที่มีนางหมาป่าที่ทั้งสวยและทรงพลังอีกนับไม่ถ้วนในประเทศนี้ ฉันคิดมาตลอดว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป เราแทบจะไม่ได้คบหากันเลยก่อนที่เขาจะขอแต่งงาน และฉันก็โง่มากที่ตอบตกลงไป เพราะฉันสิ้นหวังเหลือเกินที่จะหนีจากการทารุณของเอลาร่า ฉันโหยหาที่จะได้รักและถูกรักมากเกินไป

นั่นมันเป็นเรื่องที่ขอมากเกินไปเหรอ?

แต่... ฉันนึกว่าเขารักฉัน? ที่ผ่านมามันมีอะไรจริงบ้างไหม? หรือว่าฉันเป็นแค่เครื่องมือในแผนการของพวกเขามาโดยตลอด?

ฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าพกโทรศัพท์ติดมาด้วยจนกระทั่งมันส่งเสียงเตือนขึ้นมา ฉันเหลือบมองมันและเห็นว่าเป็นสายจากลูคัส

ฉันไม่ได้รับสาย

เขาโทรมาอีกครั้ง แต่ฉันก็ยังทำใจรับสายไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง

แล้วเขาก็ส่งข้อความมา

‘คุณอยู่ที่ไหน เอฟลิน? ให้ผมไปหาแล้วอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังนะ’

อธิบายอะไรกันแน่? ฉันได้ยินมามากพอแล้วไม่ใช่เหรอ?

แต่แล้วส่วนหนึ่งในใจที่ยังคงรักเขาและหวังว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องโกหก ก็ผลักดันให้ฉันพิมพ์ข้อความตอบกลับไป

‘ฉันอยู่ที่สะพาน...ที่ที่เราเจอกันครั้งแรก’

ฉันซบหน้าลงกับตัก พยายามอย่างหนักที่จะหยุดน้ำตาของตัวเอง

ไม่กี่นาทีต่อมา ฉันได้ยินเสียงรถเบรกดังเอี๊ยดจนหยุดนิ่งตรงหน้า ฉันเงยหน้าขึ้น และนั่นคือลูคัส เบนซ์

ประตูหน้าเปิดผางออก ลูคัสก้าวลงมาจากที่นั่งคนขับ ตามด้วยไลลาจากที่นั่งข้างคนขับ

ฉันผุดลุกขึ้นยืน ความโกรธแค้นแล่นพล่านไปทั่วร่าง พวกเขายังกล้าหน้าด้านโผล่มาที่นี่ด้วยกันอีกเหรอ

ไลลายกยิ้มอย่างร้ายกาจและเปี่ยมด้วยชัยชนะ ราวกับว่าเธอกำลังเพลิดเพลินกับทุกเศษเสี้ยวความพังพินาศของฉัน

ลูคัสไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย “เธอได้ยินหมดแล้วสินะ” เขาถาม น้ำเสียงเรียบเฉยราวกับแค่กำลังสั่งกาแฟ

ฉันก้าวไปข้างหน้า กำหมัดแน่น “ไอ้สารเลว!” ฉันคำราม “ฉันรักแก ฉันไว้ใจแก ฉันคิดว่าแกรัก... แต่ทั้งหมดเป็นเพราะแกต้องการเลือดของฉันไปทำลายคำสาปบ้าๆ นั่น”

“อย่าโทษลูคัสเลย เพื่อนรัก เธอมันก็แค่โง่พอที่จะเชื่อว่าผู้ชายอย่างเขาจะมารักมาสนใจอะไรในตัวเธอ” หล่อนเย้ยหยัน “เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว”

ฉันอ้าปากจะพูดแต่ไม่มีคำใดหลุดออกมา ใช่ ฉันยอมรับ ฉันมันโง่

“ไม่เคยสงสัยบ้างเหรอว่าทำไมฉันถึงไม่มาร์กเธอ” เขาถามขึ้นมาทันที

ฉันกลืนก้อนสะอื้นลงคอ “นายไม่ได้มาร์กฉันเพราะคิดว่าฉันอาจจะอ่อนแอเกินไปที่จะทนรับรอยของนายได้” ฉันพูดเรียบๆ

เขาแค่นเสียงราวกับว่าฉันเป็นเรื่องตลกที่เขาไม่เข้าใจ “เธอช่างโง่เขลาที่เชื่อแบบนั้น เอเวอลิน” เขาเย้ยหยัน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ “ฉันไม่มาร์กเธอก็เพื่อที่เธอจะได้ไม่มีสายใยเชื่อมโยงใดๆ กับฉัน เธอจะไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำแม้ว่าฉันกำลังร่วมรักกับไลลาอยู่”

จริงด้วย นั่นอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงนอกใจฉันได้ซึ่งๆ หน้า ฉันคิดมาตลอดว่าเขาไม่มาร์กฉันเพราะเขาเป็นห่วงฉัน

ฉันเม้มปากแน่นก่อนจะถามคำถามเดียวที่อยู่ในใจ “นาย... เคยรักฉันบ้างไหม” ฉันถาม เสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวด “ตลอดสามปีที่เราอยู่ด้วยกัน... นายเคยรู้สึกอะไรกับฉันบ้างไหม”

“ไม่!” เขาตวาดกลับโดยไม่คิดซ้ำสอง “ไม่เคย!” เขาพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องน่าขยะแขยง

ฉันคาดเดาคำตอบของเขาไว้อยู่แล้ว แต่มันก็ยังกรีดลึกลงไปในใจเกินกว่าที่ฉันจะยอมรับได้

เขาพูดต่อ “ในเชื้อสายของฉัน พวกเราถูกสาปให้ตายก่อนอายุสี่สิบปี ดังนั้นฉันจึงได้รับคำบอกเล่าว่าสายเลือดที่หายากของเธอจะช่วยรักษาคำสาปได้”

แล้วเขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ “ทีนี้... เธอจะต้องทำตัวโง่ๆ เป็นครั้งสุดท้ายด้วยการตามฉันไปที่วัง ฉันจะใส่ร้ายว่าเธอทำผิด เพื่อที่จะขังเธอไว้ในคุกใต้ดินจนถึงวันที่เธอได้รับหมาป่าของเธอและทำพิธีกรรมชำระล้าง”

หัวใจฉันเต้นระรัว “ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น” ฉันถ่มคำพูดใส่หน้า

เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากพวกเขาทั้งสอง—เป็นเสียงที่แหลมคมและเยาะเย้ย—ตัดผ่านความเงียบสงัดของยามค่ำคืน

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาให้ถกเถียงกันนะ อีวี่”

ชื่อเล่นนั้นเคยทำให้ฉันใจละลาย แต่ตอนนี้มันทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงจนขนลุก ฉันก้าวถอยหลังอย่างสั่นเทา พยายามจะหนี

ก่อนที่ฉันจะทันได้ประมวลผล ลูคัสก็สาวเท้าเข้ามาประชิดตัวและคว้าข้อมือฉันไว้

“ปล่อยฉันนะ!” ฉันตวาด พลางกระชากแขนกลับ เท้าของฉันไถลไปบนพื้นหินเบื้องล่าง

เรายังคงอยู่บนสะพานโค้งโหยหวน และขอบสะพานก็อยู่ใกล้เกินไป—แค่ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวฉันก็จะร่วงลงไป

“บอกให้ปล่อยไง!” ฉันบิดตัว เล็บจิกลงไปในแขนของเขา หัวใจเต้นรัวเป็นกลอง

แรงบีบของเขามีแต่จะแน่นขึ้น “เลิกดิ้นรนได้แล้ว อีวี่ เธอต้องไปกับเรา”

“ไม่ ฉันไม่ไป!” เสียงของฉันแตกพร่า “พวกแกเอาทุกอย่างไปจากฉันหมดแล้ว!”

ด้านหลังเขา ไลลากอดอกและยิ้มราวกับกำลังชมการแสดง “เธอนี่มันดราม่าเก่งเสมอเลยนะ”

ลูคัสกระชากฉันไปข้างหน้าอีกครั้ง ส้นเท้าของฉันสะดุดเข้ากับขอบสะพานที่ไม่เรียบ

ฉันเซถอยหลัง

เบื้องหลังฉันไม่มีอะไรเลย มีเพียงความว่างเปล่า

ฉันเห็นใบหน้าของเขา—ใบหน้าเดียวกับที่จูบฉันเมื่อเช้านี้—บิดเบี้ยวด้วยความเย็นชาไร้ความรู้สึก

ไลลาไม่ขยับ เธอเพียงแค่แสยะยิ้ม

แล้วฉันก็ร่วงหล่นลงไป

สายลมคำรามอยู่รอบตัวฉันขณะที่โลกร่วงหายไปจากใต้ฝ่าเท้า ท้องฟ้าหมุนคว้างอยู่เบื้องบน ดวงดาวกระพริบพราวราวกับดวงตาที่อยู่ห่างไกล

แล้วฉันก็เห็นมัน—โขดหินแหลมคมรออยู่เบื้องล่าง คมกริบ ไร้ความปรานี

ร่างของฉันกระแทกเข้ากับมันอย่างแรง

ความเจ็บปวด ความมืดมิด ความว่างเปล่า

บทก่อนหน้า
บทถัดไป