เกิดใหม่

กริ๊ง กริ๊ง

เสียงนาฬิกาปลุกแหลมบาดหู ดังก้องไปทั่วห้อง ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวของหลอดไฟ

เพดานคือสิ่งแรกที่ฉันเห็น ดวงตาของฉันกวาดไปรอบๆ และเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ลมหายใจของฉันก็สะดุด อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ฉันสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วผุดลุกขึ้นนั่งทันที

อะไร. กัน. วะเนี่ย?

ฉันไม่ได้อยู่ใต้หน้าผา ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล ไม่ได้อยู่ในห้องเก็บศพ ฉันอยู่ในห้องนอนเก่าของตัวเองที่คฤหาสน์ดาร์กมัวร์ มันเกิดขึ้นได้ยังไง... ฉันนึกว่าตัวเองน่าจะตายไปแล้วจากแรงที่ร่างกระแทกกับโขดหินอย่างจัง... แต่ฉันก็ไม่ตาย

ฉันสำรวจร่างกายตัวเอง ไม่มีบาดแผลใดๆ นอกจากรอยแผลเป็นเก่าที่เอลาร่าเคยฝากไว้ ไม่มีเลือดไหลซึมออกมาจากที่ไหนเลย

อะไรวะเนี่ย...

ความคิดของฉันขาดห้วงไป เมื่อความจริงพุ่งเข้าใส่ราวกับค้อนปอนด์

นี่ฉัน... ได้เกิดใหม่เหรอ?

มันเป็นไปได้ยังไง? ฉันเคยอ่านเจอเรื่องแบบนี้ก็แค่ในนิยายแฟนตาซีบนแอมะซอน แต่มันกำลังเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ เนี่ยนะ?

เทวีจันทรา... หัวใจของฉันพองโตด้วยความซาบซึ้ง พระองค์มอบโอกาสครั้งที่สองในชีวิตให้แก่ฉัน น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่มันคือน้ำตาแห่งความปิติยินดี ในชีวิตนี้ ฉันจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก

ฉันจะไม่ตกหลุมรักอย่างโง่งม ฉันจะไม่ไว้ใจใครงมงาย และที่สำคัญที่สุด ฉันจะไม่ยอมตายง่ายๆ อีกแล้ว

ประตูเปิดผางออก และเอวา... ก็โผล่หน้าเข้ามาก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง เอวาคือน้องสาวบุญธรรมของฉัน... ลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลดาร์กมัวร์

“ไง... พี่สาว” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง พร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า และตอนนี้ ฉันมองทะลุความเสแสร้งนั้นได้หมดจด เธอมันร้ายกาจไม่ต่างจากแม่ของเธอเลย

ฉันเคยคิดว่าเธอห่วงใยฉัน แม้ว่าเอลาร่า แม่บุญธรรมของฉัน จะพยายามสร้างรอยร้าวระหว่างเรา

ตอนเราเด็กกว่านี้ เธอจะลงโทษฉันจากความผิดที่เอวาก่อ ถ้าเอวาทำตัวเองเจ็บ เธอก็จะโทษว่าเป็นความผิดของฉันที่ไม่ดูแลน้องให้ดี เธอจะลงโทษฉันด้วยการขังไว้ในห้อง ไม่ให้ข้าวไม่ให้น้ำเป็นวันๆ และฉันจะถูกปล่อยตัวก็ต่อเมื่อเดเมียน พ่อบุญธรรมของฉัน หรือเอวามาขอร้องแทน

มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอดีต จนฉันเคยคิดว่าเอวาจงใจทำตัวเองเจ็บเพื่อที่ฉันจะได้ถูกลงโทษ การทารุณกรรมนั้นเพิ่งจะหยุดลงก็ตอนที่ฉันแต่งงานออกไป และฉันก็ตั้งใจว่าจะอยู่ให้ห่างจากคนที่ไม่เคยเห็นฉันเป็นครอบครัว เว้นแต่จำเป็นต้องเจอหน้ากันจริงๆ

“พี่ยังอยู่นี่อีกเหรอ? ไลลาโทรมาบอกว่าโทรหาพี่ตั้งหลายสายแต่พี่ไม่รับ”

ฉันไม่ได้ตอบ ฉันกำผ้าห่มแน่น ความโกรธเดือดพล่านอยู่ข้างใน ยัยงูพิษนั่น!

“เธอบอกว่ารอพี่อยู่ที่ร้านชุดแต่งงานแล้วนะ”

ลมหายใจฉันสะดุด “ร้านชุดแต่งงาน?”

“ใช่ค่ะ... ไปลองชุดแต่งงานรอบสุดท้ายไง” แล้วเธอก็กรีดร้องอย่างมีความสุข “พี่สาวคนเก่งของฉันกำลังจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้ว”

แต่งงาน? พรุ่งนี้?

ฉันคว้าโทรศัพท์จากโต๊ะข้างเตียงแล้วเหลือบดูวันที่... มันคือวันก่อนวันแต่งงานของฉัน ใช่สิ ฉันตายในวันครบรอบแต่งงานปีที่สามของเรานี่นา

เธอเอียงคอลงเล็กน้อยแล้วโบกมือไปมา “พูดอะไรหน่อยสิคะพี่สาว พี่ทำตัวแปลกๆ นะ”

“พี่ไม่เป็นไร เอวา” ฉันตอบกลับไปได้แค่นั้น

“ยังไงก็... อย่าให้ไลลารอนานนะ” เธอยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

ทันทีที่ประตูปิดลงข้างหลังเธอ ฉันก็ถอนหายใจออกมา ฉันรู้ว่าต้องรีบลงมือ และสิ่งแรกที่ต้องทำคือยกเลิกงานแต่งงานบ้าๆ นี่ซะ

แต่... จะทำยังไงล่ะ?

แล้วลูคัสก็เคยพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสายเลือดหายากของฉัน

ตกลงแล้ว... ฉันเป็นใครกันแน่?


“คุณผู้หญิงสวยมากเลยค่ะ ไม่มีใครเหมาะที่จะสวมชุดดีไซน์นี้ได้เท่าคุณอีกแล้ว... ลูน่าแห่งฝูงฮอลโลว์แฟง”

เสียงหนึ่งดึงฉันออกจากภวังค์ความคิด ฉันเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นสไตลิสต์ที่ร้านชุดแต่งงาน

ลูน่างั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ... ไม่มีวันนั้นแน่นอน

ฉันจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกบานยาว และพูดตามตรงว่าฉันดูสวยมากจริงๆ งดงามราวกับนางฟ้า

“ฉันว่าชุดนี้สมบูรณ์แบบแล้วนะคะ?” เธอถาม

ไลลาเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วก้าวเข้ามาใกล้ “ใช่... เพอร์เฟกต์เลย” เธอยักคิ้วให้ฉัน “ลูคัสต้องตะลึงแน่ๆ ที่ได้เห็นว่าเจ้าสาวของเขาสวยขนาดไหน”

ฉันฝืนยิ้มให้เธอ ฉันพยายามเก็บอารมณ์มาตลอดทั้งเช้า แต่ตอนนี้มันเริ่มจะยากขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าคุณผู้หญิงโอเคแล้ว เราจะได้เก็บชุดเลยนะคะ”

มันเป็นสัญญาณให้ฉันไปถอดชุดแต่งงาน แต่แล้ว...

“เธอเคยเห็นงานแต่งงานที่ถูกยกเลิกไหมล่ะ?” ฉันกระซิบ พลางหันไปหาเธอแล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ “โดยเฉพาะงานแต่งของอัลฟ่าผู้ทรงอำนาจน่ะ?”

“ไม่...” เธอตอบ ดวงตาหรี่ลงด้วยความสับสน

“หึ... เธอกำลังจะได้เห็นแล้วล่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

“หา?” เธอสะดุ้ง

ฉันสาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ไปถึงตัวไลลา เธอยังไม่ทันสังเกตเห็นฉันเพราะมัวแต่ยิ้มและสนใจอยู่กับโทรศัพท์ในมือ พอโน้มตัวเข้าไปใกล้ หน้าจอก็แสดงรูปของลูคัส

ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นฉัน “มีอะไร เอเวอลิน” เธอตวาดพลางซ่อนโทรศัพท์ไว้ข้างหลัง “เธอจะมาบุกรุกความเป็นส่วนตัวของคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะ”

ฉันแค่นยิ้ม “นั่นลูคัสไม่ใช่เหรอ เมทของเธอน่ะ”

ฉันมองดูสีเลือดบนใบหน้าของเธอจางหายไป เธออึ้งจนพูดไม่ออกไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติได้

“เธอ...ตลกน่า เอเวอลิน” เธอพูดตะกุกตะกัก “ลูคัสจะเป็น...เมทของฉันได้ยังไง เขาเป็นว่าที่สามีของเธอนะ เธอป่วยเพราะเครียดเรื่องงานแต่งงานมากไปหรือเปล่า”

มือของเธอยื่นมาจะแตะหน้าผากฉัน แต่ฉันปัดมือเธอออก “เอามือสกปรกของเธอออกไปจากตัวฉัน”

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความไม่อยากเชื่อกับความตกใจสุดขีด ปากของเธออ้าค้าง

ฉันหันหลังกลับ สายตาพลันเหลือบไปเห็นปากกาบนโต๊ะใกล้ๆ ฉันคว้าปลายด้ามปากกาแล้วเกี่ยวเข้าไปในรูบนผ้าตาข่ายของชุดแต่งงาน จากนั้นก็ลากมันลงมาจนชุดขาดวิ่น

“คุณผู้หญิงคะ”

“เอเวอลิน”

สไตลิสต์กับไลลาประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน มือของพวกเธอยกขึ้นปิดปาก

“เธอทำอะไรของเธอ เอเวอลิน” เธอถาม น้ำเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ ขณะยืนอยู่ตรงหน้าฉัน “เธอจะบ้าไปแล้วหรือไง”

ฉันไม่ได้พูดอะไร ใช่... ธาตุแท้ของเธอกำลังเผยออกมาแล้ว

แล้วเธอก็ตั้งสติได้ “เอ่อ... ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ทำไมเธอถึงทำตัวแบบนี้”

“ไม่... เธอพูดถูก ฉันกำลังจะบ้า”

ฉันหัวเราะราวกับนางมารร้าย ทั้งที่ยังอยู่ในชุดแต่งงานที่ขาดรุ่งริ่ง ฉันคว้ากระเป๋าถือแล้วเริ่มเดินออกจากห้องไป

“เธอจะไปไหน เอเวอลิน” เธอตวาดเสียงแหลมด้วยความหงุดหงิด

ฉันหยุดเดินกลางคัน “ไปบอกเมทของเธอซะ ว่างานแต่งนี้ยกเลิกแล้ว” จากนั้นฉันก็เดินออกไป

“กลับมานี่นะ เอเวอลิน...”

เสียงร้อนรนของเธอค่อยๆ จางหายไปข้างหลังเมื่อฉันเข้าไปในรถ

ขณะที่ฉันสตาร์ทรถและขับออกสู่ทางหลวง ในหัวก็คิดวนเวียนว่าจะออกจากปัญหานี้ได้อย่างไร ลูคัสไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง... ฉันต้องการใครสักคนที่มีอำนาจทัดเทียมกับเขามาช่วยฉัน

ในอาณาจักรนี้... มีเพียงชายคนเดียวที่สามารถต่อกรกับเขาได้

ใช่ ฉันควรจะไปขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจะช่วยฉันไหม เขาจะยอมเจอฉันหรือเปล่า

แต่ว่านะ... ฉันไม่ควรยอมแพ้โดยไม่สู้สักตั้ง ฉันเหยียบคันเร่งและมุ่งหน้าไปยังแคว้นอุดร


“ให้ฉันเข้าพบอัลฟ่าเถอะค่ะ” ฉันพูดกับยามที่ประตูเมืองของแคว้นอุดรเป็นครั้งที่สิบ

น้ำเสียงของฉันสิ้นหวังและอ้อนวอน แต่พวกเขาก็ไม่ไหวติง แค่มองฉันเหมือนฉันเป็นหญิงบ้าคนหนึ่ง บางทีพวกเขาอาจจะยอมฟังฉันบ้าง ถ้าฉันแต่งตัวให้ดีกว่านี้

“ไปซะ” ยามร่างสูงที่มีแผลเป็นน่าเกลียดตวาด “ไม่งั้นข้าจะจับเจ้าโยนเข้าคุกใต้ดิน”

หัวใจฉันเต้นระรัวด้วยความกลัว คุกใต้ดินของแคว้นอุดรไม่ใช่ที่ที่ฉันอยากจะไปจบชีวิตลงเลย

ฉันอ้าปากจะพูด แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยคำใดออกมา ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว

“ถวายความเคารพ องค์ราชาเสด็จ”

บรรยากาศพลันหนักอึ้งและน่าอึดอัด ทุกคนก้มศีรษะลงรวมถึงฉันด้วย

ฉันกำชายชุดแน่น พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตัวสั่น ศีรษะก้มต่ำ

เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาดังก้องอยู่ในหัวของฉัน

แล้วฉันก็เห็นรองเท้าบูทคู่หนึ่งอยู่ตรงหน้า

“นี่ใครกัน”

น้ำเสียงนั้นทุ้ม คม และเยียบเย็น

ฉันไม่ได้พูดอะไร

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ยามคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “กระหม่อมคิดว่าเป็นหญิงบ้าพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะรีบไล่นางไปทันที”

ฉันไม่ได้คิด ฉันแค่ทำมันลงไป

“หม่อมฉันไม่ใช่หญิงบ้าเพคะ” ฉันพูด น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนตัวเองยังแปลกใจ

ฉันเงยหน้าขึ้นทันที และเขาก็อยู่ตรงนั้น อัลฟ่า เซบาสเตียน วูล์ฟ มหาเศรษฐี ผู้ทรงอำนาจ และที่สำคัญที่สุดคือคู่แข่งตัวฉกาจของลูคัส

เขายืนสง่าอยู่ตรงหน้าฉัน ร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ใบหน้าคมคาย และดวงตาที่เฉียบคม เขาส่งผ่านอำนาจดิบ เสน่ห์ที่ไม่ต้องพยายาม และแรงดึงดูดของบุรุษเพศที่ไม่อาจต้านทานได้

“แล้วเจ้าเป็นใคร” เขาถาม

“หม่อมฉัน... หม่อมฉันคือ...” ฉันพูดตะกุกตะกัก ความมั่นใจเมื่อครู่เลือนหายไปราวกับเม็ดทราย

ฉันหยุดพูด แล้วหลับตาแน่นก่อนจะโพล่งคำพูดออกไป “หม่อมฉันคือเอเวอลิน ว่าที่ลูน่าของอัลฟ่าลูคัส แต่หม่อมฉันต้องการความช่วยเหลือจากฝ่าบาท ให้ช่วยหยุดยั้งงานแต่งงานของหม่อมฉันกับเขาเพคะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป