กำลังจะทำ
มุมมองของเอเวลิน
เอวาวิ่งพรวดพราดเข้ามาในบ้าน มือของหล่อนกำแน่นเป็นหมัดขณะที่ฉันเดินตามหลังมา ความตื่นเต้นพลุ่งพล่านอยู่ในอก
“แม่คะ” เอวากรีดร้องพลางเริ่มร้องไห้ วิ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนที่กางรอของเอลาร่า หล่อนนั่งอยู่บนโซฟา จ้องเขม็งมาที่ฉัน แต่ฉันไม่สนใจ ได้แต่กอดอกนิ่งๆ
‘คอยดูสิว่าสองแม่ลูกนี่จะเล่นไม้ไหนกันต่อ’ ฉันคิดในใจ
“ฉันได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วนะเอเวลิน ทำแบบนี้กับน้องสาวตัวเองได้ยังไง ไปแย่งผู้ชายของเขามาเนี่ยนะ” เอลาร่าตวาดใส่ ส่วนฉันก็ได้แต่ยักไหล่
“มันไม่ใช่ความผิดของฉันนี่คะที่เขาเลือกฉันแทนที่จะเป็นยัยนั่น” ฉันพูดพลางชี้ไปที่เอวาซึ่งยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันใจอ่อนเลยสักนิด สมัยที่ฉันจะรู้สึกสงสารมันผ่านไปแล้ว
“ก็เพราะแกไปยั่วเขาไม่ใช่รึไง แล้วแกไม่มีคู่หมั้นอยู่แล้วเหรอ” เอลาร่าสวนกลับ ความโกรธแล่นพล่านไปทั่วร่าง
“หมายถึงอัลฟ่าต้องสาปที่คุณใช้ฉันเป็นเครื่องสังเวย ในขณะที่จัดหาคู่ที่ทรงอิทธิพลให้ลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองน่ะเหรอคะ” ฉันกัดฟันกรอด
เอลาร่าแค่แค่นเสียง
“เขาก็จ่ายให้แกงามอยู่นะ ที่รัก” หล่อนบอกฉัน และปลายนิ้วของฉันก็ร้อนผ่าวด้วยความอยากจะข่วนใบหน้าของหล่อนให้ยับเยิน
“แย่หน่อยนะคะที่คุณจะต้องคืนเงินนั่นไป เพราะฉันไม่แต่งงานกับเขา” ฉันบอกหล่อน และมุมปากของหล่อนก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่น่าขนลุกจนฉันสันหลังวาบ
ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หล่อนจะดีดนิ้ว และก่อนที่ฉันจะทันได้กะพริบตา เหล่ายามก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากไหนไม่รู้
“ตรงนั้นแหละที่แกคิดผิด อีฟ งานแต่งนี้จะดำเนินต่อไปตามแผน” จากนั้นเอลาร่าก็ชี้มาที่ฉัน
“เอาตัวไปขังไว้ในห้องจนกว่าฉันจะสั่งเป็นอย่างอื่น” เอลาร่าบัญชา ดวงตาของฉันเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
ยามทั้งหมดกรูเข้ามาเพื่อจับตัวฉัน เป็นชายร่างยักษ์สองคนสวมแว่นตา ฉันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พยายามหลบพวกเขาพลางคว้าแจกันบนโต๊ะข้างตัว
“เข้ามาใกล้กว่านี้สิ แล้วฉันจะทุบหัวแกให้แหลก” ฉันขู่ด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่เอวาที่มองทุกอย่างด้วยความพึงพอใจกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า
“พวกแกแข็งแรงกว่านี่ ทำหน้าที่ของพวกแกสิ” หล่อนตะโกนแล้วมองเอลาร่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจัดการเรื่องชุดแต่งงานชุดใหม่
ฉันเสียสมาธิไปชั่วขณะ และพวกยามก็ฉวยโอกาสนั้นรวบตัวฉันออกไป
“อ๊าก” ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดพลางเตะประตูอย่างแรงด้วยความหงุดหงิดจนหัวเข่าแทบช้ำ นี่ก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว และฉันก็ทุบประตูเหล็กอย่างบ้าคลั่งมาตลอด
ข้อนิ้วของฉันถลอกปอกเปิกไปหมด และพวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยฉันออกไป แม้แต่อาหารก็ไม่มีใครเอามาให้ แต่ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นเลยสักนิด
ฉันต้องหนีออกไปให้ได้ ฉันจึงรีบวิ่งไปที่กระเป๋าแล้วเทของทุกอย่างในนั้นลงบนเตียง ฉันเห็นโทรศัพท์มือถือและพยายามโทรหาอัลฟ่าเซบาสเตียน แต่แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าฉันไม่มีเบอร์ของเขา
ฉันตัดสินใจค้นหาเบอร์ในอินเทอร์เน็ตแล้วก็พบว่าไวไฟบ้าๆ นี่ถูกปิดไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย เอลาร่าต้องคาดการณ์การเคลื่อนไหวของฉันไว้แล้วแน่ๆ
ขาของฉันสั่นระริกจนทรุดลงไปกองกับพื้น ก้มหน้าลงด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
‘ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเดิมอย่างนั้นเหรอ’ ฉันครุ่นคิด และแล้วก็ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูดังขึ้น
ฉันหรี่ตาลงพลางลุกขึ้นพรวดพราด พุ่งไปข้างหน้าเพื่อดูว่าตัวเองเป็นอิสระแล้วหรือยัง แต่กลับไปชนเข้ากับใครบางคน
“โอ๊ย” เสียงร้องหลุดจากปากฉันเมื่อจมูกไปชนเข้ากับกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา กลิ่นโคโลญจน์ที่คุ้นเคยลอยเข้าจมูก...และฉันก็ตัวแข็งทื่อ
“ว่าไง” เสียงทุ้มลึกของเขาดังขึ้นข้างหู ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่ฉันเกลียดชังยิ่งกว่าสิ่งใด
ไอ้สารเลวที่ต้องรับผิดชอบกับสภาพของฉันในตอนนี้ รอยยิ้มหยันประดับอยู่บนริมฝีปากขณะที่เขาขยิบตาให้ ก่อนจะรวบเอวฉันเข้าไปชิดกับตัว
ฉันอยากจะอ้วกออกมาให้รู้แล้วรู้รอดขณะที่แทบหายใจไม่ออกในอ้อมกอดอันแข็งกร้าวนั้น
“มีใครบางคนรอเจอฉันแทบไม่ไหวแน่ะ” เขาเย้า และฉันก็กระทืบเท้าเขาอย่างแรง ก่อนจะอ้าปากกัดเข้าที่หน้าอก
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดหลุดจากปากเขา อ้อมแขนคลายออกทันที ฉันจึงรีบกระโดดหนีและถอยห่างออกมา
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความโกรธขณะพยายามจะเข้ามาใกล้ แต่ฉันคว้ามีดปอกผลไม้จากจานบนโต๊ะแล้วชี้ไปที่เขา
“เธอรู้ว่าไอ้นั่นทำห่าอะไรฉันไม่ได้หรอก” เขาเตือนถึงพละกำลังของตัวเอง แต่ฉันไม่สน ยังไงฉันก็จะแทง
“ก็ลองเข้ามาดูใกล้ๆ สิ” ฉันเยาะเย้ย และเขาคำรามใส่ฉัน
เขาถอยหลังไปยืนอยู่ข้างประตูซึ่งเปิดกว้างอยู่ ฉันกำลังคิดจะพุ่งผ่านเขาออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ แต่ราวกับอ่านใจฉันออก เขากระตุกยิ้มแล้วปิดประตูด้านหลัง
เขายังใช้ร่างของตัวเองขวางทางเข้าไว้ และฉันก็ย่นจมูกใส่เขาอย่างรังเกียจ
“คุณมาทำอะไรที่นี่” ฉันถามพลางเดินไปนั่งบนเตียง โดยยังคงชี้มีดไปที่เขา
“ก็มาหาว่าที่เจ้าสาวของฉันน่ะสิ ลองชุดแต่งงานชุดใหม่รึยัง” เขาเย้ยหยัน และขากรรไกรของฉันก็ขบกันแน่น
“ฉันไม่ใช่เจ้าสาวของคุณ และงานแต่งงานก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น” เขาหัวเราะให้กับคำพูดของฉัน
“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก ที่รัก” เขาบอกขณะล้วงกระเป๋า และฉันก็ขมวดคิ้ว
“แล้วเมทของคุณว่ายังไงกับเรื่องนี้ล่ะ” ฉันเอ่ยถาม และสีหน้าของเขาก็แข็งกระด้าง คราวนี้เป็นตาฉันบ้างที่จะยิ้มเยาะขณะควงมีดในมือเล่น
“หล่อนเลิกเสแสร้งได้แล้ว เพราะตอนนี้ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว การต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบหล่อนคงจะน่าหงุดหงิดน่าดู” ฉันพูดเสริม และลูคัสก็ปรี่เข้ามาหาฉัน
เขาบีบคางฉันอย่างแรง บังคับให้ฉันสบตาสีฟ้าคู่นั้น...ดวงตาที่ฉันเคยเทิดทูน แต่ตอนนี้กลับอยากจะควักมันออกมาแล้วยัดใส่ปากเขา
“ระวังปากของเธอด้วย ในสัญญาไม่ได้มีข้อไหนระบุไว้ว่าฉันทำร้ายเธอไม่ได้” เขาขู่ และฉันก็แค่แค่นหัวเราะ ก่อนจะกระชับมีดในมือให้แน่นแล้วใช้มันกรีดเขา
เขาสะดุ้ง อ้าปากค้างขณะมองเลือดที่พุ่งทะลักจากบาดแผลเล็กๆ ที่ฉันสร้างขึ้น ฉันตั้งใจกรีดไปที่เส้นเลือดของเขาโดยตรง
เป็นคำเตือนเงียบๆ ว่าอย่ามาล้อเล่นกับฉัน พวกมันทุกคนจะต้องชดใช้ ไม่ว่าจะเป็นเซบาสเตียนหรือไม่ก็ตาม
เป็นไปตามคาด เขารีบวิ่งออกจากห้องไปทันทีพร้อมกับสบถออกมา ขณะที่พวกยามกลับมาล็อกประตูอีกครั้งในทันใด
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนมุมปากของฉันจางหายไป เมื่อหัวใจเริ่มเต้นโครมครามอยู่ในอก
‘ถ้าเอลาร่าสามารถเกลี้ยกล่อมให้เซบาสเตียนเลือกเอวาอีกครั้งล่ะ ยังไงซะหล่อนก็เป็นแม่มดเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว’ ฉันคิดขณะที่รู้สึกวูบโหวงในท้อง ความรู้สึกหวาดหวั่นแล่นผ่านไปทั่วร่าง
ฉันไม่มีแผนสำรอง แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดี
