บทที่ 2 เจ้าจันทร์คือสนมเอกของกรุงยักษา (๑)
มธุรสแทบจับต้นชนปลายไม่ถูก มารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเจ้าจันทร์ที่ตัวเองอยู่ในร่างขายตัวเองให้ผู้ชายโครงสร้างใหญ่โตท่าทางน่ากลัวบนบัลลังก์เสียแล้ว ตอนนี้เธออยู่บนหลังคชสารศึก ผู้ชายร่างใหญ่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ความองอาจแตะเข้ากับแผ่นหลังเปลือยที่มีแต่สไบหุ้มไว้บางๆ มือหนาถืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับไม้หวายขนาดใหญ่ พอเห็นว่าคชสารใหญ่หยุดเดิน เขาก็ใช้ไม้นั้นฟาดแรงๆ โดยไร้ความปราณี
มธุรสนั่งช็อกซีนีม่าอยู่ท่ามกลางหลังช้าง ที่รอบๆ มีผู้ชายโครงสร้างใหญ่หลายคนขี่ม้า บ้างก็เดินอยู่ด้านล่าง มองรวมๆ ก็เป็นพันคนได้ นอกซะจากโครงสร้างที่ใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป รอบข้างยังเป็นเหล่าบ้านเมืองที่ถูกเหยียบด้วยรอยเท้ามหึมาจนจมดิน มีศพเลอะดินเกลื่อนกลาด
ในความฝัน มันชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ
มธุรสได้แต่ถามตัวเองในใจ จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของลมหายใจเคียงข้างแก้ม
“เจ้าเห็นศพเกลื่อนกลาดพวกนี้หรือไม่ เจ้าจันทร์ของข้า” เสียงทุ้มต่ำดูทรงอำนาจดังข้างแก้มนวล เธอหน้าซีดจนไม่กล้าหันกลับไป ผู้ชายด้านหลังนั่นดูน่ากลัวราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไปตลอดเวลา “คนพวกนี้ยอมเสียชีวันเพื่อให้ข้าได้เคียงเจ้า”
“...”
“ถ้าเจ้าไม่ยอมเคียงกายข้า ทั้งที่ข้าพยายามมากมายเหลือคณานับ ได้เห็นดีกันแน่”
คนตัวเล็กตัวชาไปทั้งแถบ ภาวนาในใจว่าถ้านี่เป็นความฝันก็เป็นความฝันที่น่ากลัวเหลือแสน ผู้ชายข้างหลังเปรียบเสมือนไอ้โรคจิตซาดิสต์ที่ฆ่าคนเป็นเบือเพื่อให้ได้เจ้าจันทร์ที่อยู่ในฝันมาเป็นเมีย
การเดินทางผ่านไปสามวันสองคืน เป็นช่วงเวลาที่ทรมานเหลือเกิน เนื่องจากต้องนั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนอิฐทับระหว่างต้นขาใหญ่โตมีแต่มัดกล้ามของชายทรงอำนาจผู้นั้น โดยที่เขาพยายามหอมหัว จูบหลัง ลูบแขนอยู่ตลอดเวลา
เรียกได้ว่าพอซื้อสาวมาได้แล้ว ก็ลวนลามตามใจอยากซะเลย โดยที่สาวเจ้าก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เพราะกลัวว่าเขาจะใช้มือใหญ่ๆ นั่นหักคอให้ตายในฝัน
ยังไงก็ตามถ้าฝันมันจะยาวนานขนาดนี้ ก็ช่วยให้แม่เจ้าจันทร์ในฝันนี้ง่วงเร็วๆ แล้วรีบตื่นด้วยเถิดนะ!
พร่ำภาวนาในใจอย่างหวาดหวาน จนมาถึงเมืองที่โอ่อ่า บ้านเมืองที่ใหญ่โต ประตูบ้านทุกเรือนที่สูงและใหญ่กว่าร่างกายมนุษย์ทั่วไป จนไปถึงเรือนประสาทหลังงามที่อยู่กลางเมืองใหญ่
ประตูวังถูกเปิดออก พร้อมกับเหล่าสาวงามที่ออกมาต้อนรับชายที่ซ้อนหลังเธอ
“ท่านสุวรรณราพณ์เจ้าขา ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ!” เสียงหวานระงมแทบเป็นเสียงเดียวกัน เท่าที่นับดูก็น่าจะสิบคนได้
“พี่จะอุ้มน้องลงเอง” หากแต่ชายด้านหลังที่ชื่อสุวรรณราพณ์กลับไม่ใส่ใจสาวงามเหล่านั้นแม้เพียงนิด เขากระโดดลงจากหลังช้างที่ค่อนข้างสูงลงอย่างสง่างาม และพนมมือท่องคาถาจนตัวขยายใหญ่เท่าช้างอย่างน่าอัศจรรย์
“ลงมาในมือพี่ เจ้าจันทร์” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากริมฝีปากที่มีเขี้ยวขนาดใหญ่ผุดขึ้นสองข้างมุมปาก และไพรเหงือกที่มักจะเป็นสัญลักษณ์ข้างมุมปากของอสุราในละครจักร์ๆ วงศ์ๆ มธุรสกลัวแสนกลัว แต่ก็จำใจก้าวขาสั่นๆ นั้นลงในมือมหึมาของมหาบุรุษตรงหน้า เขานั่งคุกเข่าทีพื้นดินกลับสะเทือน แล้ววางหลังมือลงบนพื้นดินให้เธอลงอย่างสะดวกสบาย
คะ... โคตรเจ๋ง เหมือนในอนิเมชั่นไททันที่ดูบ่อยๆ เลย หากแต่ชายที่ชื่อสุวรรณราพณ์คนนี้มีสติปัญญา และบำเร็จบำเรอเธออย่างดีราวกับเป็นเมียเอก ทั้งที่สาวๆ สวยๆ ที่รอต้อนรับนั้นพร้อมถึงสิบคน
จะว่าไปจะเป็นเมียเอกได้ยังไง ในเมื่อยังไม่ได้ร่วมรักกันเลยสักครั้ง แถมยังเพิ่งเคยเจอหน้าด้วย
จะว่าไปทำไมสาวๆ เหล่านั้นถึงมองเธอราวกับเป็นเรื่องชินชาเสียล่ะ?
ร่างใหญ่โตขยายกลับไปเป็นหนุ่ม ๒๕o เซนติเมตรดังเดิม บุรุษสุดหล่อเซอร์แต่ในขณะเดียวกันก็น่ากลัวเหลือเกินโอบเอวเธอ พาเดินเข้าไปในวังแทรกตัวผ่านสาวๆ เหล่านั้น
“น้องไปรอที่เรือนรับรองก่อนได้หรือไม่ คิดเสียว่าที่นี่คือวังของน้อง” ชายหนุ่มพูดเหนือศีรษะ ส่งต่อมธุรสให้สาวรับใช้ที่ยืนเตรียมการอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสาวร่างใหญ่เช่นเดียวกับเขา “ข้าจักต้องไปสะสางธุระปะปังต่ออีกหน่อย ยามพลบค่ำถึงจะกลับมาร่วมหลับนอนกับเจ้า”
สะดุ้งเฮือกกับคำว่า ‘ร่วมหลับนอน’ ที่ดูจะมีความหมายแอบแฝง หากแต่มธุรสก็ไม่มีทางเลือก ต้องพยักหน้ารับเบาๆ อย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น
“นวลละออของพี่” สุวรรณราพณ์เหมือนจะกล่าวชม พร้อมกับเอื้อมฝ่ามือใหญ่โตมาลูบแก้มนวลของเธอ ฝ่ามือหยาบกร้านและร้อนผ่าวทำเอามธุรสขนลุกซู่ “รอพี่อยู่ที่เรือนหอ พี่จักรีบกลับไป”
พูดพร้อมกับเดินร่วมทางออกไปกับผู้ชายร่างยักษ์หล่อเหลาที่เหลือบมามองเธอเป็นนัยๆ อีกสามนาย มธุรสยังยืนขนลุกซู่อยู่ที่เดิม จนรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตของเหล่าสาวๆ ที่ร่างกายเท่าๆ เธอ ดูเหมือนว่าเธอเหล่านั้นจะเป็นมนุษย์โครงสร้างปกติเหมือนกัน
“ท่านสุวรรณราพณ์หาสนมมาอีกแล้วหรือนี่”
“นั่นสิตองนวล ท่านไม่เคยพอพระทัยในสนมที่มีอยู่เลยหรือ”
“เชื่อสิ เดี๋ยวสนมคนนี้ก็ถูกเขี่ยทิ้งเฉกเช่นเรา”
มธุรสเงี่ยหูฟังที่พวกเจ้าหล่อนนินทา แม้จะไกลแต่ก็ชัดเจน แทบเอามือมาทาบอกอย่างตกใจเพราะชายที่ชื่อสุวรรณราพณ์สนมโคตรเยอะ (สนมที่แปลว่าเมียรองเมียหลวงอีกทีสินะ) นี่มันฮาเร็มในวังอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ยอมเป็นสนมคนที่สิบเอ็ดของชายชีกอผู้นี้เด็ดขาด
มธุรสถูกจับอาบน้ำ ตบแต่งอย่างสวยงาม หากแต่สาวเจ้ากลับห่อเหี่ยวและเต็มไปด้วยความขลาดกลัว
หลังจากแอบลอบๆ เคียงๆ ถามสาวรับใช้ร่างยักษ์ จึงได้ความเป็นเรื่องราวที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุด ที่ว่าชายที่ชื่อสุวรรณราพณ์นั้นเป็นราชายักษ์ที่ปกครองกรุงยักษาแห่งนี้ และแน่นอนว่าพวกสาวรับใช้ก็คือเผ่าพันธุ์ยักษ์ที่เป็นข้ารับใช้ของเขามาตั้งแต่โบราณนั่นเอง
สุวรรณราพณ์เป็นยักษ์หนุ่มที่เกิดมาในตระกูลยักษ์ตั้งแต่กาลก่อน ที่วิวัฒนาการตามมนุษย์และสร้างเมืองยักษ์ขึ้นมา โดยรวบรวมเผ่าพันธุ์ยักษ์ตั้งแต่เด็กยันวัยชราให้มาอยู่ร่วมกันราวกับครอบครัวขนาดใหญ่ เท่าที่ฟังมาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับวิวัฒนาการของมนุษย์ในสมัยสงครามนัก หากแต่ยักษ์จะมีร่างกายที่ใหญ่โต และสามารถท่องคาถายืดหดขนาดตัวได้อย่างใจนึก
นี่มันโดราเอม่อนชัดๆ มธุรสนึกทึ่งในใจ
หากแต่สุวรรณราพณ์นั้นมีนิสัยชื่นชอบสาวมนุษย์ที่งดงามมาก พอขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ก็กำเริบเสิบสานในอำนาจที่มีอยู่จนถึงขั้นไปรุกรานเมืองกรุงของมนุษย์และบังคับให้กษัตริย์ของเมืองที่ถูกตีจนราบเป็นหน้ากลองยกลูกสาวให้เป็นสนมในวัง
เรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่บ้าในการทำสงคราม พอๆ กับบ้าผู้หญิงเลย
ส่วนเรื่องโล้สำเภา (ร่วมรัก) กับสาวๆ นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะทางสาวรับใช้เองก็ไม่รู้เช่นกัน ตกดึกสุวรรณราพณ์จะมีเรือนใหญ่เป็นของตัวเอง ที่จะพาสาวงามเข้าเรือนใหญ่นั้นโดยไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามใกล้ๆ เรือน (หรือเรียกในภาษาบ้านๆ ว่าห้องเชือดนี่เอง)
ได้ความคร่าวๆ ว่าคืนนี้เจ้าจันทร์ที่เธออยู่ในร่าง จะต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนใหญ่นั่นกับสุวรรณราพณ์ตามลำพังสองต่อสอง
นี่มันโคตรจะน่ากลัวเลยไม่ใช่หรือคะ!
มธุรสเหงื่อตก บัดนี้เธอนั่งอยู่ในเรือนใหญ่ที่ว่านั่นอยู่เพียงลำพัง ตะเกียงส่องสว่างเป็นแสงไฟอีโรติคแบบเย้ายวนใจ พร้อมๆ กับเทียนหอมที่ส่งกลิ่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะหลับได้ตลอดเวลา
การตกแต่งเป็นสไตล์จีนโบราณ ที่ดูเหมือนว่าสุวรรณราพณ์จะเรียนรู้วัฒนธรรมของมนุษย์ได้ดีทีเดียว มันสวยแต่ในคราเดียวก็ก็ดูออกไม่ยากว่านี่คือห้องเชือดดีๆ นี่เอง เอาเป็นว่าคืนนี้ถ้าไม่รีบหลับแล้วตื่นขึ้นมาจากฝัน เธอคงได้เสร็จสมบุรุษอสุราผู้นั้นเป็นแน่
แต่... มธุรสกลับนอนไม่หลับซะนี่!
โอ้พระพุทธเจ้าช่วยด้วย นอนไม่หลับแบบไม่หลับจริงๆ แถมตอนนี้ก็เริ่มเข้าช่วงหัวค่ำแล้วด้วย เรียกว่าตาแข็งตั้งแต่ช่วงสายจนมืดค่ำเลยทีเดียว ไม่รู้จะเดินไปที่ไหนเพราะเกร็งไปหมดแม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝันก็ตาม เลยทำได้แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในเรือนนี้
นั่งกระสับกระส่ายอยู่เป็นหลายนาที อยู่ๆ เสียงดังกระหึ่มเหมือนฝีเท้าใหญ่ดังมาแต่ไกล ดูท่าจะเป็นหน้าวังตรงนู้น มธุรสสะดุ้งโหยงสุดตัว คิดว่าสุวรรณราพณ์คงกลับมาจากทำสงคราม (หรือการไปตีเมืองเขาเพื่อล่อหญิง) เรียบร้อยแล้ว ใช้ช่วงเวลาเฮือกสุดท้ายในการล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่เกินพอดี หลับตาลงเพื่อสดับตัวเองให้หลับสนิท
จนรู้สึกเหมือนเคลิ้มๆ จะหลับแหล่มิหลับแหล่ ก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือขนาดใหญ่อุ่นวาบสัมผัสที่ลาดไหล่ ไล่มาจนถึงสะโพกผายที่ตะแคงข้างอยู่
“เฮือก!” สาวเจ้าตกใจจนต้องลืมตาตื่น เหลียวไปเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาหากแต่ดุดันอยู่ใกล้ชิด เขานั่งอยู่ริมเตียง และใช้มือใหญ่ลูบไล้ร่างกายของเธออย่างอุกอาจ
เธอขยับตัวหนีทันที ด้นกระถดตัวถอยไปจนชิดหัวเตียง
“ตื่นแล้วหรือ” คนตัวใหญ่โตชักมือกลับ กระตุกรอยยิ้มที่แฝงเลศนัยบางอย่างออกมา “สาวรับใช้ตบแต่งเจ้าได้งดงามยิ่ง จนข้าแทบจะอดรนทนไม่ไหว”











































