บทที่ 8 โฉมตรูผู้หยิ่งผยอง (๓)
“เท่านี้ก็มิมีปัญหาแล้วใช่หรือไม่” ยังมิวายก้มหน้าลงมาถามหล่อนด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์นั่นอีก
“มะ... มันก็ดีอยู่หรอกค่ะ” ก็ทหารของเขายืนอยู่ตรงนู้นนี่หว่า เมื่อเกิดป่ารกทึบรอบสระบัวแบบนี้ ก็คงไม่มีชายคนไหนได้เห็นเรือนร่างของเธออีก “แต่ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”
ท้ายประโยคสาวเจ้าบ่นอุบอิบ น่าพิกลจริงที่สุวรรณราพณ์ตามใจเธอแบบนี้
“พี่ตามใจเมียทุกคนของพี่นั่นแล” หากแต่คำตอบก็พอทำให้หญิงสาวรู้ว่าทำไม ได้แต่มุ่ยหน้าตามประสาเด็กสาวที่หมั่นไส้ในบุรุษเพศหลายใจเป็นเหลือล้น “แต่จักตามใจเมียที่พี่โปรดปราณที่สุด... มากกว่าคนอื่น”
ท้ายประโยคมิวายเอนมากระซิบข้างริมหูเจ้าหล่อนอีกครา หยอกเย้าให้อีกฝ่ายหน้าแดงแจ๋อีกครั้ง
“... อึก”
“ถ้าอยากให้ตามใจ... ก็ทำให้พึงใจเป็นพอ”
ว่าพลางใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งโอบรัดเอวคอดของสาวเจ้า อีกมือก็เลื่อนขึ้นมาป้องแก้มนวล ดวงหน้างามถูกรั้งให้แหงนขึ้นสบสายตาต่อกัน สุวรรณราพณ์จ้องมองนางอย่างต้องใจ ไล้ปลายนิ้วตั้งแต่ดวงตากลมโตสุกใสดั่งลูกแก้ว ไล้มาที่ปลายจมูกเล็กโด่งรั้นอย่างเด็กสาวแรกแย้ม ลงมาถึงริมฝีปากบางที่เผยอขึ้นอย่างน่ารัก
หลงใหลเหลือเกิน ตั้งแต่ที่ชิงนางมา ก็มิอยากชิดใกล้เมียคนไหนเท่านางอีกเลย
มธุรสใจเต้นรัวเร็ว ทำไมถึงได้จ้องมองอย่างลึกซึ้งเช่นนั้น สัมผัสอย่างตรึงใจ ในสภาพที่ร่างกายล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้
“ขะ... ขอโทษค่ะ หนูว่าหนูแตะขาถึงแล้ว” การใกล้ชิดกับบุรุษเพศนั้นช่างอันตรายต่อหัวใจ เด็กสาวเบือนหน้านี้เอ่ยถ้อยคำแทรก สะบัดดวงหน้างามจากฝ่ามือใหญ่ หลบเลื่อนสายตา พลิกตนหนีหันแผ่นหลังเล็กที่ขาวนวลให้อสุราหนุ่ม
พระพักตร์ดุดันนั้นขมวดคิ้ว นึกพิกลนักที่สาวเจ้าไม่นึกหวั่นไหวกับเขาเลยแม้แต่นิด โดยเฉพาะกับบุรุษที่รูปงามเช่นท่าน กายใหญ่โตองอาจยิ่งกว่าชายชาตรีคนไหนๆ รวมถึงการเกี้ยวพาราสีที่ไม่เป็นรองใคร (แม้จักบอกนางไปว่าไม่ถนัดการเกี้ยวพาราสีใครสักเท่าไหร่ก็ตาม)
ไม่ว่าเมียคนไหนๆ แค่ได้อยู่ใกล้ก็ต้องไหวหวั่น หากแต่นางกลับใจแข็งยิ่ง
ทางด้านมธุรสเองก็กุมทรวงด้านซ้าย สะกดดวงใจที่สั่นรัวยิ่งกว่ากลองชุดให้สงบลง เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นเป็นชายเจ้าชู้มากรัก การเผลอไปหวั่นใจนั่นถือเป็นการพลาดพลั้งอย่างร้ายแรง
พยายามมองลงไปใต้ธารน้ำใส ทอดมองดอกบัวบานสีชมพู และใบบัวที่แผ่ใบใหญ่อยู่ชิดใกล้
หมู่มัจฉาลวดลายสวยงามแหวกว่ายมาชิดใกล้กับแน่งน้อยใต้น้ำของหล่อน ตอดต้นขาขาวนวลเล่นอย่างน่าเอ็นดู สาวเจ้าหัวเราะคิกคัก ล้วงมือเล็กลงไปใต้น้ำ พยายามจะแตะปลาตัวน้อย หากแต่เมื่อมือของเธอชิดตัวนุ่มนิ่ม เจ้าตัวเล็กก็ผุดน้ำหนีโดยพลัน
“โถ่” เสียงใสครางอ่อนอย่างผิดหวัง
สุวรรณราพณ์ที่ประคองสาวเจ้าและเห็นปฏิกิริยาทั้งมวลจึงท่องคาถาในจิต ดลใจให้ฝูงปลาแหวกว่ายเข้ามาหานางทั้งฝูง เพียงเพื่อให้หญิงสาวลูบไล้พวกมันตามแต่จะพึงใจ
“โอ้ะ ทำไมอยู่ๆ ก็” สาวเจ้าอุทานเสียงแหวว แต่ต่อมาเมื่อถูกรุมตอดเท้าก็จั๊กจี้จนหัวเราะเสียงหวาน เธอหยอกล้อกับฝูงปลาน้อยเหล่านั้น ราวกับกิริยาของเด็กสาวที่ยังไม่รู้จักโต
ไม่เคยได้ใกล้ชิดปลาแบบนี้มาก่อน อีกอย่างพวกมันยังน่ารัก ไม่เหมือนปลาดุกที่วัดดอนปลาหวายใกล้บ้าน ที่พอฉีกขนมปังแข็งปาไปกลางวง ก็รุมทึ้งเหมือนฝูงซอมบี้ดูน่ากลัวโคตรๆ
แม้จักเป็นกิริยาที่ไม่ว่าชายใดในโลกมนุษย์อาจไม่ชอบใจนัก ท่าทางกระโดกกระเดก บางครั้งก็หยิ่งผยอง คับคล้ายคับคลากับลูกเสือปลาตัวจ้อยที่พยายามขู่ฟ่อใส่พญาเสือโคร่งไม่ปาน
แต่ด้านพญาเสือโคร่งตนนั้นก็คือเขานั่นเอง มันกลับจ้องมองลูกเสือปลาตนนั้นอย่างพึงใจ
แม้จะพยศหนักหนา... แต่ก็น่ารักเสียจริงเชียว
ในเมื่อเมียอยากหยอกล้อกับฝูงปลา แม้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเพียงใด ก็จะสนองให้โดยที่ไม่หยุดคิดก่อนเลยเชียว
“คุณพระ ทำไมถึงได้ตามอกตามใจนางเช่นนั้น คุณพี่มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย...”
หากแต่ในหมู่แมกไม้ไม่ลึกจากสระบัวนัก ปรากฎเป็นร่างเล็กในชุดไทยวิจิตรของตองนวลที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แอบทอดสายตามองกายล่อนจ้อนของทั้งสามีอมนุษย์ของนางและแม่เด็กสาวที่มาใหม่คนนั้น พร้อมกับขบฟันขาวอย่างเจ็บใจ
ถึงจะบอกว่าเป็นคนโปรด แต่ท่านสุวรรณราพณ์นั้นมิเคยมีพระพักตร์อันอ่อนโยนรักใคร่ให้กับสนมนางใดแม้แต่คนโปรดอย่างนาง ท่านคืออสุรากษัตริย์ผู้เยือกเย็น คาดเดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางครั้งก็เหมือนจะมองพวกเหล่าสนมเป็นเพียงวัตถุบำบัดราคะก็เท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่แปลกอะไร เพราะพระบิดาของนางก็ไม่เคยปฏิบัติกับเหล่าสนมของท่านเหมือนเป็นเมียเอกเลยสักนิด กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ สูงส่งจนไม่อาจหรี่ตาลงมามองสตรีที่เป็นเพียงช้างเท้าหลังอย่างพวกนาง ยามเมื่อโดนสุวรรณราพณ์ตีเมือง ก็ยกนางให้เขาโดยง่าย
แม้ว่าเธอจะเตรียมใจมาดีแล้วหากจะหลงใจไปรักท่านผู้นั้น แต่ทว่าเมื่อสนมผู้มาใหม่กลับได้ความรักไปมากกว่า ไม่ว่าใครก็ต้องริษยาเป็นธรรมดา
แค่หวังอยากให้หันพระพักตร์มามองกันสักนิด มองข้าอย่างหญิงธรรมดาบ้าง มิใช่เป็นเพียงเชลยศึกที่ตกเป็นเมีย
แค่เพียงนี้... ข้าขอมากไปหรือ
“พระสนมเจ้าคะ ข้าว่ากลับเรือนเถอะเจ้าค่ะ แดดเริ่มแรง เดี๋ยวพระสนมจักเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน” สาวรับใช้ประจำตนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง รู้ดีว่าพระสนมของตนนั้นหลงใหลท่านผู้นั้น ยอมตกเป็นของท่านหลายคราเพียงเพื่อได้หัวใจของท่าน แม้เพียงแค่ชายตาแลก็ยังดี
แต่ในขณะเดียวกันสาวรับใช้นางนั้นก็รู้ดีเพราะว่ารับใช้กษัตริย์กรุงยักษามามากกว่าสองร้อยปี ว่าท่านผู้นั้นเฝ้ารอคู่ชะตามานานเพียงใด แม้ท่านจะมีเมียมากตามประสากษัตริย์ แต่ทว่ากลับไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่พร่ำบ่นคิดถึงคู่ชะตาถึงร้อยกว่าปีนั่นเลยสักครา
เมื่อได้คู่ชะตามาอยู่ในกำมือของตน จึงไม่แปลกหากท่านจะเอาแต่สนใจท่านหญิงผู้นั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“เมื่อใดกันสูรย์ตรี เมื่อใดกันที่ข้าจักได้อยู่ในพระเนตรของท่านบ้าง” ตองนวลเอ่ยกับสาวรับใช้ของตนอย่างแสนเศร้า เนื่องจากสุวรรณราพณ์ไม่คิดเชื่อใจผู้ใดนอกจากคนของตน จึงออกคำสั่งให้สูรย์ตรีมาเป็นสาวรับใช้ของตองนวลแทนสาวรับใช้ในเมืองเก่าที่นางจากมา เพราะฉะนั้นสาวรับใช้ของสนมทุกคนของท่านจึงเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ทั้งสิ้น
“พระสนม...” สาวรับใช้ร่างใหญ่เอื้อนเอ่ยเรียกชื่อพระสนมของตนเสียงอ่อน เอื้อมมือไปคว้าฝ่ามือนวลมากุมไว้แน่น “ท่านผู้นั้นรักพระสนมยิ่งกว่าใครๆ เจ้าค่ะ อย่ากังวลไปเลยนะเจ้าคะ”
แม้นจักรู้ดีว่าเป็นการหลอกใจพระสนมของตนเอง แต่ถ้าหากทำให้ดวงหน้างามนั้นสดใสขึ้นแม้สักนิด สูรย์ตรีก็ยินดีเหลือเกิน
