กรงส่วนหนึ่ง - POV ของวาเลเรีย

ฉันสะดุ้งตื่น หอบหายใจเฮือกขณะจดจำเศษเสี้ยวของถ้อยคำประหลาดจากความฝันได้ มันดังก้องอยู่ในหัวราวกับอดีตอันไกลโพ้น แต่แล้วมันก็พลันเลื่อนไหลผ่านนิ้วมือไปราวกับเม็ดทราย

ฉันเคยตื่นแบบนี้มาก่อน และก็คิดว่ามันคงจะเกิดขึ้นอีก

หัวใจฉันเต้นรัวอยู่ในอกขณะที่ภาพสุดท้ายเลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดในอกที่จะคงอยู่ไปตลอดทั้งวัน กลิ่นของห้องใต้หลังคาเล็ก ๆ อบอวลไปทั่วปอด มันเต็มไปด้วยฝุ่น กลิ่นอับ และเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าฉันอยู่ที่ไหน

ห้องใต้หลังคาของอัลฟ่าคือที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับอาศัยอยู่ แต่นี่คือที่ของฉันมาตั้งแต่อายุสิบสองขวบ ตอนที่พ่อแม่เสียชีวิต ฉันอายุแค่เจ็ดขวบ เป็นเวลาห้าปีที่ฉันถูกส่งตัวไปตามบ้านของสมาชิกฝูงคนอื่น ๆ แม้จะได้รับความเมตตาจากบางคน แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด เป็นภาระที่พวกเขาอยากจะสลัดทิ้งให้เร็วที่สุด จากนั้นเมื่อฉันอายุครบสิบสอง อัลฟ่าก็บอกว่าเขาจะรับฉันไปอยู่ด้วยเพราะมีคนมากมายปฏิเสธที่จะให้ที่พักพิงแก่ฉัน ฉันถูกขังไว้ในห้องใต้หลังคานี้ภายใต้ฉากหน้าที่ว่าจะปกป้องและรับฉันไว้ในความดูแลของเขา

ตอนแรกฉันตื่นเต้นและเชื่อเขา ฉันคิดว่ามันเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของฉันเอง แม้จะไม่รู้ว่าฉันต้องได้รับการปกป้องจากอะไรก็ตาม ตอนนั้นฉันยังเด็กและไร้เดียงสา คิดว่าเขาปรารถนาดีกับฉันที่สุด

โอ้...ฉันคิดผิดไปถนัดเลย

เขาไม่เคยใส่ใจความปลอดภัยของฉันเลย เขาต้องการบางอย่างจากฉัน แม้ว่าจนบัดนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร จิตใจของเขานั้นบิดเบี้ยว และฉันก็เลิกที่จะพยายามทำความเข้าใจมันไปตั้งแต่นั้นมา

ฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียง ระวังไม่ให้พื้นไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดใต้น้ำหนักตัว อัลฟ่าคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถ้าฉันปลุกเขาหรือลูกสาวและภรรยาสุดที่รักของเขา นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการ แต่ความเกรี้ยวกราดของภรรยาเขานั้นร้ายแรงกว่าตัวเขาเสียอีก

เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วนับจากการถูกเฆี่ยนครั้งล่าสุดที่ฉันได้รับจากนาง ซึ่งทำให้ฉันพอจะมีความหวังว่ามันคงจะจบสิ้นแล้ว แต่ฉันก็ไม่อาจประมาทได้เลย นางเปลี่ยนใจเร็วยิ่งกว่างู ฉกกัดก่อนที่คุณจะทันรู้ตัวเสียอีก เรื่องเล็กน้อยที่สุดก็สามารถจุดชนวนอารมณ์ของนางได้ และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็ตกเป็นเหยื่อกรงเล็บของนางเสียแล้ว

“วาเลเรีย!”

ความเย็นเยียบแล่นไปทั่วสันหลัง พูดถึงแม่มดก็มาเลย...นั่นไงล่ะนาง

“ค่ะ นายหญิง กำลังไปค่ะ” ถ้อยคำหลุดออกจากปาก แต่รสชาติช่างขมขื่น ใครกันบนโลกนี้ที่อยากถูกเรียกว่านายหญิง โอ้ ใช่สิ นางนั่นเอง

“นั่นน้ำเสียงประชดประชันหรือเปล่า เจ้ารู้นี่ว่าไม่ควรพูดกับข้าแบบนั้น วาเลเรีย” นางกล่าว น้ำเสียงยังคงแหลมคม วิธีที่นางเอ่ยชื่อฉันทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงจนขนลุก

“เปล่าเลยค่ะ นายหญิง”

เสียงฝีเท้าของนางดังก้องขึ้นมาตามบันได ฉันรีบผละออกจากเตียง สวมเสื้อผ้าก่อนที่นางจะมาถึงประตูถ้านางเห็นว่าฉันเพิ่งลุกจากเตียง นางจะเหมาว่าฉันขี้เกียจ และในสายตาของนาง ความขี้เกียจสมควรถูกลงโทษ

ทันทีที่ประตูแง้มเปิดออก ฉันก็รีบไปยืนประจำที่ข้างเตียงนอนเพื่อรอรับคำสั่ง สายตาของนางกวาดไปทั่วทุกมุมห้องเพื่อสำรวจ จากนั้นก็ยักไหล่ “ได้เวลาทำอาหารเช้าให้พวกเราแล้ว”

“ค่ะ นายหญิง เช้านี้ท่านและครอบครัวอยากทานอะไรดีคะ” ตลอดสิบสามปีที่ผ่านมา ฉันถามคำถามเดิมนี้ทุกเช้า และฉันก็เบื่อมันเต็มทีแล้ว

นางเม้มปากแสร้งทำเป็นคิด ราวกับว่ายังไม่รู้คำตอบอยู่แล้ว ริมฝีปากของนางทาด้วยลิปสติกสีแดงซีด ๆ ที่น่าเกลียดนั่นอีกแล้ว

มันไม่เข้ากับสีผิวของนางเลยสักนิด แถมยังทำให้หน้าจืดสนิท

ฉันอยากจะหัวเราะกับความคิดของหมาป่าในตัวฉัน แต่ก็ต้องข่มทุกความรู้สึกเอาไว้เพื่อไม่ให้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา นางคือผู้ล่า ส่วนฉันคือเหยื่อ พลาดเพียงก้าวเดียว ทุกอย่างก็อาจจบสิ้น

“ข้าว่าเราจะกินอะไรที่หรูหราหน่อย ทำคีชที่ข้าชอบมาก ๆ นั่นสิ แกบบี้ก็ชอบเหมือนกัน ช่วยทำตัวน่ารัก ๆ แล้วก็ทำมาสองชิ้นนะ เช้านี้เราจะมีแขก”

ฉันย่อตัวคำนับ และเมื่อนางจากไป อากาศทั้งหมดในปอดก็หายไปพร้อมกับนาง ถ้าแกบบี้มีแขก นั่นก็หมายถึงคนที่มาดูตัวคนใหม่

ไม่รู้ว่าคราวนี้จะเป็นเจ้าโง่คนไหน

คนแรกคือแอนโทนี หนุ่มนักแปลงกายจากต่างฝูงที่ดูท่าทางใจดี แต่อัลฟ่าปฏิเสธเพราะเขาจะพาแกบบี้ไปอยู่ฝูงอื่น ชายคนที่สองที่มาทำให้หัวใจฉันเต้นผิดจังหวะ และไม่ใช่เพราะเขาหล่อราวกับเทพบุตรหรอกนะ ไม่เลย ฉันหวาดกลัวเขาตั้งแต่แรกเห็น ฉันจำชื่อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ จำได้เพียงความรู้สึกที่เขามีต่อฉัน

ส่วนชายคนที่สามและสี่ที่มา พวกเขาให้ฉันอยู่แต่ข้างบนและไม่อนุญาตให้ลงมาขณะที่พวกเขาอยู่ที่นี่ มันทำให้ฉันสงสัยว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นพวกเขาเลยสักแวบ แม้ว่าจะแอบมองออกไปนอกหน้าต่างในวันนั้นก็ตาม

บทถัดไป