บทที่ 4 จุดเริ่มต้น (100%)
“ไม่ต้องหรอกนก” คนรู้ชะตาตัวเองกัดฟันข่มกลั้นความเจ็บปวดที่กำลังแล่นพล่านไปทั้งร่าง ถ้อยคำกระท่อนกระแท่นที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสะท้านไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ทำให้ทวิชาไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียกำลังเข้าเล่นงานเธออย่างแสนสาหัส
“ไม่นะไมเคิล อย่าทิ้งนกไป!” ตำรวจทุกนายที่ยืนอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันแสนบีบคั้นความรู้สึกต่างพากันสะเทือนใจ แต่ในที่นี้คงไม่มีใครเจ็บปวดได้มากไปกว่าทวิชาอีกแล้ว จะเป็นตำรวจฝีมือดีไปเพื่ออะไรหากไม่สามารถช่วยชีวิตเพื่อนรักเอาไว้ได้
“เราขอโทษนก เราคงทำตามความต้องการของนกไม่ได้จริงๆ” ไม่เคิลยกปลายนิ้วสั่นเทาขึ้นเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากดวงหน้างาม เขารู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อยที่ทำให้เพื่อนสาวมีน้ำตา ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าทวิชาเกลียดน้ำตามากแค่ไหน แต่จะทำอย่างไรได้ เขากับเธอคงจะทำบุญร่วมกันมาไม่มากพอถึงมีวาสนาต่อกันเพียงแค่นี้
“ไหนไมเคิลสัญญาว่าจะดูแลนกแทนพ่อ ไมเคิลสัญญากับนกแล้วนี่” สาวแกร่งผู้มีความอ่อนไหวซ่อนอยู่ในตัวไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นกระชากเอาคำมั่นสัญญาในก้นบึ้งความทรงจำขึ้นมาทวงถามเพื่อนรัก อย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ สายตาตัดพ้อต่อว่าที่ทอดมาทำเอาไมเคิลน้ำตาซึม
“เราขอโทษนก เราขอโทษจริงๆ แต่เราไม่ไหวแล้ว” นัยน์ตาสีฟ้ามีแววเสียใจเจือไว้ทั่วทุกอณู ปากที่มีหยดเลือดสีแดงสดไหลรินขยับเอ่ยกับเจ้าของอ้อมกอดแผ่วเบาจนแทบไม่เป็นภาษา
“ไมเคิล ฮือๆๆๆ” ร้องไห้ดังลั่นพร้อมทั้งกอดร่างของเพื่อนรักเอาไว้อย่างแนบแน่น
“อย่าร้องไห้สินก เสียชื่อสารวัตรสาวขาโหดหมด” ทั้งที่เจ็บปางตายแต่สารวัตรหนุ่มขี้เล่นยังไม่วายส่งเสียงขาดเป็นช่วงๆ มากระเซ้าคนที่กำลังร้องไห้เป็นเผาเต่า ทวิชาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งสะอื้นฮักและร้องไห้เสียงดังหนักกว่าเดิม เพราะเริ่มหวาดกลัวว่าเสียงหยอกล้อแบบนี้จะเพียงแค่ดังก้องในหูและตราตรึงในความรู้สึก แต่ไม่สามารถที่จะเรียกร้องเจ้าของมันกลับคืนมาได้อีก
“เราขอโทษนะนก ระ…เราขอโทษ…” เมื่อวินาทีสุดท้ายของชีวิตมาถึงไมเคิลก็พร่ำกระซิบขอโทษทั้งน้ำตา แม่สาวขาโหดไม่ตอบโต้ว่ากระไรเอาแต่ร้องไห้และส่ายหน้าไปมา
แล้วร่างบางก็ต้องนิ่งขึง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความหนาวเหน็บเข้าจู่โจมไปทั่วสรรพางค์กาย เพื่อนรักของเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ แล้ว ก่อนที่เสียงร้องไห้โฮจะดังขึ้น
“ไมเคิล ไม่นะไมเคิล ลืมตามาคุยกับนกสิ” ทวิชาเขย่าร่างไร้วิญญาณพร้อมกับร้องไห้ปานปิ่มจะขาดใจ เสียงบาดหัวใจสั่นไหวไปถึงความรู้สึกทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่หยุด บ้างก็เบือนหน้าหนีเพราะไม่อาจทนมองภาพสะเทือนใจต่อไปแม้วินาทีเดียว
ทวิชายังคงกอดร่างของเพื่อนรักร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนรถของทางโรงพยาบาลมาถึงก็ไม่ยอมแยกจาก หมวดออร์ลีนและหมวดนีน่าต้องเข้ามาปลุกปลอบและเกลี้ยกล่อมอยู่นาน เธอถึงได้ยอมคลายอ้อมแขนจากร่างไร้วิญญาณ และถอยห่างออกมาให้พยาบาลได้ทำหน้าที่
คฤหาสน์โบลาโกนี
ย่านแมนฮัตตัน นิวยอร์กซิตี้ สหรัฐอเมริกา
ฟรานเชเซียส โบลาโกนี ลูกครึ่งอเมริกัน-รัสเซีย วัยสามสิบสามปี เจ้าพ่อจอมอหังการผู้ค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ของโลก บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างที่เปล่งรัศมีแห่งพลังอำนาจและความดิบเถื่อนออกมาอย่างเต็มเปี่ยม และยังโดดเด่นด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศอย่างถึงแก่น เจ้าของใบหน้าคมเข้มออกเค้ากระด้าง นัยน์ตาสีทองอร่ามที่เจือไว้ซึ่งความเย็นชา บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่แยแสหรือครั่นคร้ามต่อสิ่งใดในโลก ผมสีน้ำตาลไหม้เป็นประกายเงาวับ รับกับผิวสีน้ำตาลทองได้อย่างลงตัว จมูกโด่งเป็นสันตรง ปากหยักโค้งติดจะหยิ่งผยอง โหนกแก้มสูงประดับด้วยไรเคราจางๆ ส่งผลให้เครื่องหน้าดูดุดัน ห้าวหาญและน่าเกรงขามเป็นเท่าทวี
ฟรานเชเซียส โบลาโกนี เปรียบเสมือนนิยามของคำว่า ‘เป้าหมายมีไว้พุ่งชน’ สำหรับสาวๆ ทั่วทั้งโลก ด้วยความเพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตา ซึ่งพ่อคุณได้พกพาเอาสิ่งที่พระเจ้าประทานมาอย่างเต็มเปี่ยม ชนิดที่รูปปั้นเดวิด (David) ของ มิเคลันเจโล (Michelangelo Buonarroti) ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ชาวอิตาลี ซึ่งปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ The Accedamia Gallery กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ยังต้องชิดซ้าย พ่อยอดชายเดวิดก็พ่อยอดชายเดวิดเถอะ เจอฟรานเชเซียส โบลาโกนี เข้าไปเป็นต้องหน้าหงายตกแท่นบัลลังก์
ขณะนี้ร่างทรงพลังกำลังนั่งสะสางงานที่ค้างคามากว่าหนึ่งอาทิตย์ กะว่าคืนนี้จะทำมันให้เสร็จ ก่อนจะบินลัดฟ้าไปเจรจากับคู่ค้าในแถบเอเชียในเช้าวันรุ่งขึ้น
ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก
เสียงเคาะประตูของบุคคลที่มารบกวนในยามวิกาลดังขึ้นเบาๆ ติดกันสามครั้งอย่างมีมารยาท ทำให้คนที่นั่งทำงานด้วยท่าทางขะมักเขม้นผงกหัวขึ้นจากเอกสารที่ประกอบด้วยตัวเลขของผลกำไรในไตรมาสที่สามของปี มือใหญ่คว้าถ้วยกาแฟที่แม่บ้านชงมาให้ขึ้นจิบ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด มันเย็นชืดหลังจากส่งกลิ่นหอมกรุ่นยั่วน้ำลายมากว่าครึ่งชั่วโมงโดยไร้ซึ่งการแตะต้องจากเจ้าของห้อง ก่อนจะเบนสายตาคมกริบไปยังประตู
“เข้ามา” เสียงทรงอำนาจของบุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรแต่เย็นชาประดุจดั่งปีศาจร้ายเอ่ยอนุญาตดังพอที่คนภายนอกจะได้ยินเต็มสองหู
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็มีเสียงเปิดประตู พร้อมกับร่างของแฟรงค์ อัลเลเดียส เลขานุการหนุ่มมาดนิ่งที่เดินมาหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของเจ้านาย
“มีอะไรหรือเปล่าแฟรงค์” น้ำเสียงทรงพลังถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากกระด้าง ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ได้ถอนสายตาสีทองอร่ามจากเอกสารที่กำลังตรวจสอบอยู่ก่อนหน้านี้
“มีเรื่องด่วนครับนาย” คนที่ยืนกุมมืออยู่ต่อหน้าเจ้าพ่อหนุ่มรายงานด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ พอๆ กับหน้าตาอันแสนเฉยชา
หลังจากขับไล่ความเมื่อยขบโดยการบิดขี้เกียจไปมาสองสามครั้ง ฟรานเชเซียสก็วางปากกาด้ามทองในมือลงบนโต๊ะทำงาน แล้วจึงได้เงยหน้าขึ้นมามองลูกน้องคนสนิทพร้อมยิงคำถาม

























































































































































