
บทนำ
ชายผู้สูงศักดิ์มียศเป็นถึงลอร์ดวัลโด้..... เพราะสายเลือดที่มีทำให้ทางเดินชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเฉกเช่นคนอื่น ใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขรับใช้ของราชวงศ์ ทุกการกระทำเพียงเพื่อให้คนที่รักได้อยู่สุขสบายไร้ภัยใดกล้ำกรายดวงใจของตน.....
ตัวเล็ก หรือ เอวา
ชีวิตเกิดการพลิกผันตาลปัตรแปรเปลี่ยน ทำให้ชีวิตที่เคยมีครบทั้งพ่อแม่พี่น้อง ครอบครัวที่อบอุ่น กลับกลายเหลือเพียงชายคนเดียวที่ช่วยชีวิตให้รอดพ้นภัย ยกให้พี่ชายเป็นที่หนึ่งในดวงใจทุกๆ เรื่องราว
โรม หรือ โรมีโอ
ผู้ช่วยคนสนิทของไมเคิลที่ติดสอยห้อยตามไปในทุกๆ ที่ จัดการทุกสิ่งได้ดีเลิศจนบอสหนุ่มแทบไม่ต้องลงแรง ความจงรักภักดีที่มีให้ แม้ตายถวายหัวก็ยินยอมมอบให้ไม่มีเกี่ยงงอนหากเป็นความปรารถนาของบอสผู้เป็นนาย
บาร์ค หรือ บารอน
เพื่อนสนิทที่ไม่ได้เป็นแค่เพื่อน.... ในทุกการกระทำ มักจะมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เสมอ แต่ใครเลยจะรู้....... ถึงความคิดในจิตใจภายใต้ใบหน้าที่พร่างพราวไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขอยู่เสมอ
เพราะอุบัติเหตุทำให้สองพี่น้องต้องมาผูกติดอยู่ด้วยกัน คนพี่ทำงานตัวเป็นเกลียวหาเลี้ยงน้องเพียงลำพัง ในขณะนั้นผู้ช่วยคนสนิทที่มีอายุเท่ากันก็ปรากฏตัวขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีเพื่อนสนิทที่ไม่คิดเป็นแค่เพื่อนยังคอยมองจ้องไม่คลาดสายตา ปมเรื่องราวร้อยเรียงถักทอเป็นใยหนา คงจะง่ายกว่าหากคิดตัดความสัมพันธ์....
บท 1
“เราจะไปไหนกันครับ?” เด็กชายตัวน้อยหันไปร้องถามกับหญิงสาวข้างตัว ที่กำลังขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยใบหน้าเครียดขึง หากเมื่อได้ยินเสียงร้องถาม ใบหน้าหวานล้ำก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนละมุน ละสายตาจากถนนตรงหน้าชั่วครู่ พูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับปล่อยมือจากพวงมาลัยรถยนต์ ขยับมาลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา
“เรากำลังจะไปเที่ยวกันครับ” ว่าแล้วก็ดึงมือกลับไป ตั้งใจขับรถเหมือนเดิม
“เที่ยว?” แทนที่จะได้เห็นใบหน้าเล็กตื่นเต้นดีใจ กลับฉายแววประหลาดใจออกมาแทน ทำให้หญิงสาวที่กำลังขับรถอยู่ละสายตากลับมามองอีกครั้งแล้วจึงเอ่ยตอบ
“ใช่ครับ ไปเที่ยว”
“สองคนหรือครับ?” เด็กน้อยเอ่ยปากถามอีกครั้ง ใบหน้าเล็กที่ฉายแววหล่อเหลาแต่เด็กเริ่มขมวดคิ้วหมุนชนเข้าหากันอย่างเคลือบแคลงใจ
“อ่อ......” หญิงสาวเงียบเสียงลงไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบขึ้นมาอีกครั้ง
“เดี๋ยวแด๊ดดี๊ก็ตามมาครับ” ว่าพร้อมหันมาหาพร้อมส่งรอยยิ้มหวานชวนมอง แล้วโน้มตัวขยับเข้ามาใกล้ กดจมูกลงที่ศีรษะเล็กของคนที่เป็นดั่งดวงใจ เอ่ยปากพึมพำ
“หรือคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่มา....”
“มัม!!!” เด็กน้อยร้องตะโกนสุดเสียง ทำให้หญิงสาวที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่หันกลับไปสนใจมองถนนหนทาง ก่อนที่ดวงตาสีเฮเซลนัทจะเบิกกว้าง กระทืบเท้าเหยียบเบรกจนตัวโก่ง ทำให้ศีรษะเล็กโขกเข้ากับคอลโทรหน้ารถอย่างรุนแรง เสียงล้อรถบดไปกับพื้นถนนดังสนั่นท่ามกลางป่าเขาที่คดเคี้ยวทอดยาวเบื้องหน้า สิ่งที่สะท้อนเข้าตาคือแสงไฟจากรถยนต์อีกคันที่พุ่งมาในทิศทางตรงกันข้ามด้วยความรวดเร็ว
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดด
โครม!!!
.
.
.
“พี่จ๋า พี่จ๋าาาาาาาา”
ตุ้บ!
“อื้มมม ว่าไงตัวเล็ก” ชายหนุ่มปรือตาขึ้นมองพร้อมกับส่งเสียงถามแหบพร่าราวกับคนที่พึ่งตื่นขึ้นจากนิทรา ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กไปพลาง
“เหนื่อยหย๋อ”
“นิดหน่อยครับ”
“งื้ออออ หนูจะรีบเรียน รีบหางานทำ!” ว่าพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจเต้นอยู่ภายใต้ผิวเนื้อ
“หึหึ พี่ทำได้ สบายมาก” ว่าพร้อมกับยีกลุ่มผมนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง ทำให้คนที่นอนซบอยู่กลิ้งตกจากตัวไปในที่สุด
ชายหนุ่มไม่รอช้า ขยับเข้าไปคร่อมทับ กักขังคนตัวเล็กกว่าให้ตกอยู่ภายใต้วงแขนแข็งแกร่ง กดจมูกลงกับแก้มนุ่มนิ่ม สูดลมหายใจเข้าลึก
ฟอด!
“ชื่นใจ”
“คิกคิก หนูไปเล่นมา” คนตัวเล็กกว่าหัวเราะคิกคัก ปัดป้องไปมา ทำให้ชายหนุ่มเริ่มขยับมือไม้ แล้วจับเข้าไปที่ช่วงเอว ก่อนจะบรรเลงนิ้วมืออย่างไม่คอยท่า ทำให้คนตัวเล็กกว่าดวงตาเบิกกว่าและเริ่มดิ้นหนีพร้อมหวีดร้องเสียงหลง
“อ๊าา ไม่เอานะ! พี่จ๋า! งื้อออ ฮะฮะ อะ หยุด อ๊า มะ มะไหวแล้ววว อ้ะ ฮ่าฮ่า ม้ายยยยย” คนตัวเล็กกว่าปัดป้องอุตลุด จนในที่สุดคนพี่ก็ยอมถอนมือออกแต่โดยดี ใบหวานน่ารักจิ้มลิ้มหายใจเหนื่อยหอบจนแก้มแดงปลั่ง เสื้อเลิกขึ้นเล็กน้อย เปิดให้เห็นหน้าท้องขาวเนียนจนคนมองตาพร่า กลืนน้ำลายอึกใหญ่ โน้มตัวลงไปถูไถปลายจมูกลงที่ซอกคอ สูดกรุ่นกลิ่นหอมหวานจากผิวกายขาวละเอียดราวหิมะแรก
“อื้อออ ไม่แกล้งหนูนะ”
“หึ ไม่แกล้งครับ” แต่ทำจริง.... ได้เพียงคิดในใจ ยังไม่ทันทำอะไรได้มากกว่านั้น ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูเบาๆ
“ขออภัยครับ แต่บอสมีประชุมกับทีมต่างประเทศตอน 1 ทุ่มครับ และคุณหนูก็ต้องทำการบ้านด้วยนะครับ” ชายหนุ่มกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ยอมปล่อยให้เหยื่อหลุดมือไปอีกครั้ง ซึ่งคนตัวเล็กเมื่อตั้งตัวได้ก็วิ่งปรู๊ดขึ้นห้องไปทันทีจนเส้นผมสลวยสะบัดพลิ้วไหว ด้วยเจ้าตัวเข้าใจว่าต้องตั้งใจเรียนเพื่อนตอบแทนเขาให้มากๆ และนั่นทำให้ชายหนุ่มถึงกับโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ
“โรม......” น้ำเสียงกดต่ำแสดงถึงความหงุดหงิดเล็กๆ ที่ถูกขัดจังหวะ ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มดูอ่อนละมุนแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งเยือกเย็น ตวัดสายตามองคนข้างกาย
“มันจำเป็นครับบอส” โรม หรือ โรมีโอตอบกลับมาด้วยท่าทีนอบน้อม ชายหนุ่มใช้มือข้างซ้ายเสยเส้นผมขึ้นเล็กน้อย เปิดเผยใบหน้าที่งดงามราวกับเทพบุตร อีกครึ่งหนึ่งของใบหน้าถูกปกปิดด้วยเส้นผมสีดำสนิทราวรัตติกาลที่ดำมืด แต่ไม่อาจลบเลือนความสมบูรณ์แบบของใบหน้านั้นลงได้แม้จะถูกเปิดเผยให้เห็นเพียงครึ่งเดียวก็ตามที
“เหอะ.....” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นเมื่อเหลือบตามองผู้ช่วยคนสนิท ก่อนจะดึงสายตากลับคืน มองตามแผ่นหลังเล็กบางที่วิ่งขึ้นห้องไป ความทรงจำในวัยเด็กย้อนหวนกลับมาอีกครั้งราวกับเรื่องราวนั้นพึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันวาน......
.
.
.
“มัม!!!”
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดด
โครม!!!
หลังสิ้นเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าถล่มทลาย สติสัมปชัญญะก็ดับวูบไปไม่รับรู้อะไรอีกเลย......
“ฮึ้บ! งื้อออ” เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่กระจายไปทั่วร่าง ที่ใต้รักแร้รับรู้ได้ว่ามีอ้อมกอดเล็กๆ กำลังทำการกอดรัดและพยายามดึงทึ้งหากแต่เรี่ยวแรงก็น้อยนิดเต็มที
“แฮ่ก แฮ่ก งื้อออ” เสียงของใครบางคนดังขึ้นที่ด้านหลัง ทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมอง เห็นเด็กชายคนหนึ่งที่มีดวงตาสีฟ้าสดใสชวนมอง ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มน่าหลงใหล แต่กระนั้นก็ถูกบดบังความงดงามด้วยรอยเลือดจนเปียกชื้น และไหลอาบดวงหน้าไปแถบหนึ่ง
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ตบลงเบาๆ ที่ลำแขนเล็กน้อยนั้นเชิงบ่งบอก ทำให้เด็กชายคนนั้นชะงัก แล้วชะโงกหน้ามามอง ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“อ้ะ พิชายตื่นแย้วววว” เด็กชายร้องเสียงดังแล้วผละออกไปวิ่งไปที่ทิศทางหนึ่ง เด็กหนุ่มกลั้นใจดึงตัวเองออกจากซากรถยนต์ที่พลิกคว่ำ มือทั้งสองข้างที่เท้าลงกับพื้น ความเจ็บแปล๊บแล่นพล่านไปทั่วตัวทันทีที่เท้ามือลงไป ฝ่ามือใหญ่ถูกบาดไปด้วยเศษซากรถยนต์ที่พลิกคว่ำจนเลือดอาบ แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่เท่ากับข้อเท้าที่บวมช้ำอาบเลือดเพราะถูกกดทับจากการบี้แบนของรถยนต์
หลังจากที่ลากพาตัวเองออกจากซากรถได้ก็นอนแผ่หลาอยู่ที่พื้นข้างถนนไม่สนใจว่าจะนอนทับเศษซากอะไรไปบ้างอย่างเหนื่อยอ่อน ในขณะที่กำลังพักหายใจอยู่นั้นดวงตาที่ปิดพับพลันลืมขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นอย่างรีบร้อน แล้วกะเผลกอ้อมรถไปที่อีกฝั่งหนึ่งในทันที
“มัม!” เด็กหนุ่มร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ถุงลมนิรภัยฟีบแบนจนไม่เป็นรูปร่าง และหญิงสาวคนหนึ่งที่คอหักหันผิดรูปอย่างชัดเจน ร่างทั้งร่างถูกตรึงรั้งไว้ด้วยเข็มขัดนิรภัยห้อยต่องแต่งเอนไหวไปมา จนเห็นรอยบาดลึกเข้าผิวเนื้อ หยาดโลหิตไหลอาบไปทั่วร่างจนถูกย้อมด้วยสีแดงฉานทั่วกาย
“มัม......” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบถูกเอื้อนเอ่ยออกจากริมฝีปากสีซีด ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รับรู้ได้ด้วยตัวเองในทันทีว่าคนที่เป็นผู้ให้กำเนิดได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ราวกับใจสลายเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของมารดานอนสลบไสลอยู่ตรงหน้า ภายในหัวใจชาหนึบจนเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ภายในอก น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากดวงตาข้างขวาปะปนกับโลหิตจนกลายเป็นน้ำตาสีเลือด
บรื้นนนนนนนน
เสียงรถที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังไกลๆ นั้น ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้ง ลนลานหาที่หลบภัย และในตอนนั้นเองที่เห็นเด็กชายตัวจ้อยนั่งแปะอยู่ที่พื้นแล้วยกมือขึ้นแตะๆ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งราวกับกำลังเล่นสนุก
“มาม๊าาาา ตื่นเย้วววว ตื่นๆๆๆ” ว่าพร้อมกับเขย่าตัวหญิงสาวคนนั้นไปมา ก่อนจะเริ่มปีนป่ายกระโดดทับ
“มาม๊าๆๆ” เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบเดินลากเท้าเข้าไปหา ใช้มือข้างหนึ่งจับมือเล็กเอาไว้ ชั่วขณะหนึ่งเหลือบมองหญิงสาวคนที่เชื่อว่ามารดาของเด็กคนนี้ชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าศีรษะยุบไปข้างหนึ่ง และหน้าตาไร้สีเลือด คงไม่แคล้วว่าได้ตายจากไปเช่นเดียวกันกับมารดาของตน มองเลยไปอีกนิดเห็นรถยนต์คันหนึ่งตะแคงข้าง สภาพด้านหน้าไม่ต่างจากรถของเขาเท่าไหร่นัก หลังจากกวาดสายตามองแล้วก็ดึงลากเด็กชายไปอีกทาง หลบซ่อนอยู่หลังก้อนหินในพื้นที่ใกล้เคียง มองจ้องสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
มันต้องมีเหตุผล......
เหตุผลอะไรสักอย่าง ที่ทำให้มารดาของเขาเลือกที่จะปลุกเขาขึ้นกลางดึกและพาขึ้นรถอย่างรีบร้อน คำว่าไปเที่ยวนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในครอบครัวของเขา ทุกอย่างนั้นเพื่อนธุรกิจ เพื่องาน และเพื่อเงิน ไม่เคยสักครั้งที่จะได้เที่ยวแบบเที่ยวจริงๆ และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน.....
“ส่อนแอบๆ” เสียงใสหัวเราะคิกคัก ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ตบมือตบไม้ด้วยความชอบใจ ทำให้เด็กหนุ่มหันไปมอง ยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปาก
“ชู่ว” เด็กหนุ่มหันไปกระซิบใส่พร้อมยกมือขึ้นจุ๊ปากให้เบาเสียงลง เด็กชายตัวน้อยก็ทำแก้มพองลมพร้อมยกมือขึ้นปิดปากเสร็จสรรพ พยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจ
เพียงไม่นานนักก็มีรถคันหนึ่งมาจอดลงตรงหน้า คนชุดดำมากมายกรูกันลงจากรถ ร้องตะโกนโวยวายเสียงดังไปทั่วพื้นที ก่อนจะพุ่งเข้าไปหารถที่พลิกคว่ำอยู่ ซึ่งมารดาของเขาติดอยู่ข้างในนั้น เพียงเท่านั้นก็ไม่รอช้า จับคว้ามือเล็กแล้วเริ่มต้นออกวิ่งในทันที
“มาม๊า มาม๊า!” เด็กชายตัวน้อยดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต ร้อนตะโกนออกมาเสียงดัง ทำให้หนึ่งในนั้นหันมาเจอ และไม่รอช้าที่จะลั่นไกใส่ในทันที
ปัง!
“แง้งงงงงงง” ด้วยความตกใจทำให้เด็กชายตัวน้อยหวีดร้องลั่นเสียงดังยกใหญ่ ทำให้เด็กหนุ่มต้องหมุนตัวไปหา รวบเอาเด็กตัวจิ๋วเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วออกตัววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ที่หางตาเห็นว่ามีรถยนต์อีกจำนวนหนึ่งขับตามมาและหยุดลง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระสุนปืนที่สาดใส่กันไม่มีหยุด จนไม่มีใครสนใจกับเด็กตัวเล็กๆ 2 คนอีกต่อไป เด็กหนุ่มอุ้มเด็กตัวจิ๋วไว้ในอ้อมแขน ทิ้งความวุ่นวายเอาไว้เบื้องหลัง
เด็กหนุ่มเดินลึกเข้าไปท่ามกลางป่าเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทราบแน่ชัดว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่ยาม หรือตนเองเดินเข้าป่ามานานเท่าไหร่แล้ว ความมืดมิดโอบล้อมกาย เสียงสรรพสัตว์ดังอยู่รอบตัว เด็กชายตัวน้อยข้างกายยอมเดินตามมาเงียบๆ แถมยังเกาะติดแจไม่ยอมปล่อย ต่างจากตอนแรกที่ส่งเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจในตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงเสียงสะอื้นฮัดๆ จนตัวโยน ท่าทางอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
“หยุดร้อง” เขาพูดด้วยอาการเหนื่อยอ่อนไม่ต่างกัน กวาดตามองดูทิศทางรอบกายอย่างไร้สิ้นหนทาง อาการบาดเจ็บทำให้รู้สึกว่าแต่ละย่างก้าวถูกถ่วงไว้ด้วยทุ่นเหล็กหนา จนอยากจะนอนแผ่อยู่กลางป่าเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เด็กชายตัวน้อยร้องไห้กระซิกๆ อยู่ข้างๆ เขาโคลงหัวเล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะมองเห็นบางสิ่งอยู่ในระยะเอื้อมถึงอย่างเลือนราง
เมื่อมองเห็นไม่ชัดจึงขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ใช้แสงจันทร์ช่วยสอดส่อง เห็นเป็นลูกพลับที่ติดผลอยู่เต็มต้น จึงไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมจนสุดแขน เด็ดลูกพลับที่อยู่ด้านบนลงมา เช็ดกับเสื้อด้านในเล็กน้อยยื่นส่งให้ เด็กชายตัวจ้อยกะพริบตาปริบ ก่อนจะปากงับลูกพลับเข้าไปทั้งเปลือก เด็กชายทำตาโตส่งให้ กระทืบเท้าอย่างยินดี ทำหน้าเคลิบเคลิ้มเมื่อได้กิน ก่อนจะงับกินเอาๆ ด้วยความหิวโหย
“พิชายชื่อไย” เด็กตัวเล็กหันมาร้องถามพร้อมเอียงคออย่างน่ารักน่าชัง ดวงตาสีฟ้ากลมโตใสแจ๋วส่องประกายท่ามกลางความมืดมิด เด็กหนุ่มทำเพียงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาในที่สุด
“ไมเคิล”
“ขอบจุนนะไมเคิล” ว่าพร้อมยกยิ้มเต็มดวงหน้า ราวกับโลกสว่างไสว รับรู้ได้ถึงการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะไปชั่วครู่
“แล้วนาย?”
“เอวา! เค้าชื่อเอวา!” ร้องบอกเสียงใส ก่อนจะก้มลง งับกินลูกพลับต่อจนหมดทั้งลูกจนเหลือแต่ก้าน พอหมดก็เงยหน้าขึ้นมองลูกพลับที่ค้างอยู่บนลำต้น ไมเคิลจึงลุกขึ้นช้าๆ อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าทำให้ปวดจี๊ดขึ้นมา แต่ก็กัดฟันอดทน ไม่มีแม้แต่เสียงร้องออกมาให้ได้ยิน เอื้อมมือสุดแขนอีกครั้ง และเก็บลงมาอีก 2 ลูก ของตัวเองลูกหนึ่งและของเอวาลูกหนึ่ง
ทั้งคู่นั่งคุยกันไปนั่งทานกันไป จนได้ทราบว่าเด็กตัวน้อยนี้อายุเพียงแค่ 4 ขวบเท่านั้น การพูดจายังไม่ชัดเจนนักแต่ก็พอฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง ในขณะที่ตัวเขาเองอายุ 8 ปี แม้จะอายุน้อย แต่ก็เรียนถึงเกรด 5 ถ้าให้เทียบ ก็คงเท่าเด็กอายุ 10 ขวบ เพราะใช้การสอบเทียบเอาเกรด ไม่ใช่การเลื่อนชั้นแบบนับอายุ
จนเมื่อท้องอิ่มก็พากันเดินต่อ ทั้งคู่เดินจับมือกันไปเรื่อยๆ พูดคุยกันแผ่วเบาราวกระซิบ จนเมื่อหมดเรื่องที่จะคุย บรรยากาศโดยรอบก็ตกลงสู่ความเงียบสงัด มีเพียงเสียงย่ำเท้าที่ดังเป็นจังหวะของเด็กทั้ง 2 คน เพราะความเงียบที่กลืนกินรอบกาย เด็กตัวน้อยอดไม่ได้ที่จะกระตุกแขนเบาๆ แล้วเอ่ยถาม
“มะไรจะกลับไปหามาม๊าอ่า.... หนุอยากกลับบ้านแย้วววว” ไมเคิลได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน ก่อนจะตอบกลับไป
“เดี๋ยวก็ได้เจอ ทนหน่อยนะ” พูดพร้อมกับลูกศีรษะเล็กเบาๆ
“นั่น!! มันอยู่นั่น!!” เสียงร้องของชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดทำให้เขาสะดุ้งเฮือก รีบดึงมือเล็กให้ไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ในทันที
ปัง!
ปังๆๆๆ
กรรรรรรรรร
เสียงปืนดังขึ้นทั่วบริเวณ พร้อมกับเสียงคำรามของสัตว์บางชนิด ก่อนที่เสียงนั้นจะห่างไกลออกไป ทำให้เขาพรูดลมหายใจออกมาช้าๆ มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครในบริเวณนี้ จึงค่อยๆ ย่องออกมาจากที่ซ่อน แล้วเริ่มต้นออกเดินอีกครั้งด้วยความระมัดระวังมากขึ้น แต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่นัก เสียงบางอย่างก็ทำให้สองขาหยุดชะงักแล้วเหลียวมองไปรอบตัว
แง้วววววววววววววววว
เสียงนั้นคล้ายกับลูกแมวที่กำลังฝึกขู่ จนทำให้เขาต้องก้มมองลงต่ำ เห็นลำตัวสีขาวสะอาดตาของลูกแมวตัวหนึ่งกำลังพองขนแยกเขี้ยวขู่
“เจ้าแมวววววว” เอวาร้องเสียงใสแล้วเดินเตาะแตะเข้าไปหา จนเขาแทบจะคว้าคอเสื้อเอาไว้ไม่ทัน ดึงรั้งให้เด็กน้อยหยุดนิ่ง ส่วนตัวเองขยับเดินเข้าไปใกล้ ทรุดตัวลงคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าลูกแมวนั้น เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อต้องคุกเข่าเพราะอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า แต่กระนั้นก็ยื่นมือออกไปตรงหน้าช้าๆ เพื่อเอื้อมจับเจ้าลูกแมวตัวร้ายที่กำลังขู่ฟ่อ
แง้ว!!
แควก!
“พิชาย!” เอวาร้องเสียงดังอย่างตกอกตกใจ ไมเคิลปรายตามองรอยเล็บปรากฏขึ้นหลังมือตามมาด้วยหยาดโลหิตที่ไหลซึม หากแต่ก็ไม่สนใจมากนัก เอื้อมมือจับคว้าอีกครั้ง และครั้งนี้ก็จับได้สมใจ
ฉึก!!
“พิชาย!! แมวไม่ดี! ตีนะ!” เอวาร้องตวาด แล้วทำท่าจะขยับเข้ามาตีจริงๆ หากแต่ไมเคิลกลับยกมือขึ้นห้าม แล้วดึงให้เจ้าลูกแมวน้อยหลบหนีการโจมตี เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องของตน ยกมืออีกข้างลูบศีรษะเล็กที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวเบาๆ จนกระทั่งเจ้าแมวน้อยยอมคายคมเขี้ยวออกในที่สุด แล้วใช้ลิ้นสากตวัดเลียเบาๆ ไมเคิลยกยิ้มบางเบา แล้วจึงจับเจ้าลูกแมวตัวน้อยส่งให้เอวาอุ้มบ้าง
“ห้ามตี มันปกป้องตัวเอง เข้าใจไหม” เอวาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะทวนคำ
“มะตี” ไมเคิลอุ้มเจ้าลูกแมววางลงในอ้อมกอดของเด็กน้อย เอวาตาวาวเมื่อได้อุ้ม ก่อนจะทวนคำอีกครั้ง
“อื้อๆ มะตี”
แง้ว!
“เอวา” ไมเคิลกดเสียงดุ ทำให้เด็กน้อยมุ่ยหน้าแล้วยอมปล่อยมือจากใบหูที่ตนกำลังดึงทึ้งของเจ้าลูกแมวแต่โดยดี ในตอนที่กำลังจะหมุนตัวเดินต่อ ก็ต้องชะงักนิ่งเมื่อหันกลับมาแล้วเจอสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่ากำลังมองจ้องเขม็ง ไมเคิลขาแข็งค้าง ในขณะที่เอวาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“แมวยักษ์!” เอวาขยับตัวจะเดินเข้าไปใกล้ และนั่นทำให้ ‘แมวยักษ์’ หันขวับมามองทันทีจนไมเคิลสะดุ้ง รีบขยับตัวขึ้นไปยืนขวางหน้า กระซิบบอกกับเด็กน้อยให้ได้ยินเบาๆ
“อย่าขยับ....” ใช่ ห้ามขยับ เพราะเมื่อไหร่ที่ขยับ อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิต! ไมเคิลมองจ้องตากับสัตว์ตรงหน้าไม่ละสายตาไปไหน ด้วยกลัวว่าหากเผลอไปเพียงสักเสี้ยววิ จะถูกเจ้าแมวยักษ์นั้นตะปบจนเสียชีวิตเอาได้
แง้วๆๆๆๆ
เจ้าลูกแมวตัวสีขาวในอ้อมกอดร้องออกมาเสียงดัง ทำให้เจ้า แมวยักษ์ หรือว่า เสือไซบีเรีย ขยับก้าวถอยหลัง เท้าตะกุยพื้นดินด้านหน้าเตรียมเข้าพุ่งกระโจนเข้าใส่ ไมเคิลหอบหายใจแรงด้วยความตื่นกลัว แต่พยายามสะกดกลั้นอาการนั้นไว้สุดกำลัง ด้วยพื้นฐานครอบครัวที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือความเป็นความตายอยู่เสมอทำให้เขาต้องมีสติให้มาก
กรร!!!
“หนี!!!” ในตอนนั้นเองที่เจ้าเสือไซบีเรียตัวใหญ่พุ่งทะยานเข้าหาอย่างรวดเร็ว ไมเคิลใช้มือผลักเอวาให้หลบไปให้พ้นทางพร้อมทั้งตะโกนออกคำสั่ง ในขณะที่ตนนั้นปักหลักเป็นเหยื่อล่อรอรับความเจ็บปวด พร้อมๆ กับเอวาที่เซล้มลงและหันมาร้องเรียกเสียงดังลั่นป่า
“พิต๋า!!!”
ปัง!
โฮกกกกกกกกกกกก
เสียงคำรามแหลมสูงดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของเจ้าเสือไซบีเรียที่เซถลามาล้มลงแทบเท้า ไมเคิลค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาคุ้นเคยกำลังถือปืนส่องตรงมาที่ตนอย่างไม่กลัวว่าปืนจะลั่น ที่ปลายกระบอกปืนนั้นยังคงมีควันคลุ้งลอยขึ้นจางๆ ปรากฏให้เห็น
“ฉันไม่เคยสอนให้แกหลับตายอมรับความตาย” น้ำเสียงเย็นเหยียบดังขึ้นพร้อมกับปืนที่ลดลงอย่างช้าๆ แล้วจึงหันไปหาลูกน้อง พยักหน้าเล็กน้อยเชิงสั่งการ ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็ขยับเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ ในขณะที่บางส่วนแบกเจ้าเสือไซบีเรียตัวใหญ่ขึ้นบ่า แล้วพากันลากจูงไปด้วย ก่อนที่ชายคนนั้นจะหันหลังกลับ แล้วเริ่มต้นออกเดินไปช้าๆ หากแต่ตัวเขายังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่......
“ทำไม” น้ำเสียงเย็นชาถูกเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง และครั้งนี้หันมาตวัดสายตามองจ้องดุดัน
“แกคงไม่คิดจะให้อุ้มเพราะเดินไม่ไหวหรอกนะ” ถามพร้อมเลิกคิ้ว แสยะยิ้มส่งให้ ปรายสายตามองข้อเท้าที่บวมช้ำจนขึ้นสีของคนอายุน้อยกว่า ในขณะที่ไมเคิลสั่นศีรษะเบาๆ
“ไม่ครับ แต่เขา...” ไมเคิลพยักพเยิดหน้าบ่งบอก ทำให้ชายร่างสูงใหญ่หันไปมองตาม เห็นว่ามีเด็กตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้น สองแขนโอบกอดลูกเสือตัวขาวเอาไว้แน่น
“ช่างมันสิ” คำตอบไร้เยื่อใยและไร้ความเมตตา ทำให้ไมเคิลตวัดสายตาขึ้นมองจ้องดุดันไม่แพ้กัน
“โฮ่ คิดจะลองดีกับฉัน?” ว่าพร้อมย่างก้าวสุขุมเข้ามาหา เด็กหนุ่มเองก็ไม่หลบสายตาเช่นกัน แม้จะปรากฏรอยหวาดหวั่น แต่ก็ไม่คิดจะถอยหลังหนี ยังคงยืนหยัดมั่นคงแม้ใจจะเต้นแรงสั่นระรัว
“เปล่าครับ” ตอบชัดถ้อยคำ แต่แววตานั้นกลับแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาฟรี” ว่าจบก็กระตุกยิ้มมุมปากเป็นรอยมาดร้าย ไมเคิลเม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยบอกกลับไป
“ผมจะเลี้ยงเขาเอง”
“แต่มันอยู่อาศัยใน ‘บ้าน’ ฉัน” พูดอย่างเป็นต่อพร้อมยกมือขึ้นกอดอก
“ผมจะทำงานแลกเงินและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเขาทั้งหมด” หลังจากที่ได้ฟังถ้อยคำนั้น ชายสูงวัยกว่าก็ยกมือขึ้นจับปลายคาง ลูบไปมาราวกับใช้ความคิด แล้วเริ่มต้นเดินวนรอบตัวของเด็กน้อยทั้งสองคน
“ก็ได้ ตกลงตามนั้น หลังจากนี้แกต้องมาช่วยงานฉันแลกเงิน” สิ้นคำพูดนั้นรอยยิ้มสมใจก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ก่อนที่บุคคลทั้งหมดจะเริ่มต้นเดินทางอีกครั้ง
“พี่ต๋า...” เด็กน้อยตัวจิ๋วกระตุกข้อมือที่กำลังจับกุมกันอยู่เบาๆ เชิงร้องเรียก
“หืม ว่าไงตัวเล็ก” หันไปร้องถามพร้อมโน้มตัวลงต่ำเล็กน้อย เอวาเขย่งขึ้นอีกนิด กระซิบข้างใบหู
“กิดตึ๋งมาม๊าแย้ว” ไมเคิลหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะหยุดเดินในที่สุด ขยับไปทรุดตัวลงตรงหน้า
“ตัวเล็กมีปาป๊ารึเปล่า?”
“มีจิ” ไมเคิลพยักหน้า พร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นจางๆ บนริมฝีปากเรียวแคบ
“งั้นถ้าออกไปได้แล้ว พี่จะพาไปหาปาป๊านะ”
“อื้อ!” เสียงใสร้องตอบกลับมา หากแต่คำพูดนั้นกลับไม่มีทางเป็นไปได้จริง.........
บทล่าสุด
- #61 บทที่ 61 ตอนพิเศษ NC เซอร์ไพรส์ จบบริบูรณ์อัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #60 บทที่ 60 ตอนพิเศษ ไม่ใช่เพราะอาการสต็อกโฮล์มอัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #59 บทที่ 59 ตอนพิเศษ เด็กนั่นมันเป็นใครอัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #58 บทที่ 58 ตอนพิเศษ ไดอารี่สีดำอัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #57 บทที่ 57 ตอนพิเศษ ฮันนี ฮันนี ฮันนีมูนนนน #2 NC+++อัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #56 บทที่ 56 ตอนพิเศษ ฮันนี ฮันนี ฮันนีมูนนนนอัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #55 บทที่ 55 My love forever….. ENDอัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #54 บทที่ 54 Marry Crismistmasอัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #53 บทที่ 53 อย่าให้ฉันหมดความอดทน..... NC+++อัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
- #52 บทที่ 52 ฉันทำให้ภรรยา......อัปเดตล่าสุด: 10/31/2025
คุณอาจชอบ 😍
ภรรยารสโอชา
แต่สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งบ้าคลั่งยิ่งขึ้นก็คือเมื่อวานนี้เธอได้เห็นพี่ชายของสามีกำลังอาบน้ำโดยบังเอิญ
คู่มนุษย์ของราชาหมาป่า
"ฉันรอเธอมานานเก้าปี นั่นเกือบจะเป็นทศวรรษที่ฉันรู้สึกว่างเปล่าภายในตัวเอง ส่วนหนึ่งของฉันเริ่มสงสัยว่าเธอไม่มีตัวตนหรือเธออาจจะตายไปแล้ว และแล้วฉันก็พบเธอ อยู่ในบ้านของฉันเอง"
เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบแก้มของฉัน ทำให้รู้สึกเสียวซ่านไปทั่ว
"ฉันใช้เวลามากพอแล้วโดยไม่มีเธอ และฉันจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากเราจากกัน ไม่ใช่หมาป่าตัวอื่น ไม่ใช่พ่อขี้เมาของฉันที่แทบจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ - และไม่ใช่แม้แต่เธอเอง"
คลาร์ก เบลเลอวิว ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเป็นมนุษย์คนเดียวในฝูงหมาป่า - จริงๆ เลยนะ เมื่อสิบแปดปีก่อน คลาร์กเกิดจากความสัมพันธ์ชั่วคราวระหว่างหนึ่งในอัลฟ่าที่ทรงพลังที่สุดในโลกกับผู้หญิงมนุษย์คนหนึ่ง แม้จะอาศัยอยู่กับพ่อและพี่น้องลูกครึ่งหมาป่าของเธอ คลาร์กก็ไม่เคยรู้สึกว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของโลกหมาป่าเลย แต่พอคลาร์กวางแผนจะทิ้งโลกหมาป่าไปตลอดกาล ชีวิตของเธอก็พลิกผันเมื่อพบคู่ชีวิตของเธอ: กริฟฟิน บาร์โดต์ อัลฟ่าคิงคนต่อไป กริฟฟินรอคอยมาหลายปีเพื่อพบคู่ชีวิตของเขา และเขาไม่คิดจะปล่อยเธอไปง่ายๆ ไม่สำคัญว่าคลาร์กจะพยายามหนีจากชะตากรรมของเธอหรือคู่ชีวิตของเธอไปไกลแค่ไหน - กริฟฟินตั้งใจจะรักษาเธอไว้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรหรือใครจะขวางทางเขาก็ตาม
ห้ามหย่า! คุณหลู่คุกเข่าปลอบโยนทุกคืน
ราชินีน้ำแข็งสำหรับขาย
อลิซเป็นนักสเก็ตน้ำแข็งวัยสิบแปดปีที่สวยงาม อาชีพของเธอกำลังจะถึงจุดสูงสุดเมื่อพ่อเลี้ยงที่โหดร้ายขายเธอให้กับครอบครัวที่ร่ำรวย ครอบครัวซัลลิแวน เพื่อเป็นภรรยาของลูกชายคนเล็กของพวกเขา อลิซคิดว่าต้องมีเหตุผลที่ผู้ชายหล่อๆ อยากแต่งงานกับผู้หญิงแปลกหน้า โดยเฉพาะถ้าครอบครัวนั้นเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมที่มีชื่อเสียง เธอจะหาทางละลายหัวใจเย็นชานั้นเพื่อให้เธอไปได้ไหม? หรือเธอจะสามารถหนีไปได้ก่อนที่จะสายเกินไป?
เสน่ห์แม่เลี้ยงสุดเซ็กซี่
สาวใช้ของมหาเศรษฐีผู้ครอบงำ
สาวใช้ไร้เดียงสาที่ทำงานให้กับพี่น้องมหาเศรษฐีสองคนที่มีอำนาจเหนือกว่า กำลังพยายามซ่อนตัวจากพวกเขา เพราะเธอได้ยินมาว่าถ้าสายตาอันหื่นกระหายของพวกเขาตกลงไปที่ผู้หญิงคนไหน พวกเขาจะทำให้เธอกลายเป็นทาสและครอบครองจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณของเธอ
ถ้าวันหนึ่งเธอได้พบกับพวกเขาล่ะ? ใครจะจ้างเธอให้เป็นสาวใช้ส่วนตัว? ใครจะควบคุมร่างกายของเธอ? ใครจะเป็นเจ้าของหัวใจของเธอ? ใครที่เธอจะตกหลุมรัก? ใครที่เธอจะเกลียด?
“ได้โปรดอย่าลงโทษฉันเลยค่ะ คราวหน้าฉันจะมาตรงเวลา มันแค่-“
“ถ้าคราวหน้าพูดโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันจะปิดปากเธอด้วยของฉัน” ตาฉันเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
“เธอเป็นของฉันนะ ลูกแมว” เขากระแทกเข้ามาในตัวฉันอย่างแรงและเร็ว ลึกขึ้นทุกครั้งที่เขาเคลื่อนตัว
“ฉัน...เป็น...ของคุณ...นายท่าน...” ฉันครางอย่างบ้าคลั่ง กำมือไว้ข้างหลัง
อัลฟ่าผู้ชั่วร้าย
"ฉันอธิบายได้นะ-"
เขาตัดบทฉัน
"เธอเป็นแมวน้อยที่แย่มาก เธอไม่รู้เลยว่าฉันต้องผ่านอะไรมาบ้าง"
มือของเขาบีบคอฉันแน่นจนฉันหายใจไม่ออก
"ถอดเสื้อผ้า"
คำนี้ทำให้ฉันตื่นจากความช็อก "อะ-"
"ฉันจะนับถึง 3 ถ้าเธอไม่ถอด ฉันจะฉีกเสื้อผ้าเธอออก - 1"
นี่มันเกิดขึ้นจริงๆเหรอ
"2"
ฉันคิดว่าเขาเป็นเกย์
"3"
เอมาร่า หญิงสาวอายุ 21 ปี ที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อหางานในบริษัทข้ามชาติ
แต่เธอไม่รู้เลยว่า...
เจ้านายของเธอหล่อมาก
เขาไม่ใช่มนุษย์
เธอคือคู่ชีวิตของเขา
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหมาป่าตัวใหญ่เจอคู่ชีวิตของเขา?
เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อรู้ว่าคู่ชีวิตของเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง?
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความจริงถูกเปิดเผย? ใครจะจม? ใครจะรอด?
มีภาคต่อในหนังสือเล่มนี้!
ความหวังที่ว่างเปล่า
มาทำงานที่บ้านเจ้านายคนใหม่ได้ครึ่งเดือนแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ คุณภาพการนอนของฉันแย่มาก
จากห้องของเจ้านาย มักจะมีเสียงประหลาดๆ ดังออกมาในยามดึก
ฉันซึ่งแต่งงานมีสามีแล้ว ย่อมเข้าใจดีว่าเสียงพวกนั้นหมายถึงอะไร ทุกครั้งที่เห็นหน้าเจ้านาย ใบหน้าฉันจึงมักจะร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรง
สิ่งที่ทำให้ฉันสงสัยก็คือ เจ้านายเป็นแบบนี้ทุกคืน ราวกับมีพลังไม่รู้จักหมด
ภายหลัง ฉันถึงได้รู้ว่าเขาเป็นโรคชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "โรคติด"
ลักพาตัวเจ้าสาวผิดคน
และให้ตายเถอะ ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าฉันไม่ต้องการเธอเหมือนกัน
เธอยืนอยู่ตรงนั้น สวยและเซ็กซี่สุดๆ ในชุดนอนบางๆ ที่แทบจะไม่ปิดอะไรเลย"
"เธอเป็นสาวบริสุทธิ์จริงๆ" เขากระซิบด้วยความทึ่ง
ฉันไม่คิดว่าเขาตั้งใจจะพูดออกมาดังๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับฉัน ความจริงที่ว่าเขามีข้อสงสัยในคำพูดของฉันควรจะทำให้ฉันโกรธ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ดังนั้นแทนที่จะโกรธ ฉันกลับเกร็งตัวและคราง "ได้โปรด" ฉันขอร้องเขา
—————— กาเบรียลา: ฉันแค่อยากมีชีวิตปกติ แต่สิ่งนั้นถูกพรากไปเมื่อพ่อของฉันบังคับให้ฉันแต่งงานกับผู้ชายที่ฉันไม่เคยพบ โชคชะตาดูเหมือนจะเล่นตลกอีกครั้ง วันที่เราจะพบกัน ฉันกลับถูกลักพาตัวโดยแก๊งมาเฟียคู่แข่ง เพียงเพื่อจะพบว่าฉันถูกลักพาตัวผิดคน! แต่เมื่อเอนโซ จอร์ดาโนเข้ามาในชีวิต ฉันรู้ว่าฉันไม่อยากกลับไป ฉันแอบรักเขามาตั้งแต่เด็ก ถ้านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้เขาสนใจฉัน ฉันก็จะทำทุกวิถีทาง แต่เขาจะต้องการฉันด้วยหรือเปล่า ฉันไม่แน่ใจเลย
ค่ำคืนแห่งความลับ
"คิดว่าจะไปไหนเหรอ?"
"ตรงนั้น" ฉันตอบเสียงสั่นๆ พร้อมพยักหน้าไปทางเก้าอี้
เขาจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เข้มข้นจนทำให้ฉันรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว ฉันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก และเขาก้มลงมาจูบฉันด้วยริมฝีปากอุ่นๆ ฉันครางเบาๆ และกำเสื้อยืดของเขา จูบตอบกลับไป คอนราดลูบหลังฉันและวางมือที่เอวเพื่อดึงตัวฉันให้แนบชิดกับเขามากขึ้นขณะที่เราจูบกัน ฉันโอบแขนรอบคอเขา
ส่วนหนึ่งของฉันโหยหาจูบของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้จูบกัน จูบนี้เต็มไปด้วยความหลงใหลแต่ไม่รุนแรงหรือหยาบคาย มันสมบูรณ์แบบมาก คอนราดใช้มืออีกข้างลูบแก้มฉัน ฉันดันลิ้นเข้าไปในปากเขา ฉันต้องการมากกว่านี้ คอนราดดูเหมือนไม่มีปัญหาเพราะลิ้นของเขาเต้นรำเข้ากันได้อย่างลงตัวกับของฉัน
ฉันเดินถอยหลังโดยไม่แยกจากริมฝีปากของเขาจนหลังชนกับเคาน์เตอร์ มีอารมณ์มากมายหมุนเวียนในตัวฉัน ฉันจับสะโพกเขาและดึงเขาเข้ามาใกล้ คอนราดครางเสียงดังในริมฝีปากของฉัน และฉันรู้สึกได้ว่าเขาแข็งตัวขึ้นเพียงแค่จูบฉัน ฉันก็เหมือนกัน ฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นครั้งแรกในรอบนาน
คืนหนึ่ง
งานบอลหน้ากาก
ชายหนุ่มรูปหล่อ
มันคือจุดเริ่มต้นทั้งหมด เพราะฉันถูกบังคับให้เข้าร่วมงานโดยเจ้านายของฉันเพื่อแกล้งเป็นลูกสาวของเธอ ไม่อย่างนั้นฉันจะถูกไล่ออก
สายตาของชายหนุ่มรูปหล่อตกลงมาที่ฉันทันทีที่ฉันเดินเข้าไป ฉันหวังว่าเขาจะมองข้ามไปเพราะเขาถูกล้อมรอบด้วยผู้หญิงสวยๆ แต่เขาไม่ทำ เมื่อเขาตัดสินใจเข้ามาหา ฉันถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าเลย เขาและครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ เขาไม่ควรรู้ว่าฉันเป็นใคร
ฉันพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงเขา แต่ไม่มีอะไรได้ผล มันยากที่จะต้านทานเมื่อเขาจ้องมองฉันด้วยสายตาและรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ฉันยอมแพ้ที่จะต่อสู้กับมัน การใช้เวลาสักสองสามชั่วโมงกับเขาคงไม่เป็นไรใช่ไหม? ตราบใดที่ฉันยังสวมหน้ากาก เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าฉันเป็นใคร
ฉันไม่เคยรู้สึกเคมีแบบนี้กับใครมาก่อน แต่มันไม่สำคัญเพราะหลังจากคืนนี้ ฉันจะหายไปและเขาจะไม่มีทางรู้ว่าฉันเป็นใคร แม้ว่าเขาจะเดินผ่านฉันบนถนน เขาก็จะไม่สังเกตเห็นเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือผู้หญิงที่เขาหลงใหล คนสวยที่เข้ากับคนอื่นได้ แต่ในความเป็นจริงฉันเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันไม่มีอะไรพิเศษ ดังนั้นเวลาที่เราใช้ร่วมกันจะเป็นเพียงความทรงจำ
แต่ฉันคิดผิด เพราะเพียงคืนเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ฉันหวังว่าเขาจะลืมฉันไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำ
ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่ควรรู้ความจริง เพราะเขาจะผิดหวังเท่านั้น
คุณฟอร์บส์
โอ้พระเจ้า! คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังเป็นคนเดิมที่หยิ่งยโสและชอบบงการทุกอย่างตามใจตัวเอง
"ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย?" ฉันถาม ขณะที่รู้สึกว่าขาของฉันเริ่มอ่อนแรง
"ขอโทษนะถ้าฉันทำให้เธอคิดว่าเธอมีทางเลือก" เขาพูดก่อนจะคว้าผมของฉันแล้วดันตัวฉันลง บังคับให้ฉันก้มลงและวางมือบนโต๊ะทำงานของเขา
โอ้ พระเจ้า มันทำให้ฉันยิ้ม และทำให้ฉันยิ่งเปียกชุ่ม บรายซ์ ฟอร์บส์ ดุเดือดกว่าที่ฉันเคยจินตนาการไว้มาก
แอนนาลีส สตาร์ลิ่ง สามารถใช้คำพ้องความหมายทุกคำในพจนานุกรมเพื่ออธิบายเจ้านายจอมโหดของเธอ และมันก็ยังไม่เพียงพอ บรายซ์ ฟอร์บส์ เป็นตัวอย่างของความโหดร้าย แต่โชคร้ายที่เขาก็เป็นตัวอย่างของความปรารถนาที่ไม่อาจต้านทานได้เช่นกัน
ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างแอนน์และบรายซ์ถึงจุดที่ควบคุมไม่ได้ แอนนาลีสต้องต่อสู้เพื่อไม่ให้ยอมแพ้ต่อสิ่งยั่วยวน และต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก ระหว่างการตามความทะเยอทะยานในอาชีพของเธอหรือยอมแพ้ต่อความปรารถนาลึกๆ ของเธอ เพราะเส้นแบ่งระหว่างสำนักงานและห้องนอนกำลังจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
บรายซ์ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อให้เธอออกไปจากความคิดของเขา แอนนาลีส สตาร์ลิ่ง เคยเป็นแค่เด็กสาวที่ทำงานกับพ่อของเขา และเป็นที่รักของครอบครัวเขา แต่โชคร้ายสำหรับบรายซ์ เธอกลายเป็นผู้หญิงที่ขาดไม่ได้และยั่วยวนที่สามารถทำให้เขาคลั่งได้ บรายซ์ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถห้ามมือของเขาไม่ให้แตะต้องเธอได้นานแค่ไหน
ในเกมที่อันตราย ที่ธุรกิจและความสุขต้องห้ามมาบรรจบกัน แอนน์และบรายซ์ต้องเผชิญกับเส้นแบ่งที่บางเบาระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ที่ทุกสายตาที่แลกเปลี่ยน ทุกการยั่วยุ เป็นคำเชิญให้สำรวจดินแดนที่อันตรายและไม่รู้จัก
















