บทที่หก
สัปดาห์ของฉันก็ผ่านไปแบบนั้น ฉันตื่นนอนพร้อมกับคนอื่นๆ เพราะเสียงจอแจจากทั่วทั้งย่านคนรับใช้ปลุกฉันให้ตื่นเสมอ ฉันแปรงฟันล้างหน้า แล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนเพื่อทำความสะอาดสิ่งที่ฉันเพิ่งทำไปเมื่อวาน
และราวกับจับวาง ทั้งสองพระองค์ก็จะประทับอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันไปเสมอ คอยเฝ้ามองฉันทำงาน
เจ้าชายลูเซียนเคยพยายามจะชวนฉันคุยครั้งหนึ่ง แต่ฝาแฝดของพระองค์เตือนไว้ พระองค์จึงกลับไปเก็บตัวเงียบเหมือนเดิม
ฉันยังไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องนั้นอยู่ดี มันแปลกๆ
แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก ฉันแค่อยากจะอยู่ที่นี่และทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมไปก่อน จนกว่าจะหนีออกไปเพื่อเริ่มตามหาน้องสาวได้
แม้ว่าฉันจะทิ้งรูปของเธอไว้ที่ฝูงลองริเวอร์ แต่ภาพนั้นยังคงสลักลึกอยู่ในความทรงจำของฉัน
ฉันอยากกลับไปเอากล่องที่แม่ทิ้งไว้ให้ แต่ก็สงสัยว่าจูเลียนคงไม่ยอมปล่อยฉันไป ฉันก็เลยจะมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงเลย
ฉันไม่มีเบาะแสอะไรมากนักว่าจะตามหาเธอได้อย่างไร นอกจากปานที่ต้นขาด้านในของฉัน เธอเองก็มีเหมือนกัน
ซึ่งมันคงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะฉันนึกภาพตัวเองเดินไปทั่วแล้วขอให้คนอื่นเปิดต้นขาให้ดูไม่ออกเลย
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยอมแพ้ไม่ได้ เธอเป็นครอบครัวคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่ และมีบางอย่างบอกฉันว่าถ้าได้เจอหน้า ฉันจะจำเธอได้ หวังว่า 'บางอย่าง' ที่ว่านั่นจะไม่ใช่หมาป่าในตัวฉันที่ทอดทิ้งฉันไปในตอนที่ฉันต้องการมันมากที่สุด
ฉันตื่นนอนตามปกติ รีบแปรงฟันและล้างหน้าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นฉันก็ตัดสินใจจะหวีผม แต่ก็หยุดทำกลางคันเมื่อตระหนักได้ว่าฉันกำลังทำไปเพราะเหตุผลผิดๆ
ฉันไม่ได้อยากทำให้พวกเขามาชอบฉัน ยังไงฉันก็ไม่ใช่สเปกของพวกเขาอยู่แล้ว แวมไพร์พวกนี้ชอบผู้หญิงที่ผอมเพรียว ผิวซีด และมีริมฝีปากเรียบบางสีแดงสด
ส่วนฉันตรงกันข้ามทุกอย่าง ฉันมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่เกือบจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะหลายปีที่ผ่านมาภายใต้การทรมานของจูเลียน ฉันกินเพื่อระบายความเครียดมาตลอด เหตุผลเดียวที่ฉันไม่อ้วนฉุก็เพราะระบบเผาผลาญดี
ฉันสวมเครื่องแบบที่ซักอย่างดีเมื่อเช้า แล้วก็เดินออกไป
สามประตูก่อนถึงบันได ประตูบานหนึ่งก็เปิดออก เผยให้เห็นเด็กสาวมนุษย์คนหนึ่ง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เหล่าเจ้าชายก็ไม่เคยดื่มเลือดมนุษย์ต่อหน้าฉันอีกเลย และการได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ฉันเคยเจอในคืนแรกก็ทำให้ฉันตระหนักถึงเรื่องนี้
‘นี่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าพวกเขากำลังนึกถึงความรู้สึกของฉันกันแน่’
คงจะ... ไม่สิ ไม่มีทางเด็ดขาด พวกเขาคงไปดื่มเลือดมาก่อนหน้านี้แล้วหรืออะไรทำนองนั้น ฉันยังคงต้องปรับตัวให้ชินกับช่วงเวลาใหม่นี้ มันทำให้ผิวของฉันซีดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่โดนแสงแดด
“หวัดดี” เด็กสาวคนนั้นทักขึ้น ดึงความสนใจของฉันกลับไปที่เธอ
เธอนับเป็นคนแรกที่ฉันได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วยจริงๆ นับตั้งแต่ที่ฉันฟื้นจากการเป็นลมเพราะเสียเลือดมาก นอกเหนือไปจากเหล่าเจ้าชาย ท่านหญิง และแวมไพร์หยาบคายที่ผลักฉันคนนั้น
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าจะมีเสียงดังจอแจอยู่รอบๆ โถงทางเดินของคนรับใช้ซึ่งปลุกฉันทุกเช้า แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นใครเลยสักครั้งเมื่อก้าวเท้าออกมา
ตอนแรกมันก็แปลกๆ แต่ฉันก็ชินกับมันแล้ว
ดังนั้นฉันจึงค่อนข้างประหลาดใจที่ได้เห็นเธอตอนนี้
“สวัสดี” ฉันตอบกลับ พลางสังเกตเห็นกระบนใบหน้าของเธอเป็นครั้งที่สอง เธอรวบผมหน้าม้าขึ้นไป และผมทั้งหมดของเธอก็ถูกมัดไว้เป็นหางม้าแบบลวกๆ
เธอยังคงดูสวย ซึ่งนั่นถือว่าสุดยอดมากแล้วเมื่อพิจารณาว่าเธอเป็นแค่มนุษย์
“ฉันอยากจะขอบคุณที่ช่วยเพื่อนฉันไว้เมื่อวันก่อนค่ะ ตอนนี้เธอถูกส่งกลับไปอยู่กับพ่อแม่แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันเลยอยากให้คุณรู้ว่าฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่ผ่านมาเธอเจอเรื่องหนักหนามามาก” หล่อนบอกฉันพลางมองซ้ายมองขวาไปตามโถงทางเดินราวกับว่าจะมีใครกระโจนเข้าใส่
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันดีใจที่เราทั้งคู่รอดมาได้” ฉันตอบกลับไป แต่แล้วหล่อนก็ถอยกลับเข้าไปในห้องหนึ่งก้าว ยังคงมองไปรอบๆ “มีอะไรผิดปกติเหรอคะ คุณมองหาใครอยู่”
“ไปเถอะนะ อย่าให้ ‘เขา’ รู้ว่าฉันออกมาก่อนเวลาเด็ดขาด ขอร้องล่ะ ฉันแค่อยากจะขอบคุณคุณ คุณเกือบต้องตายเพื่อเธอ มันกัดกินใจฉันที่ไม่ได้แสดงความขอบคุณ ลาก่อนนะคะ!” หล่อนรีบพูดก่อนจะปิดประตูใส่ ทิ้งให้ฉันยืนตกตะลึงและสับสน
‘ก่อนเวลางั้นเหรอ’
ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง แต่ฉันก็สายแล้ว เลยรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนเพื่อทำความสะอาดตามหน้าที่
เมื่อฉันเคาะประตู ประตูก็ไม่ได้เปิดเร็วเหมือนช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันเลยเดาว่าเราคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว
ฉันจึงยืนรอ จนกว่าพวกเขาจะพร้อมเปิดประตู
แต่แล้วฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นมาจากในห้อง ทำเอาฉันสะดุ้งตกใจ
ชาติที่แล้วฉันคงเป็นคนโง่เง่าหรือไงไม่รู้ แต่ฉันก็ทำเรื่องโง่ๆ ลงไป
ฉันลองเปิดประตู ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะล็อกอยู่ แต่มันกลับไม่ได้ล็อก
ฉันเปิดเข้าไปก็พบเจ้าชายทั้งสองพระองค์กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น เลือดไหลทะลักจากจมูกขณะที่ทรงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
วินาทีนั้นเองสมองฉันถึงกลับมาทำงานได้อีกครั้ง ฉันรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อไปตามคนมาช่วย
ฉันกำลังจะคว้าลูกบิดประตูอยู่แล้ว ทว่าประตูบานนั้นก็พลันเปิดออก เผยให้เห็นพระราชาแวมไพร์
ฉันรู้ว่าเป็นพระองค์เพราะรูปปั้นของพระองค์ตั้งอยู่ทุกโถงรับรองที่ฉันเคยเดินผ่าน และเดาว่าคงจะมีอยู่ทั่วทั้งพระราชวัง
ภาพวาดของพระองค์ก็อยู่ที่ปลายสุดของบันได ฉันจึงเห็นทุกเช้าที่มาทำงาน
และถ้าทั้งหมดนั่นยังไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ที่ดีพอว่าพระองค์เป็นใคร ออร่าที่แผ่ออกมาจากตัวพระองค์ก็คงบอกความจริงแก่คุณได้แล้ว
พระองค์ทรงผลักฉันจนพ้นทางแล้ววิ่งเข้าไปในห้องกว้าง เผยให้เห็นแวมไพร์หญิงนางหนึ่งที่แต่งกายไม่เรียบร้อยในสภาพที่เหมือนเพิ่งพรวดพราดออกจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องจากห้องนี้
“แกเข้ามาทำอะไรในนี้!” นางกรีดเสียงใส่ฉัน ดึงสติฉันกลับมาสู่ปัจจุบัน
“หม่อมฉันเป็นคนทำความสะอาดเพคะ หม่อมฉันได้ยินเสียงกรีดร้องเลยวิ่งเข้ามา” ฉันรีบตอบ พลางหันไปเห็นพระราชากำลังประคองโอรสทั้งสองไว้ในอ้อมแขน แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“โกหก!” นางกล่าวหาพร้อมกับกระชากชุดของฉัน “ไม่มีทางที่แกจะเข้ามาในนี้ได้ถ้าพวกเขาไม่เปิดประตูให้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเปิดให้ แล้วแกก็เป็นคนทำเรื่องนี้กับพวกเขา!”
ฉันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ มองนางด้วยความหวาดกลัวที่แล่นปราดไปทั่วสันหลัง
“ทำไมท่านถึงพูดแบบนั้น พวกเขาเป็นถึงเจ้าชายแวมไพร์ บุรุษที่ทรงอำนาจเป็นอันดับสองในเผ่าพันธุ์ของท่าน แล้วท่านคิดว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ไม่มีหมาป่าอย่างฉันจะทำอะไรแบบนั้นกับพวกเขาได้เหรอเพคะ!” ฉันอุทาน
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ วิ่งขึ้นบันไดมา
“ก็ใช่ไง นั่นแหละคือวิธีที่แกทำให้พวกเขาลดการป้องกันตัวลง แกเป็นแม่มด!”
“จับกุมนาง!” พระราชาตรัสสั่งโดยไม่คาดคิด และก่อนที่ฉันจะได้ทันมองว่าพระองค์ตรัสกับใคร ฉันก็ถูกทหารแวมไพร์ที่ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่าจับตัวและเหวี่ยงออกไปนอกประตู
ในขณะเดียวกันนั้น เหล่าเจ้าชายก็เงียบเสียงไปแล้วตอนที่ฉันถูกหิ้วออกไปทั้งที่ยังดิ้นรนขัดขืน
